อนาคตของชาติต้องมาก่อน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
หลังจากที่รัฐธรรมนูญได้ผ่านการลงประชามติ และมีการประกาศใช้แล้ว กลุ่มการเมืองต่างๆ ก็มีความเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก ทั้งที่จะจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง การควบ การรวม หรือการเข้าไปยึดพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว
มองในแง่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะนั่นหมายถึงการที่ทุกฝ่ายมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่ว่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆของบ้านเมืองได้
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็น่าห่วงใยว่า การเคลื่อนไหวทั้งหลายในขณะนี้ กลับมีการพูดถึงปัญหาของประเทศ ปัญหาของประชาชนน้อยมาก บางพรรคถึงกับประกาศผ่านหัวหน้าพรรคว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่จะเป็นเพียงตัวแทน หรือ นอมินี อ้างว่าจะนำประชาธิปไตยคืนมา
ฟังแล้วก็เห็นภาพว่า ความตั้งใจทางการเมือง คงเป็นเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของคน ของกลุ่ม การทำให้การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง หรือ การล้างแค้นไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่บ้านเมืองต้องการในขณะนี้
ผมและพรรคประชาธิปัตย์จึงมุ่งหน้าในการจัดทำ “วาระประชาชน”
สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงมีชุดโฆษณาวาระประชาชนด้านการศึกษา และพรรคได้เดินทางไปจังหวัดชลบุรี เพื่อเยี่ยมนักเรียน ผู้ปกครอง และครู โดยจัดประชุมผ่านวิดีทัศน์ ไปที่พิษณุโลก อุบลราชธานี และปัตตานีด้วย
ทั้งนี้ ภายใต้ คำขวัญ “อนาคตของชาติต้องมาก่อน”
เพราะเราเชื่อว่า ถ้าคนของเรา โดยเฉพาะลูกหลาน ได้รับการพัฒนาทั้งทางด้าน ร่างกาย สมอง จิตใจ จิตสำนึกแล้ว
อนาคตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การเมือง จะดีแน่
และแม้ว่า เรารู้ว่า งานด้านนี้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้คะแนนเสียง แต่เรากลับเห็นว่า ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ หรือ เร็วที่สุด มิฉะนั้นบ้านเมืองของเรา จะเสียโอกาสต่อไป
เป้าหมายของวาระประชาชนด้านนี้ คือ โอกาส และคุณภาพ เพื่อให้ลูกหลานได้ “เรียนฟรี เรียนดี มีงานทำ” ซึ่งจะมีองค์ประกอบมาตรการที่หลากหลาย และจะขอมานำเสนอบางส่วน ดังนี้
๑. เรียนฟรี มีโอกาส นโยบายที่พูดถึงการเรียนฟรีจนจบมัธยมปลายนั้น มีผู้วิพากษ์วิจารณ์อยู่ว่า “ไม่มีอะไรใหม่” เป็นกฎหมายอยู่แล้ว” หรือ “ ใครๆก็ต้องทำ” ผมอยากจะย้ำว่า เราทราบดีว่า การเรียนฟรี ๑๒ ปี (หรือ ๑๔ ปี ถ้ารวมอนุบาล) ถูกประกาศเป็นนโยบาย มีผลทางกฎหมายมา ๕ ปี แล้ว
แต่ปัญหาคือ นโยบายนี้ไม่ได้มีผลจริง
มีการยกเว้นการเก็บค่าเล่าเรียนจริง แต่มีการเก็บค่าใช้จ่ายภายใต้ชื่ออื่นมาก เช่น ค่ากิจกรรม หรือ ค่าเรียนพิเศษ โดยรัฐบาลจัดเงินให้โรงเรียนไม่พอ
สิ่งเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทุกพื้นที่ที่เราไป รวมทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีผู้ปกครองรายหนึ่งถึงกับร้องไห้ระหว่างพูด เพราะไม่แน่ใจว่า จะรับภาระเด็ก ๕ คนในความดูแลไหวหรือไม่ โดยเด็กเหล่านั้นเรียนอยู่ในระดับประถม
วาระประชาชนจึงเน้นว่า “เรียนฟรีจริง” โดยเราพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาทเพื่อปลดเปลื้องภาระเหล่านี้ เหมือนกับที่กรุงเทพมหานครในยุคของผู้ว่าฯอภิรักษ์ ได้จัดงบประมาณเพิ่มประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท ให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครได้เรียนฟรีจริงตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ งบประมาณที่มียังเพียงพอที่จะขยายไปช่วยในเรื่อง การดื่มนมฟรีจนจบมัธยมต้น การช่วยเหลือเรื่องเครื่องแบบนักเรียน จนถึงตัวเรา โดยเอาระบบการยืมเข้ามา ให้เค้ายืมใช้แล้วส่งต่อเด็กรุ่นต่อไป แทนที่จะเก็บหรือโยนทิ้งทุกปี เช่นในปัจจุบัน
และหากท้องถิ่นตื่นตัวด้วยแล้ว มีงบประมาณมาสมทบ ภาระของรัฐในส่วนกลางก็จะลดลงไปอีก
การเรียนฟรีจริงจึงเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เอาจริง และรู้จักจัดลำดับความสำคัญ
วาระประชาชนของเรายืนยันว่าจะทำสิ่งนี้
แต่โอกาสทางการศึกษาที่จะต้องเพิ่มขึ้นนั้น ยังต้องสร้างให้ลูกหลานเราอีก ๒ กลุ่ม
กลุ่มแรก คือเด็กเล็ก ซึ่งนับวันอยู่ในภาวะที่น่าเห็นใจ เพราะมีโอกาสอยู่กับพ่อ แม่ น้อยลง เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทำให้ พ่อ แม่ ต้องจากลูกไปหางานทำ
วาระประชาชนจึงจะทุ่มเท ลงทุน สร้าง “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพิ่มซึ่งใกล้บ้าน และจะให้สถานประกอบการที่ลงทุนในเรื่องนี้ นำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้
เราจะได้ไม่เห็นภาพของเด็กๆที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ก่อสร้าง หรือ ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับคนอื่น โดยไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนา
กลุ่มที่สอง คือ เด็ก และ เยาวชน ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ตรงนี้แนวทางประกอบด้วย การสะสางปัญหากองทุนกู้ยืม โดยมีเป้าหมายว่า ทุกคนกู้เรียนเพื่อชำระค่าหน่วยกิตได้ และทุกคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนสามารถกู้เงินเพื่อมีค่ากินอยู่ได้ด้วย การบริหารจัดการกองทุนก็ต้องปรับปรุงให้การจัดสรรและการจ่ายเงินรวดเร็ว และเป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ ก่อนจะมีการเดินหน้าเรื่องมหาวิทยาลัยในกำกับ ควรตรากฎหมายสร้างหลักประกัน การอุดหนุนการศึกษาจากภาครัฐ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนเรื่องนี้ไปสู่การโยนภาระการเงินให้มหาวิทยาลัยและเด็ก
๒. เรียนดี มีคุณภาพ วาระประชาชนไม่เพียงแต่ต้องการให้ลูกหลานได้เรียน แต่ต้องการให้เรียนดี มีคุณภาพด้วย สิ่งที่ต้องเร่งทำ มีดังต่อไปนี้
- สนับสนุนเรื่องโภชนาการสำหรับเด็กเล็กและแม่ เพราะปัจจุบัน การดูแลเด็กเล็ก
ด้านสมองมีปัญหา ทำให้ไอคิวของเด็กโดยเมื่อวัดที่อายุ ๖ ปี ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก
- ปรับหลักสูตรการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กของเรามีความรอบด้าน ความ
พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตจริงในโลกปัจจุบัน และอนาคต
เด็กประถมของเราในปัจจุบันเรียนเนื้อหาสาระมากไป แบกกระเป๋าไปโรงเรียนแทบไม่ไหว
ต้องลดสาระตรงนี้ แต่ให้เด็กมีโอกาส เล่นกีฬา เล่นดนตรี เรียนรู้ สังคมข่าวสาร วัฒนธรรม ชุมชนของตนเองโดยการทำกิจกรรม
ใน ๕ วัน อาจเรียนวิชาในห้องเรียนเต็มวันแค่ ๒ วัน อีก ๓ วัน ให้เด็กๆได้ทำกิจกรรมครึ่งวัน เหมือนกับหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว
การศึกษาของเรา จะได้สร้างคนที่สมบูรณ์ขึ้น
สำหรับเด็กมัธยมนั้น ต้องส่งเสริมให้ค้นพบตัวเองให้เร็วขึ้น เพื่อตัดสินใจเรียนต่อได้ตรงตามศักยภาพของตัวเอง
นอกจากนี้ การปรับคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ ภาษา (ทั้งไทยและต่างประเทศ) และคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องด่วน โดยต้องมีการสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์ และการอบรมบุคลากร โดยควรเพิ่มการลงทุนด้านนี้อีกประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
- การศึกษาที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ครู ต้องทุ่มเทให้นักเรียน ปัจจุบัน เราไปสร้างภาระให้
ครูไว้มาก ทั้งงานบริหาร ธุรการ งานมวลชน ไม่เว้นแม้แต่งานการเมือง ไม่นับปัญหาภาระหนี้สินของครู
วาระประชาชน จะมีมาตรการต่างๆช่วยปลดเปลื้องภาระเหล่านี้ เพื่อ “คืนครูให้นักเรียน”
นอกจากนี้ รัฐต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลการประเมินสถานศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) มากกว่านี้ เพื่อให้การปรับปรุงคุณภาพเป็นไปอย่างตรงเป้า ตรงจุด
๓. มีงานทำ การศึกษาที่ดีต้องนำไปสู่ การมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิต ช่วยพัฒนาสังคม
ปัจจุบัน เรามีปัญหาบัณฑิตตกงานมากขึ้น และเรามีปัญหาการขาดแคลนคนทำงาน ที่มี
ทักษะมากขึ้นพร้อมๆกันไป นั่นเพราะความไม่สมดุลในระบบของเรา
วาระประชาชน จะแก้ปัญหานี้ ด้วยการ “ส่งเสริมอาชีวศึกษา” ให้เป็นที่ต้องการของผู้ปกครองและนักเรียน โดยสร้างแรงจูงใจเรื่องผลตอบแทนของผู้จบสายอาชีพและด้วยการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการกำหนดแผน และหลักสูตรการศึกษา
ในส่วนของผู้จบการศึกษาแล้วแต่ต้องการประสบการณ์ แนวทางที่เป็นไปได้ คือ การให้บัณฑิตมาทำงานของรัฐ ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะด้านการสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาหนี้ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหาอื่นๆ
นี่คือส่วนหนึ่งของวาระประชาชน ว่าด้วยการพัฒนาคน
และไม่ว่าวาระประชาชนในส่วนนี้ จะถูกวิจารณ์ ว่า “ไม่โดนใจ” หรือ “ไม่หวือหวา”
แต่เรายืนยันเดินหน้า เพราะนี่คือ หนทางไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืนของทุกคน
ย้ำอีกครั้งว่า
“อนาคตของชาติต้องมาก่อน”
-------------------------------------
หมายเหตุ: สนใจติดตามแนวคิดเรื่องการศึกษาและวาระประชาชน ได้จากหนังสือ “ร้อยฝันวันฟ้าใหม่” โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ส.ค. 2550--จบ--
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
หลังจากที่รัฐธรรมนูญได้ผ่านการลงประชามติ และมีการประกาศใช้แล้ว กลุ่มการเมืองต่างๆ ก็มีความเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก ทั้งที่จะจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง การควบ การรวม หรือการเข้าไปยึดพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว
มองในแง่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะนั่นหมายถึงการที่ทุกฝ่ายมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่ว่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆของบ้านเมืองได้
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็น่าห่วงใยว่า การเคลื่อนไหวทั้งหลายในขณะนี้ กลับมีการพูดถึงปัญหาของประเทศ ปัญหาของประชาชนน้อยมาก บางพรรคถึงกับประกาศผ่านหัวหน้าพรรคว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่จะเป็นเพียงตัวแทน หรือ นอมินี อ้างว่าจะนำประชาธิปไตยคืนมา
ฟังแล้วก็เห็นภาพว่า ความตั้งใจทางการเมือง คงเป็นเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของคน ของกลุ่ม การทำให้การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง หรือ การล้างแค้นไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่บ้านเมืองต้องการในขณะนี้
ผมและพรรคประชาธิปัตย์จึงมุ่งหน้าในการจัดทำ “วาระประชาชน”
สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงมีชุดโฆษณาวาระประชาชนด้านการศึกษา และพรรคได้เดินทางไปจังหวัดชลบุรี เพื่อเยี่ยมนักเรียน ผู้ปกครอง และครู โดยจัดประชุมผ่านวิดีทัศน์ ไปที่พิษณุโลก อุบลราชธานี และปัตตานีด้วย
ทั้งนี้ ภายใต้ คำขวัญ “อนาคตของชาติต้องมาก่อน”
เพราะเราเชื่อว่า ถ้าคนของเรา โดยเฉพาะลูกหลาน ได้รับการพัฒนาทั้งทางด้าน ร่างกาย สมอง จิตใจ จิตสำนึกแล้ว
อนาคตของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การเมือง จะดีแน่
และแม้ว่า เรารู้ว่า งานด้านนี้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้คะแนนเสียง แต่เรากลับเห็นว่า ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ หรือ เร็วที่สุด มิฉะนั้นบ้านเมืองของเรา จะเสียโอกาสต่อไป
เป้าหมายของวาระประชาชนด้านนี้ คือ โอกาส และคุณภาพ เพื่อให้ลูกหลานได้ “เรียนฟรี เรียนดี มีงานทำ” ซึ่งจะมีองค์ประกอบมาตรการที่หลากหลาย และจะขอมานำเสนอบางส่วน ดังนี้
๑. เรียนฟรี มีโอกาส นโยบายที่พูดถึงการเรียนฟรีจนจบมัธยมปลายนั้น มีผู้วิพากษ์วิจารณ์อยู่ว่า “ไม่มีอะไรใหม่” เป็นกฎหมายอยู่แล้ว” หรือ “ ใครๆก็ต้องทำ” ผมอยากจะย้ำว่า เราทราบดีว่า การเรียนฟรี ๑๒ ปี (หรือ ๑๔ ปี ถ้ารวมอนุบาล) ถูกประกาศเป็นนโยบาย มีผลทางกฎหมายมา ๕ ปี แล้ว
แต่ปัญหาคือ นโยบายนี้ไม่ได้มีผลจริง
มีการยกเว้นการเก็บค่าเล่าเรียนจริง แต่มีการเก็บค่าใช้จ่ายภายใต้ชื่ออื่นมาก เช่น ค่ากิจกรรม หรือ ค่าเรียนพิเศษ โดยรัฐบาลจัดเงินให้โรงเรียนไม่พอ
สิ่งเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทุกพื้นที่ที่เราไป รวมทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีผู้ปกครองรายหนึ่งถึงกับร้องไห้ระหว่างพูด เพราะไม่แน่ใจว่า จะรับภาระเด็ก ๕ คนในความดูแลไหวหรือไม่ โดยเด็กเหล่านั้นเรียนอยู่ในระดับประถม
วาระประชาชนจึงเน้นว่า “เรียนฟรีจริง” โดยเราพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณเพิ่ม ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาทเพื่อปลดเปลื้องภาระเหล่านี้ เหมือนกับที่กรุงเทพมหานครในยุคของผู้ว่าฯอภิรักษ์ ได้จัดงบประมาณเพิ่มประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท ให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครได้เรียนฟรีจริงตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ งบประมาณที่มียังเพียงพอที่จะขยายไปช่วยในเรื่อง การดื่มนมฟรีจนจบมัธยมต้น การช่วยเหลือเรื่องเครื่องแบบนักเรียน จนถึงตัวเรา โดยเอาระบบการยืมเข้ามา ให้เค้ายืมใช้แล้วส่งต่อเด็กรุ่นต่อไป แทนที่จะเก็บหรือโยนทิ้งทุกปี เช่นในปัจจุบัน
และหากท้องถิ่นตื่นตัวด้วยแล้ว มีงบประมาณมาสมทบ ภาระของรัฐในส่วนกลางก็จะลดลงไปอีก
การเรียนฟรีจริงจึงเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เอาจริง และรู้จักจัดลำดับความสำคัญ
วาระประชาชนของเรายืนยันว่าจะทำสิ่งนี้
แต่โอกาสทางการศึกษาที่จะต้องเพิ่มขึ้นนั้น ยังต้องสร้างให้ลูกหลานเราอีก ๒ กลุ่ม
กลุ่มแรก คือเด็กเล็ก ซึ่งนับวันอยู่ในภาวะที่น่าเห็นใจ เพราะมีโอกาสอยู่กับพ่อ แม่ น้อยลง เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทำให้ พ่อ แม่ ต้องจากลูกไปหางานทำ
วาระประชาชนจึงจะทุ่มเท ลงทุน สร้าง “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพิ่มซึ่งใกล้บ้าน และจะให้สถานประกอบการที่ลงทุนในเรื่องนี้ นำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้
เราจะได้ไม่เห็นภาพของเด็กๆที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ก่อสร้าง หรือ ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับคนอื่น โดยไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนา
กลุ่มที่สอง คือ เด็ก และ เยาวชน ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ตรงนี้แนวทางประกอบด้วย การสะสางปัญหากองทุนกู้ยืม โดยมีเป้าหมายว่า ทุกคนกู้เรียนเพื่อชำระค่าหน่วยกิตได้ และทุกคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนสามารถกู้เงินเพื่อมีค่ากินอยู่ได้ด้วย การบริหารจัดการกองทุนก็ต้องปรับปรุงให้การจัดสรรและการจ่ายเงินรวดเร็ว และเป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ ก่อนจะมีการเดินหน้าเรื่องมหาวิทยาลัยในกำกับ ควรตรากฎหมายสร้างหลักประกัน การอุดหนุนการศึกษาจากภาครัฐ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนเรื่องนี้ไปสู่การโยนภาระการเงินให้มหาวิทยาลัยและเด็ก
๒. เรียนดี มีคุณภาพ วาระประชาชนไม่เพียงแต่ต้องการให้ลูกหลานได้เรียน แต่ต้องการให้เรียนดี มีคุณภาพด้วย สิ่งที่ต้องเร่งทำ มีดังต่อไปนี้
- สนับสนุนเรื่องโภชนาการสำหรับเด็กเล็กและแม่ เพราะปัจจุบัน การดูแลเด็กเล็ก
ด้านสมองมีปัญหา ทำให้ไอคิวของเด็กโดยเมื่อวัดที่อายุ ๖ ปี ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก
- ปรับหลักสูตรการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กของเรามีความรอบด้าน ความ
พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตจริงในโลกปัจจุบัน และอนาคต
เด็กประถมของเราในปัจจุบันเรียนเนื้อหาสาระมากไป แบกกระเป๋าไปโรงเรียนแทบไม่ไหว
ต้องลดสาระตรงนี้ แต่ให้เด็กมีโอกาส เล่นกีฬา เล่นดนตรี เรียนรู้ สังคมข่าวสาร วัฒนธรรม ชุมชนของตนเองโดยการทำกิจกรรม
ใน ๕ วัน อาจเรียนวิชาในห้องเรียนเต็มวันแค่ ๒ วัน อีก ๓ วัน ให้เด็กๆได้ทำกิจกรรมครึ่งวัน เหมือนกับหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว
การศึกษาของเรา จะได้สร้างคนที่สมบูรณ์ขึ้น
สำหรับเด็กมัธยมนั้น ต้องส่งเสริมให้ค้นพบตัวเองให้เร็วขึ้น เพื่อตัดสินใจเรียนต่อได้ตรงตามศักยภาพของตัวเอง
นอกจากนี้ การปรับคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์ ภาษา (ทั้งไทยและต่างประเทศ) และคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องด่วน โดยต้องมีการสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์ และการอบรมบุคลากร โดยควรเพิ่มการลงทุนด้านนี้อีกประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
- การศึกษาที่ดีจะเกิดขึ้นได้ ครู ต้องทุ่มเทให้นักเรียน ปัจจุบัน เราไปสร้างภาระให้
ครูไว้มาก ทั้งงานบริหาร ธุรการ งานมวลชน ไม่เว้นแม้แต่งานการเมือง ไม่นับปัญหาภาระหนี้สินของครู
วาระประชาชน จะมีมาตรการต่างๆช่วยปลดเปลื้องภาระเหล่านี้ เพื่อ “คืนครูให้นักเรียน”
นอกจากนี้ รัฐต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลการประเมินสถานศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) มากกว่านี้ เพื่อให้การปรับปรุงคุณภาพเป็นไปอย่างตรงเป้า ตรงจุด
๓. มีงานทำ การศึกษาที่ดีต้องนำไปสู่ การมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิต ช่วยพัฒนาสังคม
ปัจจุบัน เรามีปัญหาบัณฑิตตกงานมากขึ้น และเรามีปัญหาการขาดแคลนคนทำงาน ที่มี
ทักษะมากขึ้นพร้อมๆกันไป นั่นเพราะความไม่สมดุลในระบบของเรา
วาระประชาชน จะแก้ปัญหานี้ ด้วยการ “ส่งเสริมอาชีวศึกษา” ให้เป็นที่ต้องการของผู้ปกครองและนักเรียน โดยสร้างแรงจูงใจเรื่องผลตอบแทนของผู้จบสายอาชีพและด้วยการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในการกำหนดแผน และหลักสูตรการศึกษา
ในส่วนของผู้จบการศึกษาแล้วแต่ต้องการประสบการณ์ แนวทางที่เป็นไปได้ คือ การให้บัณฑิตมาทำงานของรัฐ ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะด้านการสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาหนี้ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหาอื่นๆ
นี่คือส่วนหนึ่งของวาระประชาชน ว่าด้วยการพัฒนาคน
และไม่ว่าวาระประชาชนในส่วนนี้ จะถูกวิจารณ์ ว่า “ไม่โดนใจ” หรือ “ไม่หวือหวา”
แต่เรายืนยันเดินหน้า เพราะนี่คือ หนทางไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืนของทุกคน
ย้ำอีกครั้งว่า
“อนาคตของชาติต้องมาก่อน”
-------------------------------------
หมายเหตุ: สนใจติดตามแนวคิดเรื่องการศึกษาและวาระประชาชน ได้จากหนังสือ “ร้อยฝันวันฟ้าใหม่” โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ส.ค. 2550--จบ--