วันนี้(31 ส.ค.50) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เสนอให้ทุกพรรคการเมืองลงสัตยบันไม่ซื้อเสียง ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยินดีอยู่แล้วเพราะเราถือกติกาเคร่งครัด โดยได้ประกาศแนวทางการทำงานการเมืองของพรรคอย่างชัดเจน เช่น เราต้องการเห็นระบอบประชิปไตยของบ้านเมืองเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม การซื้อสิทธิขายเสียงเป็นเรื่องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคต่อต้านมาตลอด ดังนั้นจะชวนพรรคประชาธิปัตย์ไปสัตยาบันที่ไหนเมื่อไหรอย่างไร เราก็พร้อมยินดี แต่ที่สำคั ตนคิดว่าไม่ใช่อยู่ที่การลงสัตยาบันเพราะเมื่อมีการลงสัตยาบันก็ทำเอิกเกริก แต่ว่าลับหลังก็ยังไปซื้อสิทธิขายเสียงอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของกกต.และหน่วยราชการที่มีความรับผิดชอบด้านนี้ต้องกำกับควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย ความจริงแล้วถ้ากกต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอย่างจริงจังก็ไม่ต้องมีสัตยาบันก็ได้
“ผมคิดว่าเรื่องนี้อยู่ที่จิตใจของคน ถ้าจริงใจสุจริตใจจะลงสัตยาบันหรือไม่ก็เหมือนกัน แต่ถ้าลงสัตยาบันแล้วไม่จริงใจก็เหมือนกับคนที่ไปสาบานกับพระ บางคนผมเห็นสาบานเก่งก็ยังอยู่”
ส่วนกรณีที่พรรคชาติไทยออกมาประกาศชัดเจนแล้วว่าจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ไปนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นสิทธิของพรรคชาตืไทย ตนเคยบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่มีข้อสงสัยอะไรในพรรคชาติไทยหรือพรรคมหาชนที่เป็นพันธมิตรเก่า ทั้งนี้ เมื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา และน.ส.กัจนาออกมายืนยันเช่นนี้ ตนคิดว่าไม่เพียงตนที่สบายใจ แต่ประชาชนทั่วไปก็คงสบายใจเพราะตนเชื่อว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ยอมรับระบอบทักษิณจริงๆ นายบรรหารเป็นผู้ให่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคำพูดท่านก็ต้องเชื่อได้ะ แต่เราสมานฉันท์กับใครไม่ได้ที่ไม่เคารพกฏกติกาประชาธิปไตยหรือเป็นประชาธิปไตยแต่รูปแบบหรือแต่ปาก ขณะที่เนื้อแท้กลับเป็นเผด็จการหรือใช้วิธีได้มาซึ่งอำนาจแบบไม่ถูกต้องและใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมย์ที่แท้จริงของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอดีตพรรคชาติไทยถูกมองว่า เป็นพรรคปลาไหลจะเชื่อได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นโชคไม่ดีของพรรคชาติไทยที่ทำให้คนมองอย่างนั้น ตนถึงได้เคยบอกสื่อมวลชนไปว่าบางทีการพูดโดยเจตนาดีเพื่อที่จะให้ดูว่าบรรยากาศไม่นำไปสู่ความรุนแรงในการเลือกตั้ง แต่คนอาจจะมองว่าเป็นการเสแสร้งไม่จริงใจได้ แต่ตนเข้าใจดีว่านายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทยมาเสนอแนวคิดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรเพราะหลังจากนั้นนายสมศักดิ์ได้โทรศัพท์มาหาตนว่าหมายความว่าอย่างไร
เมื่อถามว่า วันนี้ได้คุยกับนายบรรหารหรือยังเพราะนายบรรหารน้อยใจคำพูดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ระบุว่าเป็นธรรมชาติของพรรคชาติไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน แต่เรื่องนี้ขยายความได้ที่ระบุว่าเป็นธรรมชาติของพรรคชาติไทยนั้นคือพรรคชาติไทยพยายามประณีประนอมทั้งเรื่องคำพูดและการแสดงออกทางการเมือง โดยพยายามทำให้สถานการณ์ดูว่าเบาบางลงไม่แข็งแรงเกินไป คำพูดตนไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปตีความเกินกว่าที่ตนพูดเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปให่ แต่ตนก็ได้บอกแล้วว่า ถ้าไปดูเนื้อข่าวในวันนั้นถึงแม้สื่อจะไม่ได้นำเสนอทุกคำพูดของตน แต่สื่อก็เขียนต่อไปว่าตนได้บอกว่าให้ระวังว่าแม้การพูดด้วยเจตนาและปรารถนาดีก็อาจถูกคนหาว่าบิดเบือนหรือเสแสร้ง ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้ต้องระวังและตนก็ต้องระวังด้วย
ต่อข้อถามว่า จะต้องมีการสัตยาบันร่วมกันหรือไม่ นายสุเทพ ตอบว่า ไม่ต้องพรรคมหาชน ชาติไทยและประชาธิปัตย์ ทำกิจกรรมทางการเมืองที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาด้วยกันก็ไม่ต้องลงสัตยาบันอะไร แต่เมื่อถึงคราวเราก็พูดคุยปรึกษากัน ในระยะนี้ที่ไม่ได้ปรึกษากันก็เพราะว่ารัฐธรรมนูยังไม่ผ่าน แต่ตอนนี้รัฐธรรมนูผ่านแล้วอีกสักพักคงได้คุยกัน
เมื่อถามว่า กำหนดหรือไม่ว่าจะหารือกันในช่วงเวลาไหนจึงจะเหมาะสม นายสุเทพ กล่าวว่า เมื่อเราชัดเจนกันตอนนี้ เมื่อกฎหมายลูกผ่านก็เห็นชัดเจนแล้วว่าจะมีการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งก็คงต้องคุยกันบ้าง แต่ความจริงแล้วเราก็คุยกันบ่อย เพียงแต่ว่า ในช่วงที่รอลงประชามติรัฐธรรมนูเราก็ห่างกันไปหน่อย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัหา ห่างกันไปหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะไม่เห็นสัณอะไรที่ทำให้เห็นว่าเราเข้าใจแตกต่างกัน แต่เวลาสื่อมาถามตนทีหนึ่งแล้วไปถามนายสมศักดิ์อีกทีหนึ่ง บางทีคำพูดคำสองคำก้อาจจะตีความผิดไปได้หรืออารมณ์ของคนพูดเวลานั้นขณะนั้นอาจจะคิดไปอีกอย่าง แต่ปากมันพาไปอีกทางหนึ่งก็อาจจะโชคไม่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับมือกันของทั้ง 3 พรรคไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจัดพื้นที่ต่างๆในการลงแข่งขันการเลือกตั้งใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ความจริงแล้วประเพณีปฏิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ เราส่งผู้สมัครทุกเขต แต่บางครั้งบางจังหวัดก็หาตัวผู้สมัครไม่ได้ ในกรณีของหัวหน้าพรรคเช่นสมมุติว่าอยู่พรคร่วมรัฐบาลบางทีเขตที่หัวหน้าพรรคลงเราก็อาจเว้นเอาไว้หรือไม่แข็งขันมากนัก เปรียบเสมือนกติกามารยาทธรรมดาในบางประเทศคนที่เป็นประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนรราษฎร พรรคการเมืองอื่นก็จะไม่ส่งคนลงแข่งด้วยถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แปลกอะไร ต่อข้อถามว่า หลักการนี้จะนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้กับทั้ง 3 พรรคใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า โดยประเพณีปฏิบัติที่เราทำมาก่อนหน้านี้เราก็ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่เพราะเห็นๆ กันอยู่ ใครจะส่งผู้สมัครไปแข่งกับนายชวนที่จ.ตรังได้ หรือตนจะส่งใครไปแข่งกับนายบรรหารที่จ.สุพรรณบุรีได้ จึงไม่เป็นปัหาอยู่แล้ว เมื่อถามว่า จะไม่ถูกมองว่าเป็นการฮั้วกันทางการเมืองหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า ถือเป็นการให้เกียรติกันมากกว่า อย่าไปมองว่าเป็นการฮั้วกัน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ส.ค. 2550--จบ--
“ผมคิดว่าเรื่องนี้อยู่ที่จิตใจของคน ถ้าจริงใจสุจริตใจจะลงสัตยาบันหรือไม่ก็เหมือนกัน แต่ถ้าลงสัตยาบันแล้วไม่จริงใจก็เหมือนกับคนที่ไปสาบานกับพระ บางคนผมเห็นสาบานเก่งก็ยังอยู่”
ส่วนกรณีที่พรรคชาติไทยออกมาประกาศชัดเจนแล้วว่าจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ไปนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นสิทธิของพรรคชาตืไทย ตนเคยบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่มีข้อสงสัยอะไรในพรรคชาติไทยหรือพรรคมหาชนที่เป็นพันธมิตรเก่า ทั้งนี้ เมื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา และน.ส.กัจนาออกมายืนยันเช่นนี้ ตนคิดว่าไม่เพียงตนที่สบายใจ แต่ประชาชนทั่วไปก็คงสบายใจเพราะตนเชื่อว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ยอมรับระบอบทักษิณจริงๆ นายบรรหารเป็นผู้ให่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคำพูดท่านก็ต้องเชื่อได้ะ แต่เราสมานฉันท์กับใครไม่ได้ที่ไม่เคารพกฏกติกาประชาธิปไตยหรือเป็นประชาธิปไตยแต่รูปแบบหรือแต่ปาก ขณะที่เนื้อแท้กลับเป็นเผด็จการหรือใช้วิธีได้มาซึ่งอำนาจแบบไม่ถูกต้องและใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมย์ที่แท้จริงของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอดีตพรรคชาติไทยถูกมองว่า เป็นพรรคปลาไหลจะเชื่อได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นโชคไม่ดีของพรรคชาติไทยที่ทำให้คนมองอย่างนั้น ตนถึงได้เคยบอกสื่อมวลชนไปว่าบางทีการพูดโดยเจตนาดีเพื่อที่จะให้ดูว่าบรรยากาศไม่นำไปสู่ความรุนแรงในการเลือกตั้ง แต่คนอาจจะมองว่าเป็นการเสแสร้งไม่จริงใจได้ แต่ตนเข้าใจดีว่านายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทยมาเสนอแนวคิดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรเพราะหลังจากนั้นนายสมศักดิ์ได้โทรศัพท์มาหาตนว่าหมายความว่าอย่างไร
เมื่อถามว่า วันนี้ได้คุยกับนายบรรหารหรือยังเพราะนายบรรหารน้อยใจคำพูดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ระบุว่าเป็นธรรมชาติของพรรคชาติไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน แต่เรื่องนี้ขยายความได้ที่ระบุว่าเป็นธรรมชาติของพรรคชาติไทยนั้นคือพรรคชาติไทยพยายามประณีประนอมทั้งเรื่องคำพูดและการแสดงออกทางการเมือง โดยพยายามทำให้สถานการณ์ดูว่าเบาบางลงไม่แข็งแรงเกินไป คำพูดตนไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปตีความเกินกว่าที่ตนพูดเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปให่ แต่ตนก็ได้บอกแล้วว่า ถ้าไปดูเนื้อข่าวในวันนั้นถึงแม้สื่อจะไม่ได้นำเสนอทุกคำพูดของตน แต่สื่อก็เขียนต่อไปว่าตนได้บอกว่าให้ระวังว่าแม้การพูดด้วยเจตนาและปรารถนาดีก็อาจถูกคนหาว่าบิดเบือนหรือเสแสร้ง ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้ต้องระวังและตนก็ต้องระวังด้วย
ต่อข้อถามว่า จะต้องมีการสัตยาบันร่วมกันหรือไม่ นายสุเทพ ตอบว่า ไม่ต้องพรรคมหาชน ชาติไทยและประชาธิปัตย์ ทำกิจกรรมทางการเมืองที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาด้วยกันก็ไม่ต้องลงสัตยาบันอะไร แต่เมื่อถึงคราวเราก็พูดคุยปรึกษากัน ในระยะนี้ที่ไม่ได้ปรึกษากันก็เพราะว่ารัฐธรรมนูยังไม่ผ่าน แต่ตอนนี้รัฐธรรมนูผ่านแล้วอีกสักพักคงได้คุยกัน
เมื่อถามว่า กำหนดหรือไม่ว่าจะหารือกันในช่วงเวลาไหนจึงจะเหมาะสม นายสุเทพ กล่าวว่า เมื่อเราชัดเจนกันตอนนี้ เมื่อกฎหมายลูกผ่านก็เห็นชัดเจนแล้วว่าจะมีการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งก็คงต้องคุยกันบ้าง แต่ความจริงแล้วเราก็คุยกันบ่อย เพียงแต่ว่า ในช่วงที่รอลงประชามติรัฐธรรมนูเราก็ห่างกันไปหน่อย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัหา ห่างกันไปหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะไม่เห็นสัณอะไรที่ทำให้เห็นว่าเราเข้าใจแตกต่างกัน แต่เวลาสื่อมาถามตนทีหนึ่งแล้วไปถามนายสมศักดิ์อีกทีหนึ่ง บางทีคำพูดคำสองคำก้อาจจะตีความผิดไปได้หรืออารมณ์ของคนพูดเวลานั้นขณะนั้นอาจจะคิดไปอีกอย่าง แต่ปากมันพาไปอีกทางหนึ่งก็อาจจะโชคไม่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับมือกันของทั้ง 3 พรรคไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจัดพื้นที่ต่างๆในการลงแข่งขันการเลือกตั้งใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ความจริงแล้วประเพณีปฏิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ เราส่งผู้สมัครทุกเขต แต่บางครั้งบางจังหวัดก็หาตัวผู้สมัครไม่ได้ ในกรณีของหัวหน้าพรรคเช่นสมมุติว่าอยู่พรคร่วมรัฐบาลบางทีเขตที่หัวหน้าพรรคลงเราก็อาจเว้นเอาไว้หรือไม่แข็งขันมากนัก เปรียบเสมือนกติกามารยาทธรรมดาในบางประเทศคนที่เป็นประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนรราษฎร พรรคการเมืองอื่นก็จะไม่ส่งคนลงแข่งด้วยถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แปลกอะไร ต่อข้อถามว่า หลักการนี้จะนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้กับทั้ง 3 พรรคใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า โดยประเพณีปฏิบัติที่เราทำมาก่อนหน้านี้เราก็ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่เพราะเห็นๆ กันอยู่ ใครจะส่งผู้สมัครไปแข่งกับนายชวนที่จ.ตรังได้ หรือตนจะส่งใครไปแข่งกับนายบรรหารที่จ.สุพรรณบุรีได้ จึงไม่เป็นปัหาอยู่แล้ว เมื่อถามว่า จะไม่ถูกมองว่าเป็นการฮั้วกันทางการเมืองหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า ถือเป็นการให้เกียรติกันมากกว่า อย่าไปมองว่าเป็นการฮั้วกัน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ส.ค. 2550--จบ--