สรุปการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐

ข่าวการเมือง Thursday May 24, 2007 10:27 —รัฐสภา

                        สรุปการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๘/๒๕๕๐ เป็นพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๐.๑๕ นาฬิกา โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม เมื่อสมาชิกฯ มาครบองค์ประชุม ประธานฯ ได้ดำเนินการประชุม ตามระเบียบวาระ ดังนี้
๑. เรื่องที่ประธานแจ้งต่อที่ประชุม
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้มีการถ่ายทอดการแถลงผลการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์
ที่ประชุมรับทราบ
๒. รับรองรายงานการประชุม (ไม่มี)
เรื่องด่วน
- การแถลงผลการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาล
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ขอให้มีการถ่ายทอดผลการดำเนินการ ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการดำเนินการตามนโยบาย
ดังนี้
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น นายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่ง คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ บัดนี้ คณะรัฐมนตรีได้เข้าทำหน้าที่บริหารประเทศมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงเห็นสมควรที่จะได้แถลงผลการดำเนินงานเพื่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประชาชนได้รับทราบถึงผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ตลอาดจนแนวทางที่จะดำเนินงานต่อไปในช่วงเวลา
ที่เหลือของรัฐบาลชุดนี้ เพื่อประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจ อันจะเป็นพื้นฐานสำหรับการทำงาน ร่วมกันระหว่างรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งยังเป็นการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ แก่สาธารณชนในวงกว้าง ถึงสิ่งที่รัฐบาลได้เข้ามาดำเนินการ
รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ที่สำคัญยิ่ง โดยภาระหน้าที่หลักอยู่บนพื้นฐานของการวางรากฐานระบอบการเมืองการปกครองและประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลได้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายหลักที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน รวมถึงการสร้างความสมานฉันท์กลับคืนสู่ สังคมไทยให้คงอยู่ตลอดไป โดยมุ่งเน้นการปฏิรูปการเมือง การสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอย่างแท้งจริง โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และจะดำเนินการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง ให้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของสังคมไทยในระยะยาว
ในช่วงที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน สภาวะทางเศรษฐกิจในขณะนั้นอยู่ในภาวะชะลอตัว อันเนื่องมาจากปัจจัยแวดล้อมหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยด้านความ ขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมายาวนานได้เริ่มขยายตัวออกไปในวงกว้าง ตั้งแต่ช่วงต้นปี ๒๕๔๙ สถานการณ์ได้ทวีความตึงเครียด และนำไปสู่ความแตกแยกทางความคิดเห็นทางการเมืองและสังคมอย่างชัดเจน และเกิดภาวะได้ระเบียบ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการขาดความเชื่อถือต่อผู้นำ รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสถาบันทางการเมืองอื่น ๆ นอกจากนี้สถานการณ์ได้ถูกซ้ำเติมจากปัญหาความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความเชื่อมั่นในระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจ
เมื่อรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้อง ปรับปรุงนโยบายและโครงการที่มีอยู่ เพื่อให้การดำเนินงานต่อไปมีความยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงการยกเลิกนโยบายหรือโครงการในบางเรื่องที่พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว และไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือสังคมโดยรวม
ดังจะเห็นได้ว่า รัฐบาลได้ปรับปรุงมาตรการในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งพบว่าที่ผ่านมา มีกลไกที่ก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง เกิดความสูญเสีย งบประมาณ หรือเกิดผลที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของนโยบายในการที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศ ดังตัวอย่างมาตรการที่ต้องมีการปรับแนวทางและการบริหารจัดการให้ถูกต้อง คือ โครงการกองทุน หมู่บ้าน ที่เน้นด้านการกระจายสินเชื่อเป็นหลัก โดยขาดกลไกสนับสนุนเพื่อการสร้างองค์ความรู้และ
ทักษะที่จำเป็นในการนำเงินไปลงทุน เพื่อการประกอบอาชีพของประชาชนอย่างยั่งยืน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่ขาดระบบสนับสนุนผู้ผลิตให้สามารถพัฒนาการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการวางแผนการตลาดที่เหมาะสม และโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ที่ต้องการจะสร้างการเข้าถึงเงินทุนให้กับผู้ที่มีศักยภาพในการลงทุน แต่โครงการก็ยังไม่สามารถทำให้ระบบการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนมีการนำไปปฏิบัติอย่างแพร่หลายและเป็นธรรมในสถาบันการเงิน ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยังได้แก้ไขปัญหาหนี้สะสมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้หนี้สะสมดังกล่าวลดลงอย่างรวดเร็ว จาก ๕๐,๔๐๗ ล้านบาท เหลือเพียง ๒๘,๗๔๖ ล้านบาท รวมทั้งแก้ไขปัญหา การชำระภาษีสรรพสามิตของธุรกิจโทรคมนาคมที่ได้รับสัมปทานจากรัฐให้ถูกต้อง และรัฐบาลได้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียม ๓๐ บาท สำหรับการใช้บริการโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และจัดสรร ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มจากเดิม ๑,๖๕๙ บาท เป็น ๑,๘๙๙ บาท ต่อคน ต่อปี ซึ่งทำให้สถานพยาบาลสามารถพัฒนาคุณภาพการให้บริการได้ดีขึ้น
สำหรับกรณีตัวอย่างของนโยบายที่รัฐบาลจำเป็นต้องยกเลิก เนื่องจากไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน คือ การดำเนินนโยบายที่เน้นการ “อัดฉีดเม็ดเงินงบประมาณโดยตรง” ไปที่กลุ่มประชาชนระดับรากแก้ว ผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และการกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่น ผ่านคณะรัฐมนตรีสัญจรและการตรวจราชการ ซึ่งทำให้เกิดรายจ่ายค้างจ่ายข้ามปีงบประมาณเป็นจำนวนมาก เป็นผลให้การจัดทำงบประมาณประจำปี ๒๕๕๐ ต้องจัดงบประมาณเพื่อใช้คืนรายการ ที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้เกือบ ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายจ่ายดังกล่าว ยังคงต้องผูกพันในปีงบประมาณ ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านการคลังต่อไปในอนาคต
รัฐบาลชุดนี้ตระหนักดีถึงความคาดหวังจากสาธารณชนที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปิดช่องว่างทางการเมืองที่ประเทศเผชิญอยู่ แต่มิได้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้จะบริหารงานเพียงเพื่อรอให้การร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย และดำเนินไปสู่กระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น หากแต่สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ก็คือ การปรับรากฐานทางการเมือง การเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการวางนโยบายเชิงรากฐาน ทดแทนนโยบายเชิงกระแส เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาประเทศ อันจะนำไปสู่สังคมที่มีความสมานฉันท์ และร่มเย็นเป็นสุข โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และหลัก ๔ ประการ คือ ความโปร่งใส ความเป็นธรรม ความมี ประสิทธิภาพ และการประหยัดอย่างมีเหตุผล และในช่วงนี้รัฐบาลมีภารกิจสำคัญยิ่งประการหนึ่ง ที่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งของรัฐบาลและเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ คือ การจัดงาน เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ซึ่ง รัฐบาลได้รับพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินงานเฉลิมพระเกียรติ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน
ชื่อพระราชพิธีว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐” และ พระราชทานชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติว่า “งานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐” โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ซึ่งในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ รัฐบาลได้เตรียมการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ และ สมพระเกียรติ ทั้งงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี งานศาสนพิธี และจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่าง ๆ ตลอดทั้ง ปี ๒๕๕๐ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า จะได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
การดำเนินงานตามนโยบายและภารกิจของรัฐบาลชุดนี้ ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ การแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วน และการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งสาระของนโยบายและภารกิจดังกล่าวได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยนโยบายด้านการวางรากฐานแบ่งออกเป็น ๕ ด้าน ครอบคลุมถึง ๑. การปฏิรูปการเมือง การปกครอง และการบริหาร ๒. การเศรษฐกิจ ๓. การสังคม ๔. การต่างประเทศ และ ๕. การรักษาความมั่นคงของรัฐ
ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้รายงานผลงานต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา โดยสรุปดังนี้
ผลงานด้านการแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญ ๖ เรื่อง คือ
๑. การแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลได้น้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นหลักสำคัญในการดำเนินงาน โดยเริ่มปรับยุทธศาสตร์และระบบกลไกการบริหารจัดการ ตลอดจนการดำเนินงานในพื้นที่ให้มีเอกภาพมากขึ้น รวมทั้งได้ดำเนินการสร้างความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนความคิด และอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น ในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชาสัมพันธ์และปฏิบัติการจิตวิทยาตอบโต้กับฝ่ายก่อความไม่สงบและผู้ไม่หวังดี และการปรับทัศนคติ รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้แก่พนักงานสอบสวน ในการดำเนินการออกหมายจับที่ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนตามกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ยังได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างสมาชิกเครือข่ายยุติธรรมชุมชน เพื่อพัฒนาระบบงานยุติธรรมให้มีความรวดเร็วในการให้บริการ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินการของภาครัฐต่อประชาชน
รัฐบาลได้สนับสนุนการพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขและการศึกษาในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยส่งเสริมให้โรงเรียนในสังกัดของเทศบาล สอนวิชาอิสลามศึกษาเพื่อให้นักเรียนไทย - มุสลิม ในพื้นที่ ได้มีโอกาสรับบริการทางด้านการศึกษาจากภาครัฐได้อย่างครบถ้วนยิ่งขึ้น
และรัฐบาลยังได้ดำเนินการจัดทำโครงการสร้างงานและจ้างงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจ้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและเยาวชนว่างงานในพื้นที่ ประมาณ ๒๗,๐๐๐ คน รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำโครงการพัฒนาภายใต้แผนการดำเนินงานของ ศอ.บต. รวม ๖๖๓ ล้านบาท
นอกจากนั้นองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ก็ได้ปรับท่าทีมาร่วมมือและสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีของไทย โดยเลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ได้เดินทางมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน - ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และแสดงความชื่นชมแนวทางสมานฉันท์และสันติวิธีของรัฐบาล ตลอดทั้งรัฐบาลได้ใช้ทุกช่องทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี โดยในระดับนายกรัฐมนตรีได้มีการเยือนประเทศมุสลิมอีกหลายประเทศ เช่น บาห์เรน อียิปต์ ปากีสถาน เป็นต้น
๒. การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและการเตรียมป้องกันภัยแล้ง
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับทรัพยากร “น้ำ” โดยได้ประกาศให้ “น้ำ” เป็นวาระแห่งชาติ ครอบคลุมน้ำ ๔ ประเภท คือ น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำบริโภค และน้ำเสีย แต่ภัยธรรมชาติอันแรกที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหา คือ อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในพื้นที่ประสบภัย ๔๗ จังหวัด ในช่วงกลางปี ๒๕๔๙ หลังจากรัฐบาลได้เข้าบริหารประเทศตั้งแต่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ได้ดำเนินการจัดหาน้ำสะอาดแจกจ่ายราษฎรกว่า ๒ ล้านลิตร และได้ให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตร โดยจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตร เช่น เครื่องสูบน้ำ อาหารสัตย์ การให้บริการเวชภัณฑ์และวัคซีน การสนับสนุนพันธุ์พืชอายุสั้น การจัดตั้งศูนย์บริการการเกษตร เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ รวม ๙๐๙ ศูนย์ รวมทั้งยังได้ดำเนินการประสานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรอบวงเงิน ๖,๗๓๗ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและจัดทำแผนฟื้นฟูการเกษตรหลังน้ำลด ขยายการชำระหนี้เงินกู้ ๓ ปี แก่สมาชิก สหกรณ์ นโยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยกรณีสมาชิกประสบภัยร้ายแรง ซึ่งมีสมาชิกสหกรณ์ได้รับความ ช่วยเหลือ ๓๖๒ สหกรณ์ และ ๕๗,๓๓๐ กลุ่มเกษตรกร
นอกจากนั้น ตามที่คาดว่ามีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งรวม ๓๗ จังหวัด รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำฝน น้ำท่า น้ำเก็บกัก และการขาดแคลนระบบประปาหมู่บ้านในพื้นที่เป้าหมาย และได้มี การดำเนินการที่สำคัญ เช่น การซ่อมแซม การสร้างระบบประปาหมู่บ้านกว่า ๒,๕๐๐ แห่ง การบูรณะฟื้นฟูแหล่งน้ำ การก่อสร้างฝายกั้นน้ำกว่า ๑๘,๐๐๐ แห่ง การปรับปรุงบ่อน้ำตื้น ๑,๔๑๔ บ่อ การเป่าล้างบ่อบาดาล ๔,๖๙๙ บ่อ การเจาะบ่อบาดาลเพิ่มเติมอีก ๑,๔๐๐ บ่อ การขุดลอกคลองเพื่อเก็บกักน้ำในฤดูแล้ง ๔๕๐ สาย ขุดลอกตะกอนอ่างเก็บน้ำ ๕๘ แห่ง ก่อสร้างแหล่งน้ำชุมชนชนบท ๑๖๘ แห่ง รวมทั้งการซ่อมแซมอุปกรณ์ เช่น เครื่องสูบน้ำ และการเตรียมรถแจกจ่ายน้ำ เป็นต้น
ในระยะต่อไป รัฐบาลได้จัดทำแผนแม่บทการบรรเทาอุทกภัยระยะปานกลาง และระยะยาว ซึ่งครอบคลุมทั้งการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยประกอบด้วยมาตรการสำคัญ ๖ ประการ คือ การป้องกันฟื้นฟูต้นน้ำ การฟื้นฟูแหล่งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ การปรับปรุงแหล่งน้ำและระบบระบายน้ำ การจัดการด้านการใช้ที่ดินและป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจหลัก การปรับปรุงรูปแบบการเกษตรและการใช้พื้นที่การเกษตรเป็นที่รับน้ำนอง การบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการบรรเทาภัยแล้ว โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๐ มีวงเงินงบประมาณรวมตลอดระยะเวลา ๕ ปี คือ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑๒,๐๓๒ ล้านบาท โดยเป็นการจัดสรรให้เฉพาะในปี ๒๕๕๑ จำนวน ๑๐,๕๗๗ ล้านบาท
นอกจากนี้การบริหารจัดการน้ำจะต้องจัดการอย่างบูรณาการกับที่ดินและป่าไม้ด้วย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูพื้นที่ป่า เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินและป่าไม้ โดย ส่งเสริมแนวทางการฟื้นตัวของสภาพป่าตามธรรมชาติ มีการประเมินผลการปลูกป่าที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันรักษาป่าในเขตป่าอนุรักษ์ รวมทั้งสนับสนุนโครงการนำร่องเพื่อส่งเสริมจูงใจให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อสร้างงานและอาชีพใน ๓ จังหวัด คือ ปัตตานี ร้อยเอ็ด และเชียงราย พื้นที่รวม ๓,๐๖๔ ไร่ มีการเตรียมรับสถานการณ์ไฟป่า โดยกำหนดแผน การดำเนินงานในการบริหารจัดการน้ำ ควบคุมไฟป่า โดยการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่
๓. มลพิษทางน้ำในพื้นที่จังหวัดอ่างทองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มลพิษทางน้ำที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาและปลาในกระชังของเกษตรกรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุและความเสียหายที่เกิดขึ้น และได้ให้ความช่วยเหลือในการจ่ายเงินค่าชดเชยแก่เกษตรกร จำนวน ๒๓๑ ราย เพื่อเป็นการเยียวยาเฉพาะหน้า รวมทั้งได้จัดทำเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ โดยจะใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้กรมควบคุมมลพิษ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนหลักในการแก้ไขปัญหาภัยน้ำเสียในระบบลุ่มน้ำแบบบูรณาการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี โดยให้ดำเนินการในลุ่มน้ำที่มีปัญหาน้ำเสียรุนแรงก่อนเป็นลำดับแรก
๔. หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ
เมื่อเกิดสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือนั้น รัฐบาลได้ระดมกำลังพนักงานดับไฟป่าจากพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม จำนวน ๕๘๐ คน และมอบหมายให้กองทัพภาคที่ ๓ ดำเนินการสนธิกำลังในการลาดตระเวนป้องปรามและเข้าดับไฟในพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์ รวมทั้งได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมคลินิกพิเศษ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
และมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในท้องที่ภาคเหนือทั้ง ๑๗ จังหวัดมีอำนาจสั่งการให้หน่วยงาน ต่าง ๆ ดำเนินการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
๕. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ภายหลังเปิดใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ ได้มีปัญหาการให้บริการทั้งในด้านกายภาพ การบริหารจัดการ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน รัฐบาลได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านกายภาพ ทั้งในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารผู้โดยสาร ปัญหาการขนส่งสินค้า และปัญหาผิวทางวิ่ง ทางขับของท่าอากาศยานชำรุด เสียหาย และได้ดำเนินการตรวจสอบปัญหาในการจัดซื้อจัดจ้างและการให้สัมปทานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนปัญหาของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างที่มีความอ่อนไหวต่อเสียงไปแล้ว จำนวน ๑๖ แห่ง คือ โรงเรียน ๘ แห่ง โรงพยาบาล ๓ แห่ง และศาสนสถาน ๕ แห่ง สำหรับการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบนั้นอยู่ในระหว่างการเร่งรัด ดำเนินการ
๖. การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้มีแนวโน้มชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง จากต้นปี ๒๕๔๙ ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม ที่มีองค์ประกอบจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกในการประสานแนวคิดและแนวปฏิบัติ เพื่อให้การ ขับเคลื่อนของทุกภาคส่วน สอดประสานซึ่งกันและกัน โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐพร้อมกับการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และการสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน ทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งได้สงผลให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่สองเป็นต้นไป
รัฐบาลเห็นว่า ในขณะที่ต้องส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้ การสร้างความมั่นใจของนักลงทุน และการกระตุ้นการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญอีกทางหนึ่ง ในการรักษาการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจ ดังนั้น นอกเหนือจากการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ให้เร่งรัดการลงทุนโครงการระบบขนส่งทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล ที่จะเริ่มประมูลได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย ๑. โครงการรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน และช่วงบางซื่อ - รังสิต ๒. โครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง บางใหญ่ - บางซื่อ ๓. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางฉะเชิงเทรา - ศรีราชา - แหลมฉบัง และ ๔. โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐบาลเชื่อว่าการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นที่ที่สำคัญจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในระบบเศรษฐกิจของไทยต่อไป
ในด้านการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลได้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าเหมายที่จะสร้างประโยชน์ ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าการพัฒนาเทคโนโลยีและการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีศักยภาพสูง ทั้งในเรื่องมาตรการทางการเงิน มาตรการทางภาษี และการกำหนดสิทธิพิเศษให้กับอุตสาหกรรม หรือบริการที่มีศักยภาพ และอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ได้ส่งผลทำให้มีมูลค่าการลงทุนจากบัตรส่งเสริมการลงทุนสูงกว่า ๒ แสนล้านบาท โดยเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในหลายอุตสาหกรรมสูงเกิน ร้อยละ ๘๐ ขณะที่การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ ๑๙
สำหรับผลงานที่เป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตตามนโยบายรัฐบาลทั้ง ๕ ด้าน ดังนี้
๑. นโยบายการปฏิรูปการเมือง การปกครอง และการบริหาร รัฐบาลได้ดำเนินการ
มีความคืบหน้าหลายประการ กล่าวคือ
๑.๑ รัฐบาลได้สนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร
เพื่อปฏิรูปการเมือง โดยเน้นความสำคัญในการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำ รัฐธรรมนูญทุกระดับ เพื่อให้รัฐธรรมนูญสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด โดยรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร และยังได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมือง สนับสนุนเครือข่าย องค์กร และมูลนิธิต่าง ๆ ให้ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการมี ส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญ การจัดเวทีสัมมนาระดมความคิดเห็นของประชาชนรวม ๔๕ เวที รวมทั้งได้จัดให้มีการสัมมนาการมีส่วนร่วมในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ ๗-๙ มีนาคม ๒๕๕๐ และจัดเวทีเสียงประชาชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในต่างจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๐ นอกจากนั้นยังได้จัดทำแผนประชาสัมพันธ์เร่งด่วนผลิตวัสดุประชาสัมพันธ์ คู่มือให้ความรู้แก่ประชาชน พร้อมทั้งเปิดรับความเห็นผ่านระบบสื่อสารอิเลคทรอนิคส์ รวมทั้ง ตู้ ป.ณ.
และโทรศัพท์หมายเลข ๔ ตัว คือ ๑๑๑๑ โดยจะรวบรวมประมวลข้อคิดเห็นเสนอคณะกรรมาธิการ ยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
๑.๒ การเสริมสร้างมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ประพฤติมิชอบ ทั้งในภาคการเมือง ภาคราชการ ในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยให้ดำเนินการ ส่งเสริมองค์กรอิสระและประชาชนในการตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งการป้องกันการกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตและประพฤติชอบทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัยอย่าง ต่อเนื่อง โดยคดีทางแพ่งดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๒๘๙ เรื่อง และอยู่ระหว่างการดำเนินการ จำนวน ๗๔๖ เรื่อง คดีทางอาญาดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๘๐ เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการจำนวน ๙๕๕ เรื่อง คดีทางวินัยดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๓๗๓ เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๖๖๓ เรื่อง
นอกจากนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในรูปแบบใหม่ ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายหรือการกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน รัฐบาลจึงได้จัดทำพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว และคณะรัฐมนตรีจะได้นำเสนอสภา นิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ซึ่งรัฐบาลเห็นว่า การมีพระราชบัญญัติดังกล่าว จะช่วยป้องกันการกระทำ ที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย และเป็นการเสริมสร้างหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนส่งเสริมให้องค์กรอิสระและประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
สำหรับเรื่องการสนับสนุนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ในการดำเนินการเกี่ยวกับคดีทุจริตประพฤติมิชอบทั้งหลาย รัฐบาลได้ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการในการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ รวมทั้งให้มีการต่ออายุการทำงานของคณะกรรมการฯ โดยให้มีวาระการทำงานไปจนกระทั่ง สิ้นสุดวาระของรัฐบาลที่ตั้งขึ้น โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจและวิธีการดำเนินการ ไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้สามารถดำเนินการไต่สวน ข้อเท็จจริงได้ และในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหา บุคคลใดกระทำความผิด โดยเฉพาะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
๑.๓ การจัดทำแผนแม่บทพัฒนาการเมืองที่เสริมสร้างคุณธรรม
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ