ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ไม่คัดค้านการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ธปท.เพื่อให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติโดยเร็ว ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงกรณีที่ ก.คลังแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ธปท.ในส่วนของที่มา และการถอดถอนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ว่า ตนได้หารือเรื่องดังกล่าวกับ รมว.คลัง
แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ ธปท.ไม่คัดค้านเพราะต้องการให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติได้โดยเร็ว เนื่องจากยังมีขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ขณะที่ ผอส.
ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท.กล่าวว่า ในร่างกฎหมายเดิมนั้นระบุไว้แล้วว่า หาก ธปท.ดำเนินการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ว่าการ ธปท.จะต้อง
รับผิดชอบและต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม ไม่ใช่ผู้ว่าการ ธปท.ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย โดยแนวคิดของ ธปท.ที่ให้อำนาจของ ธปท.แยกจาก
ก.คลัง เพราะต้องการให้มีความชัดเจนว่าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือใคร จะได้ไม่เกิดการเกี่ยงความรับผิดชอบขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
2. NEER ณ สิ้นเดือน เม.ย.50แข็งค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ REER ณ สิ้นเดือน มี.ค.50
แตะระดับ 90 ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท
ในขณะนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันค่าเงินบาทมีการ
เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 มาช่วยดูแลค่าเงินบาท รวมทั้งภาคธุรกิจต่าง ๆ ก็มีการ
ปรับตัวบ้างแล้ว ดังนั้น ผู้ส่งออกหรือผู้ที่ทำธุรกรรมกับต่างชาติก็ควรมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไปสู่การสร้างมูลค่า และมีคุณภาพมาตรฐาน
มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มีมากกว่าที่จะหันมาแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท
ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ สรอ.เท่านั้น แต่ค่าเงินสกุลอื่น ๆ ของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งก็แข็งค่าขึ้นด้วย โดยหากพิจารณา
ค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันจากดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ล่าสุด
ณ สิ้นเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ระดับ 78.25 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 5.4 และเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ
76.68 แข็งค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.01 สะท้อนให้เห็นว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ส่วนดัชนีค่าเงินบาท
ที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate : REER) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่ง
21 ประเทศ ล่าสุดสิ้นเดือน มี.ค.50 อยู่ที่ 90.46 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงที่
กลับขึ้นมาแตะระดับ 90 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 92.29 และเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของ
ปีก่อนอยู่ที่ 84.01 และเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 88.90 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันการค้าของไทย (พิจารณาจากอัตรา
แลกเปลี่ยน) มีความสามารถลดลงต่อเนื่อง (ผู้จัดการรายวัน)
3. บ.ฟิทช์ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยเติบโตต่อเนื่อง ผอ.ภาคคอร์ปอเรท และกองทุน บ.ฟิทช์ เรทติ้งส์
(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะมีพัฒนาการมาได้เพียง 15 ปีเท่านั้น
ซึ่งต่างจากประเทศพัฒนาแล้วเช่น สรอ. และยังต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง ส่วนการจัดเรทติ้งกองทุนรวมในไทย ฟิทช์ได้ทำตลาดมา
ประมาณ 2 ปีแล้ว ปัจจุบันได้จัดอันดับให้กับกองทุนรวมตราสารหนี้ทั้งหมด 2 กองของ บลจ.ทหารไทย ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทยธนวัฒน์
กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และอีกกองทุนหนึ่งของ บลจ.อยุธยา คือ กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน ซึ่งฟิทช์ตั้งเป้าไว้ว่าหากกองทุนรวมมี
การจัดอันดับร้อยละ 20-30 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมทั้งระบบ ก็ถือว่าน่าจะประสบความสำเร็จ ล่าสุดฟิทช์ได้ประกาศให้อันดับ
กองทุนในประเทศที่ระดับ AAA และ หรือ V1+ แก่กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากองทุนนี้มีคุณภาพเครดิตสูงสุด นโยบาย
การลงทุนเข้มงวด และมีความมั่นคงในการดำรงรักษาเงินลงทุนที่สูง เมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ ในไทย (กรุงเทพธุรกิจ)
4. เม็ดเงินสะพัดในงานมันนี่ เอ็กซ์โปจำนวน 8.8 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 7 ปี ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน
(มันนี่ เอ็กซ์โป) ครั้งที่ 7 กล่าวว่า ในงานมันนี่ เอ็กซ์โป 2007 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
มีผู้ใช้บริการทางการเงินกว่า 1.17 แสนราย คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้ มีผู้ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย
มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70 ของปริมาณธุรกรรมรวม เนื่องจากสถาบันการเงินมีการแข่งขันกันเสนอ
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ให้กับลูกค้าภายในงาน และยังสะท้อนถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูง รองลงมา คือ
สินเชื่อเอสเอ็มอี มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท อันดับสาม คือ สินเชื่อบุคคล 1.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต
3 พันราย มูลค่า 600 ล้านบาท และยอดซื้อกองทุนรวมจำนวน 768 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ,
แนวหน้า, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF มีความเห็นว่าประเทศร่ำรวยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศยากจนเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 50
นาย Rodrigo Rato Chiefของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวก่อนการประชุมรมว.คลังของประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ
8 ประเทศ (G8) ในเยอรมนีในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า บรรดาประเทศร่ำรวยประสบความล้มเหลวในการรักษาสัญญาที่จะเพิ่มความช่วยเหลือแก่
ประเทศยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Sub-Saharan Africa ซึ่งในการประชุมที่สก็อตแลนด์เมื่อปี 48 บรรดา รมว. คลังของประเทศ G8
ซึ่งประกอบด้วย สรอ. ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ และรัสเซีย ได้เคยให้คำมั่นว่าจะให้การช่วยเหลือแก่บรรดาประเทศ
ยากจน เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าภายในปี 53 ด้วยการผลักดันการเจรจาการค้าโลกรอบโดฮา ยกเลิกหนี้ให้แก่ประเทศยากจน และให้การ
ช่วยเหลือเพิ่มขึ้นทั้งในด้านสุขภาพ และการศึกษา ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่ม G8 ได้ผ่อนปรนการชำระหนี้แก่ประเทศยากจน และเมื่อปีที่แล้วได้ยกเลิก
หนี้สินให้แก่บรรดาประเทศยากจนที่สุด 19 ประเทศ รวมทั้งเพิ่มกองทุนเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ และการให้การศึกษาที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังมี
ความล่าช้าในเรื่องการเพิ่มความช่วยเหลือในทางการค้า ทั้งนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) ในเดือน เม.ย. ชี้ว่าในปี 49 ยอดการให้ความช่วยเหลือประเทศยากจนรวมเป็นมูลค่าสุทธิ 103.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
ลดลงจาก 106 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เมื่อปีก่อนหน้า โดย สรอ. เป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดถึง 22.7 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
แต่ก็เป็นจำนวนที่ลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรปที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ ธ.กลางสหภาพยุโรปปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รายงาน
จากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อวันที่ 14 พ.ค.50 สนง.สถิติแห่งชาติของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ
13 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน ทำให้เมื่อเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรม
ทางเศรษฐกิจยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง และสูงกว่าผลสำรวจของรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
อาจเป็นปัจจัยทำให้ ธ.กลางสหภาพยุโรปปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่อาจมีการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 4 ในเดือน มิ.ย.นี้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. ส่วนใหญ่
เป็นสินค้าขั้นกลาง (ที่ต้องนำไปผลิตต่อ) และสินค้าทุน (เครื่องจักร) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เทียบต่อปี ลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก.พ. ที่
ขยายตัวร้อยละ 7.1 และ 7.4 ตามลำดับ ซึ่งช่วยชดเชยผลผลิตด้านพลังงานที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 7.3
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของจีดีพีของเขตเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ขณะที่ภาคบริการเป็นส่วน
สำคัญที่สุดในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ในเดือน มี.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนในญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 15 พ.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนในญี่ปุ่นที่ไม่รวมเรือและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้ม
การใช้จ่ายลงทุนของภาคเอกชนในอีก 6-9 เดือนข้างหน้าจากผลสำรวจของภาครัฐลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
ต่างจากที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 หลังจากลดลงร้อยละ 5.2 ในเดือน ก.พ.50 ส่งผลให้คำสั่งซื้อในช่วงเดือน ม.ค.- มี.ค.50 ลดลง
ร้อยละ 0.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของคำสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้า สื่อสารโทรคมนาคม สิ่งทอและอุตสาหกรรม
ทั่วไป แต่อย่างไรก็ดี จากตัวเลขในอดีตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าธุรกิจในญี่ปุ่นจะประมาณการยอดคำสั่งซื้อในเดือน มี.ค.ซึ่งเป็นเดือน
สุดท้ายของปีงบประมาณต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริง โดยในปี 49 คำสั่งซื้อจริงสูงกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 11.9 สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของ
ภาคธุรกิจโดย ธ.กลางญี่ปุ่นเมื่อเดือน เม.ย.50 ที่ผ่านมาซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะลงทุนเพิ่ม ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์
คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกจะขยายตัวร้อยละ 0.7 ในไตรมาสแรกปี 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
เมื่อเทียบต่อปี ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดไว้ก็จะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากในไตรมาสสุดท้ายปี 49
ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อไตรมาสและร้อยละ 5.5 ต่อปีซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวต่อปีสูงสุดในรอบ 3 ปี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนชะลอลงที่ระดับร้อยละ 3.0 ในเดือน เม.ย.50 จากร้อยละ 3.3 ในเดือนก่อนหน้า รายงานจาก
ปักกิ่งเมื่อ 14 พ.ค.50 The National Bureau of Statistics เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดใน
รอบกว่า 2 ปีที่ระดับร้อยละ 3.0 จากระดับร้อยละ 3.3 ในเดือนก่อนหน้า ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีฯ จะอยู่ที่
ระดับร้อยละ 3.1 และยังคงอยู่ในระดับเป้าหมายของ ธ.กลาง ซึ่งกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ไว้ที่ระดับร้อยละ 3 โดยดัชนีราคาอาหาร
ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญ 1 ใน 3 ของอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เทียบต่อปี ชะลอลงจากร้อยละ 7.7 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่
ดัชนีราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ชะลอลงในเดือน เม.ย.ดังกล่าว
อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ไม่ใช่ช่วงเวลาอันใกล้นี้ โดยหากจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ ก็จะ
เป็นการดำเนินการเพื่อลดผลความร้อนแรงของตลาดหุ้น สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วง 4 เดือนแรกของปี (ม.ค.-เม.ย.50) อยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 2.8 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 พ.ค. 50 14 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.477 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3036/34.6307 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.11859 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 712.18/12.41 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,950/11,050 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.16 62.27 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 12 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ไม่คัดค้านการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ธปท.เพื่อให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติโดยเร็ว ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงกรณีที่ ก.คลังแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ธปท.ในส่วนของที่มา และการถอดถอนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ว่า ตนได้หารือเรื่องดังกล่าวกับ รมว.คลัง
แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ ธปท.ไม่คัดค้านเพราะต้องการให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติได้โดยเร็ว เนื่องจากยังมีขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ขณะที่ ผอส.
ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท.กล่าวว่า ในร่างกฎหมายเดิมนั้นระบุไว้แล้วว่า หาก ธปท.ดำเนินการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ว่าการ ธปท.จะต้อง
รับผิดชอบและต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม ไม่ใช่ผู้ว่าการ ธปท.ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย โดยแนวคิดของ ธปท.ที่ให้อำนาจของ ธปท.แยกจาก
ก.คลัง เพราะต้องการให้มีความชัดเจนว่าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือใคร จะได้ไม่เกิดการเกี่ยงความรับผิดชอบขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, มติชน, แนวหน้า)
2. NEER ณ สิ้นเดือน เม.ย.50แข็งค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ REER ณ สิ้นเดือน มี.ค.50
แตะระดับ 90 ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ผอ.ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท
ในขณะนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันค่าเงินบาทมีการ
เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการออกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 มาช่วยดูแลค่าเงินบาท รวมทั้งภาคธุรกิจต่าง ๆ ก็มีการ
ปรับตัวบ้างแล้ว ดังนั้น ผู้ส่งออกหรือผู้ที่ทำธุรกรรมกับต่างชาติก็ควรมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไปสู่การสร้างมูลค่า และมีคุณภาพมาตรฐาน
มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มีมากกว่าที่จะหันมาแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท
ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ สรอ.เท่านั้น แต่ค่าเงินสกุลอื่น ๆ ของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งก็แข็งค่าขึ้นด้วย โดยหากพิจารณา
ค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งขันจากดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ล่าสุด
ณ สิ้นเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ระดับ 78.25 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 5.4 และเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ
76.68 แข็งค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.01 สะท้อนให้เห็นว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ส่วนดัชนีค่าเงินบาท
ที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate : REER) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่ง
21 ประเทศ ล่าสุดสิ้นเดือน มี.ค.50 อยู่ที่ 90.46 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงที่
กลับขึ้นมาแตะระดับ 90 เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 92.29 และเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของ
ปีก่อนอยู่ที่ 84.01 และเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 88.90 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันการค้าของไทย (พิจารณาจากอัตรา
แลกเปลี่ยน) มีความสามารถลดลงต่อเนื่อง (ผู้จัดการรายวัน)
3. บ.ฟิทช์ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยเติบโตต่อเนื่อง ผอ.ภาคคอร์ปอเรท และกองทุน บ.ฟิทช์ เรทติ้งส์
(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะมีพัฒนาการมาได้เพียง 15 ปีเท่านั้น
ซึ่งต่างจากประเทศพัฒนาแล้วเช่น สรอ. และยังต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง ส่วนการจัดเรทติ้งกองทุนรวมในไทย ฟิทช์ได้ทำตลาดมา
ประมาณ 2 ปีแล้ว ปัจจุบันได้จัดอันดับให้กับกองทุนรวมตราสารหนี้ทั้งหมด 2 กองของ บลจ.ทหารไทย ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทยธนวัฒน์
กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และอีกกองทุนหนึ่งของ บลจ.อยุธยา คือ กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน ซึ่งฟิทช์ตั้งเป้าไว้ว่าหากกองทุนรวมมี
การจัดอันดับร้อยละ 20-30 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมทั้งระบบ ก็ถือว่าน่าจะประสบความสำเร็จ ล่าสุดฟิทช์ได้ประกาศให้อันดับ
กองทุนในประเทศที่ระดับ AAA และ หรือ V1+ แก่กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากองทุนนี้มีคุณภาพเครดิตสูงสุด นโยบาย
การลงทุนเข้มงวด และมีความมั่นคงในการดำรงรักษาเงินลงทุนที่สูง เมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ ในไทย (กรุงเทพธุรกิจ)
4. เม็ดเงินสะพัดในงานมันนี่ เอ็กซ์โปจำนวน 8.8 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 7 ปี ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน
(มันนี่ เอ็กซ์โป) ครั้งที่ 7 กล่าวว่า ในงานมันนี่ เอ็กซ์โป 2007 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
มีผู้ใช้บริการทางการเงินกว่า 1.17 แสนราย คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 7 ปี ทั้งนี้ มีผู้ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย
มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70 ของปริมาณธุรกรรมรวม เนื่องจากสถาบันการเงินมีการแข่งขันกันเสนอ
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ให้กับลูกค้าภายในงาน และยังสะท้อนถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูง รองลงมา คือ
สินเชื่อเอสเอ็มอี มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท อันดับสาม คือ สินเชื่อบุคคล 1.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต
3 พันราย มูลค่า 600 ล้านบาท และยอดซื้อกองทุนรวมจำนวน 768 ล้านบาท (โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ,
แนวหน้า, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF มีความเห็นว่าประเทศร่ำรวยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศยากจนเพิ่มขึ้น รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 50
นาย Rodrigo Rato Chiefของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวก่อนการประชุมรมว.คลังของประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ
8 ประเทศ (G8) ในเยอรมนีในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า บรรดาประเทศร่ำรวยประสบความล้มเหลวในการรักษาสัญญาที่จะเพิ่มความช่วยเหลือแก่
ประเทศยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Sub-Saharan Africa ซึ่งในการประชุมที่สก็อตแลนด์เมื่อปี 48 บรรดา รมว. คลังของประเทศ G8
ซึ่งประกอบด้วย สรอ. ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส แคนาดา เยอรมนี อังกฤษ และรัสเซีย ได้เคยให้คำมั่นว่าจะให้การช่วยเหลือแก่บรรดาประเทศ
ยากจน เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าภายในปี 53 ด้วยการผลักดันการเจรจาการค้าโลกรอบโดฮา ยกเลิกหนี้ให้แก่ประเทศยากจน และให้การ
ช่วยเหลือเพิ่มขึ้นทั้งในด้านสุขภาพ และการศึกษา ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่ม G8 ได้ผ่อนปรนการชำระหนี้แก่ประเทศยากจน และเมื่อปีที่แล้วได้ยกเลิก
หนี้สินให้แก่บรรดาประเทศยากจนที่สุด 19 ประเทศ รวมทั้งเพิ่มกองทุนเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ และการให้การศึกษาที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังมี
ความล่าช้าในเรื่องการเพิ่มความช่วยเหลือในทางการค้า ทั้งนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) ในเดือน เม.ย. ชี้ว่าในปี 49 ยอดการให้ความช่วยเหลือประเทศยากจนรวมเป็นมูลค่าสุทธิ 103.9 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
ลดลงจาก 106 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. เมื่อปีก่อนหน้า โดย สรอ. เป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดถึง 22.7 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.
แต่ก็เป็นจำนวนที่ลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเขตเศรษฐกิจยุโรปที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ ธ.กลางสหภาพยุโรปปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รายงาน
จากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อวันที่ 14 พ.ค.50 สนง.สถิติแห่งชาติของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ
13 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน ทำให้เมื่อเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรม
ทางเศรษฐกิจยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง และสูงกว่าผลสำรวจของรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
อาจเป็นปัจจัยทำให้ ธ.กลางสหภาพยุโรปปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่อาจมีการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 4 ในเดือน มิ.ย.นี้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. ส่วนใหญ่
เป็นสินค้าขั้นกลาง (ที่ต้องนำไปผลิตต่อ) และสินค้าทุน (เครื่องจักร) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เทียบต่อปี ลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก.พ. ที่
ขยายตัวร้อยละ 7.1 และ 7.4 ตามลำดับ ซึ่งช่วยชดเชยผลผลิตด้านพลังงานที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 7.3
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของจีดีพีของเขตเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ขณะที่ภาคบริการเป็นส่วน
สำคัญที่สุดในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ในเดือน มี.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรของภาคเอกชนในญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 15 พ.ค.50 คำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนในญี่ปุ่นที่ไม่รวมเรือและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นตัวชี้วัดแนวโน้ม
การใช้จ่ายลงทุนของภาคเอกชนในอีก 6-9 เดือนข้างหน้าจากผลสำรวจของภาครัฐลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
ต่างจากที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 หลังจากลดลงร้อยละ 5.2 ในเดือน ก.พ.50 ส่งผลให้คำสั่งซื้อในช่วงเดือน ม.ค.- มี.ค.50 ลดลง
ร้อยละ 0.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของคำสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้า สื่อสารโทรคมนาคม สิ่งทอและอุตสาหกรรม
ทั่วไป แต่อย่างไรก็ดี จากตัวเลขในอดีตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าธุรกิจในญี่ปุ่นจะประมาณการยอดคำสั่งซื้อในเดือน มี.ค.ซึ่งเป็นเดือน
สุดท้ายของปีงบประมาณต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริง โดยในปี 49 คำสั่งซื้อจริงสูงกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 11.9 สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของ
ภาคธุรกิจโดย ธ.กลางญี่ปุ่นเมื่อเดือน เม.ย.50 ที่ผ่านมาซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะลงทุนเพิ่ม ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์
คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกจะขยายตัวร้อยละ 0.7 ในไตรมาสแรกปี 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
เมื่อเทียบต่อปี ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดไว้ก็จะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากในไตรมาสสุดท้ายปี 49
ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อไตรมาสและร้อยละ 5.5 ต่อปีซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวต่อปีสูงสุดในรอบ 3 ปี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนชะลอลงที่ระดับร้อยละ 3.0 ในเดือน เม.ย.50 จากร้อยละ 3.3 ในเดือนก่อนหน้า รายงานจาก
ปักกิ่งเมื่อ 14 พ.ค.50 The National Bureau of Statistics เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดใน
รอบกว่า 2 ปีที่ระดับร้อยละ 3.0 จากระดับร้อยละ 3.3 ในเดือนก่อนหน้า ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีฯ จะอยู่ที่
ระดับร้อยละ 3.1 และยังคงอยู่ในระดับเป้าหมายของ ธ.กลาง ซึ่งกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ไว้ที่ระดับร้อยละ 3 โดยดัชนีราคาอาหาร
ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญ 1 ใน 3 ของอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เทียบต่อปี ชะลอลงจากร้อยละ 7.7 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่
ดัชนีราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.0 ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ชะลอลงในเดือน เม.ย.ดังกล่าว
อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ไม่ใช่ช่วงเวลาอันใกล้นี้ โดยหากจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ ก็จะ
เป็นการดำเนินการเพื่อลดผลความร้อนแรงของตลาดหุ้น สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วง 4 เดือนแรกของปี (ม.ค.-เม.ย.50) อยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 2.8 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 พ.ค. 50 14 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.477 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.3036/34.6307 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.11859 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 712.18/12.41 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,950/11,050 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.16 62.27 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 12 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--