แท็ก
ร่างรัฐธรรมนูญ
กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญกำลังจะเริ่มขึ้น หลังจากที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้เลือกประธานและตำแหน่งต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปจะเป็น ภาระหน้าที่ของคณะกรรมาธิการและสภาร่างรัฐธรรมนูญที่จะขับเคลื่อนกระบวนการคืนประชาธิปไตยให้สังคม ซึ่งจะต้องทำโดยยึดหลักการสำคัญอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
๑. ความรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดว่าจะนำไปสู่การเลือกตั้งได้ประมาณปลายปีนี้
๒. การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยต้องไม่ลืมว่า จะต้องมีกระบวนการประชามติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเมื่อร่างเสร็จ
๓. การยืนหยัดหลักประชาธิปไตย ไม่ให้ถอยหลังไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ความสามารถในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
หากตอบสนองหลักการเหล่านี้ได้ บรรยากาศทางการเมืองจะผ่อนคลายลงไปมากและความเชื่อมั่นต่างๆจะกลับคืนมา รัฐบาลและคมช.เองก็สามารถมีส่วนช่วยได้ โดยการประกาศจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่จะหยิบขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข กรณีร่างของสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงลงประชามติ และเพื่อพิสูจน์เจตนาในการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งต่อไป
ประเด็นในการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกกล่าวขานกันว่ายากที่สุด คือ ประเด็นของวุฒิสภาทั้งนี้ เป็นเพราะถือได้ว่า วุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้กลไกต่างๆผิดเพี้ยนไป เนื่องจากเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จึงมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองในพรรคการเมืองต่างๆ และถูกแทรกแซงจากรัฐบาล จนสูญเสียความเป็นกลาง ส่งผลให้องค์กรอิสระทั้งหลายมีปัญหา
วันนี้ จึงเกิดข้อถกเถียงว่า วุฒิสภาควรมีที่มาอย่างไร แต่งตั้ง สรรหา หรือ เลือกตั้ง แต่การพิจารณาประเด็นนี้จะต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของวุฒิสภา ซึ่งมักจะไม่มีการถกเถียงอย่างถ่องแท้
ผมจึงอยากเสนอกรอบความคิดเห็นเกี่ยวกับวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้
๑. ประเทศไทยยังควรใช้ระบบสองสภา เพราะการมีสภาเดียว เมื่อพรรคการเมืองและ
รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น จะทำให้กระบวนการกลั่นกรอง ยับยั้ง และถ่วงดุลในงานด้านนิติบัญญัติขาดหายไป แต่ก็ควรเป็นที่ชัดเจนว่า สภาที่สองนั้น ไม่ควรมีที่มา หรือบทบาทหน้าที่ในลักษณะที่เชื่อมโยง หรือ ซ้ำซ้อนกับการเมืองของพรรคการเมือง บทบาทจึงควรเป็นงานด้านนิติบัญญัติ (กฎหมาย) การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ และร่วมพิจารณากับสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องสำคัญ เช่น การประกาศสงคราม การให้ความเห็นชอบสนธิสัญญา ฯลฯ
๒.วุฒิสภาควรประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิแต่เชื่อมโยงกับประชาชน เมื่อบทบาทของ
วุฒิสภาในระบบสองสภาเป็นไปตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว สมาชิกวุฒิสภาจึงควรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ขณะเดียวกัน สมาชิกวุฒิสภาต้องทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงควรมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนกับประชาชนด้วย จึงจะสามารถสะท้อนปัญหา มุมมอง ของประชาชนได้อย่างแท้จริง วุฒิสภาจึงไม่ควรมาจากการแต่งตั้งอีกต่อไป
๓. การมีวุฒิสภาควรเป็นการเปิดพื้นที่ให้การเมืองภาคประชาชน ปมปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อจะเชื่อมโยงกับประชาชนแล้ว จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเลือกตั้งที่ไปเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองอย่างที่ประสบมาได้อย่างไร จุดนี้จึงมีข้อเสนอในเรื่องการ “สรรหา” แต่การสรรหานั้น ก่อให้เกิดคำถามที่ตามมาอีกมากมาย เช่น ใครจะมีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้สรรหา เพราะหากสรรหาโดยไม่มีหลักเกณฑ์ ก็จะกลายเป็นตัวแทนของพวกพ้อง แต่หากมีการกำหนดหลักเกณฑ์มาก ก็มักจะเป็นการกีดกันบุคคลจำนวนมากเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาการกำหนดหลักเกณฑ์ มักจะทำให้ผู้มีคุณสมบัติจำกัดอยู่แต่บุคคลที่มาจาก แวดวงราชการ หรือวิชาการ ทำให้มีความเสี่ยงที่วุฒิสภาจะกลายเป็น สภาข้าราชการมากกว่า ที่ผ่านมาระบบสรรหาที่ดูจะมีปัญหาน้อยที่สุดก็คือ การสรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่ก็ยังไม่ได้รับความรู้สึกว่าสะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างชัดเจน เป้าหมายของการได้มาซึ่งวุฒิสภา จึงควรเป็นการเปิดพื้นที่ให้ตัวแทนภาคประชาชนมากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตย การสรรหาจึงไม่น่าจะสอดคล้องกับเป้าหมายตรงนี้
๔. ทางออกคือการเลือกตั้งโดยปรับปรุงระบบการเลือกตั้ง คุณสมบัติ และบทบาท เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว จึงเห็นว่าการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ที่ผ่านมาแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก แต่ก็มีสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง ที่ตั้งใจมาทำงานการเมืองโดยไม่อิงพรรคการเมือง คนเหล่านี้ฝ่าฟันกระแสของพรรคการเมือง หรือ การเมืองท้องถิ่นมาได้ เพราะระบบเลือกตั้งที่ให้ผู้ลงคะแนนเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่เต็มจำนวน หลักการนี้จึงควรคงไว้ และได้รับการเสริมโดยการปรับปรุงวิธีการเลือกตั้ง ดังนี้
๔.๑. เพิ่มลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สส.และสว. โดยห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในสภาหนึ่งสภาใด ไปสมัครรับเลือกตั้งสำหรับอีกสภาหนึ่งในคราวต่อไป เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งตัดสินใจได้ชัดว่า ประสงค์จะทำงานในสภาในระบบพรรคการเมืองหรือไม่
๔.๒. อนุญาตให้ผู้สมัครหาเสียงได้ เพื่อประกาศกำหนดจุดยืนและความตั้งใจของตนเอง ในการอาสามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา แทนที่จะอิงกับการเป็นญาติของนักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
๔.๓. ขยายเขตเลือกตั้งให้ใหญ่กว่าจังหวัด โดยอาจจะเป็นกลุ่มจังหวัด หรือ ภาค หากการใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้งมีปัญหา เพราะจะทำให้ผลการเลือกตั้งไม่ถูกครอบงำ โดยนักการเมืองที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น
๔.๔ เลิกบทบาทของวุฒิสภาเรื่องการถอดถอน และ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ เพราะอำนาจตรงนี้เป็นมูลเหตุจูงใจสำคัญที่ทำให้นักการเมืองจากพรรคการเมือง หรือ รัฐบาลต้องการเข้าไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง หรือ ครอบงำ แต่ควรเพิ่มบทบาทให้สมาชิกวุฒิสภา ริเริ่มการเสนอกฎหมายได้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจผลักดันกฎหมายในบางเรื่องที่รัฐบาล หรือ พรรคการเมือง ให้ความสำคัญน้อย หรือ เกรงต่อความละเอียดอ่อนทางการเมืองของประเด็นนั้นๆ สามารถนำเข้าสู่สภาได้ บทบาทนี้จะมีส่วนดึงดูดให้ผู้สนใจการเมืองแต่ไม่ประสงค์จะสังกัดพรรค เข้ามาสู่เวทีการเมืองและรัฐสภามากขึ้น
สำหรับกรณีขององค์กรอิสระนั้น ก็ต้องปรับรื้อระบบการได้มาใหม่ ซึ่งจะได้นำเสนอในโอกาสต่อๆไป
แนวทางที่เสนอมาข้างต้น เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และมีลักษณะก้าวหน้า โดยคำนึงถึงความเป็นจริงของสังคม และเป้าหมายในการนำระบบการเมืองไทยในระบบตัวแทนพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการจัดทำรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ หากต้องการนำการเมืองเดินไปข้างหน้า โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต
******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ม.ค. 2550--จบ--
๑. ความรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดว่าจะนำไปสู่การเลือกตั้งได้ประมาณปลายปีนี้
๒. การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยต้องไม่ลืมว่า จะต้องมีกระบวนการประชามติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเมื่อร่างเสร็จ
๓. การยืนหยัดหลักประชาธิปไตย ไม่ให้ถอยหลังไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ความสามารถในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
หากตอบสนองหลักการเหล่านี้ได้ บรรยากาศทางการเมืองจะผ่อนคลายลงไปมากและความเชื่อมั่นต่างๆจะกลับคืนมา รัฐบาลและคมช.เองก็สามารถมีส่วนช่วยได้ โดยการประกาศจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่จะหยิบขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข กรณีร่างของสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงลงประชามติ และเพื่อพิสูจน์เจตนาในการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งต่อไป
ประเด็นในการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกกล่าวขานกันว่ายากที่สุด คือ ประเด็นของวุฒิสภาทั้งนี้ เป็นเพราะถือได้ว่า วุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้กลไกต่างๆผิดเพี้ยนไป เนื่องจากเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จึงมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองในพรรคการเมืองต่างๆ และถูกแทรกแซงจากรัฐบาล จนสูญเสียความเป็นกลาง ส่งผลให้องค์กรอิสระทั้งหลายมีปัญหา
วันนี้ จึงเกิดข้อถกเถียงว่า วุฒิสภาควรมีที่มาอย่างไร แต่งตั้ง สรรหา หรือ เลือกตั้ง แต่การพิจารณาประเด็นนี้จะต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของวุฒิสภา ซึ่งมักจะไม่มีการถกเถียงอย่างถ่องแท้
ผมจึงอยากเสนอกรอบความคิดเห็นเกี่ยวกับวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้
๑. ประเทศไทยยังควรใช้ระบบสองสภา เพราะการมีสภาเดียว เมื่อพรรคการเมืองและ
รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น จะทำให้กระบวนการกลั่นกรอง ยับยั้ง และถ่วงดุลในงานด้านนิติบัญญัติขาดหายไป แต่ก็ควรเป็นที่ชัดเจนว่า สภาที่สองนั้น ไม่ควรมีที่มา หรือบทบาทหน้าที่ในลักษณะที่เชื่อมโยง หรือ ซ้ำซ้อนกับการเมืองของพรรคการเมือง บทบาทจึงควรเป็นงานด้านนิติบัญญัติ (กฎหมาย) การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ และร่วมพิจารณากับสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องสำคัญ เช่น การประกาศสงคราม การให้ความเห็นชอบสนธิสัญญา ฯลฯ
๒.วุฒิสภาควรประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิแต่เชื่อมโยงกับประชาชน เมื่อบทบาทของ
วุฒิสภาในระบบสองสภาเป็นไปตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว สมาชิกวุฒิสภาจึงควรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ขณะเดียวกัน สมาชิกวุฒิสภาต้องทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงควรมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนกับประชาชนด้วย จึงจะสามารถสะท้อนปัญหา มุมมอง ของประชาชนได้อย่างแท้จริง วุฒิสภาจึงไม่ควรมาจากการแต่งตั้งอีกต่อไป
๓. การมีวุฒิสภาควรเป็นการเปิดพื้นที่ให้การเมืองภาคประชาชน ปมปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อจะเชื่อมโยงกับประชาชนแล้ว จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเลือกตั้งที่ไปเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองอย่างที่ประสบมาได้อย่างไร จุดนี้จึงมีข้อเสนอในเรื่องการ “สรรหา” แต่การสรรหานั้น ก่อให้เกิดคำถามที่ตามมาอีกมากมาย เช่น ใครจะมีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้สรรหา เพราะหากสรรหาโดยไม่มีหลักเกณฑ์ ก็จะกลายเป็นตัวแทนของพวกพ้อง แต่หากมีการกำหนดหลักเกณฑ์มาก ก็มักจะเป็นการกีดกันบุคคลจำนวนมากเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาการกำหนดหลักเกณฑ์ มักจะทำให้ผู้มีคุณสมบัติจำกัดอยู่แต่บุคคลที่มาจาก แวดวงราชการ หรือวิชาการ ทำให้มีความเสี่ยงที่วุฒิสภาจะกลายเป็น สภาข้าราชการมากกว่า ที่ผ่านมาระบบสรรหาที่ดูจะมีปัญหาน้อยที่สุดก็คือ การสรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่ก็ยังไม่ได้รับความรู้สึกว่าสะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างชัดเจน เป้าหมายของการได้มาซึ่งวุฒิสภา จึงควรเป็นการเปิดพื้นที่ให้ตัวแทนภาคประชาชนมากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตย การสรรหาจึงไม่น่าจะสอดคล้องกับเป้าหมายตรงนี้
๔. ทางออกคือการเลือกตั้งโดยปรับปรุงระบบการเลือกตั้ง คุณสมบัติ และบทบาท เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว จึงเห็นว่าการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ที่ผ่านมาแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก แต่ก็มีสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง ที่ตั้งใจมาทำงานการเมืองโดยไม่อิงพรรคการเมือง คนเหล่านี้ฝ่าฟันกระแสของพรรคการเมือง หรือ การเมืองท้องถิ่นมาได้ เพราะระบบเลือกตั้งที่ให้ผู้ลงคะแนนเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่เต็มจำนวน หลักการนี้จึงควรคงไว้ และได้รับการเสริมโดยการปรับปรุงวิธีการเลือกตั้ง ดังนี้
๔.๑. เพิ่มลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สส.และสว. โดยห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในสภาหนึ่งสภาใด ไปสมัครรับเลือกตั้งสำหรับอีกสภาหนึ่งในคราวต่อไป เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งตัดสินใจได้ชัดว่า ประสงค์จะทำงานในสภาในระบบพรรคการเมืองหรือไม่
๔.๒. อนุญาตให้ผู้สมัครหาเสียงได้ เพื่อประกาศกำหนดจุดยืนและความตั้งใจของตนเอง ในการอาสามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา แทนที่จะอิงกับการเป็นญาติของนักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
๔.๓. ขยายเขตเลือกตั้งให้ใหญ่กว่าจังหวัด โดยอาจจะเป็นกลุ่มจังหวัด หรือ ภาค หากการใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้งมีปัญหา เพราะจะทำให้ผลการเลือกตั้งไม่ถูกครอบงำ โดยนักการเมืองที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น
๔.๔ เลิกบทบาทของวุฒิสภาเรื่องการถอดถอน และ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ เพราะอำนาจตรงนี้เป็นมูลเหตุจูงใจสำคัญที่ทำให้นักการเมืองจากพรรคการเมือง หรือ รัฐบาลต้องการเข้าไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง หรือ ครอบงำ แต่ควรเพิ่มบทบาทให้สมาชิกวุฒิสภา ริเริ่มการเสนอกฎหมายได้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจผลักดันกฎหมายในบางเรื่องที่รัฐบาล หรือ พรรคการเมือง ให้ความสำคัญน้อย หรือ เกรงต่อความละเอียดอ่อนทางการเมืองของประเด็นนั้นๆ สามารถนำเข้าสู่สภาได้ บทบาทนี้จะมีส่วนดึงดูดให้ผู้สนใจการเมืองแต่ไม่ประสงค์จะสังกัดพรรค เข้ามาสู่เวทีการเมืองและรัฐสภามากขึ้น
สำหรับกรณีขององค์กรอิสระนั้น ก็ต้องปรับรื้อระบบการได้มาใหม่ ซึ่งจะได้นำเสนอในโอกาสต่อๆไป
แนวทางที่เสนอมาข้างต้น เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และมีลักษณะก้าวหน้า โดยคำนึงถึงความเป็นจริงของสังคม และเป้าหมายในการนำระบบการเมืองไทยในระบบตัวแทนพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการจัดทำรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ หากต้องการนำการเมืองเดินไปข้างหน้า โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต
******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ม.ค. 2550--จบ--