ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ยืนยันไม่ลดเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำร้อยละ 10 หนี้บัตรเครดิต นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน
ธปท. กล่าวว่า หลังการปรับเกณฑ์ผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจากร้อยละ 5 มาอยู่ที่ร้อยละ 10 ของวงเงินใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตพบว่า ลูกหนี้
ร้อยละ 70-80 ยังสามารถผ่อนชำระได้ตามปกติ อีกประมาณร้อยละ 20 ที่มีปัญหาอ้างว่าผ่อนชำระไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล การปรับลด
เกณฑ์จึงไม่ใช่ทางออก ซึ่งการให้ชำระขั้นต่ำร้อยละ 10 โดยภาพรวมเศรษฐกิจอาจจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศชะลอลงบ้าง แต่ไม่จำเป็น
ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวด้วยการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ควรส่งเสริมให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมีเสถียรภาพจริง ซึ่งต้องเริ่มจากครัวเรือน
เข้มแข็งไม่มีหนี้เกินตัว ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 บัตรเครดิตทั้งระบบมี 11 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 3,644 ใบ หรือร้อยละ 0.03
จากเดือนก่อนหน้า มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.66 แสนล้านบาท ลดลง 2.03 พันล้านบาท หรือร้อยละ 1.21 โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม
6.44 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 9.66 พันล้านบาท หรือร้อยละ 13.04 ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 1.68 หมื่นล้านบาท
ลดลง 1.83 พันล้านบาท หรือร้อยละ 9.82 (โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า)
2. ธปท. แนะให้ผู้ส่งออกกระจายความเสี่ยงด้านค่าเงินมากขึ้น ธปท. ได้ออกบทความผ่านเว็บไซต์ ธปท. หัวข้อ “แนวคิด
เรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” โดย นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผอ.อาวุโสฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรองว่า
ในขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ. จะยังคงอ่อนตัวต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้ค่าเงินบาทและเงินในภูมิภาค
เอเชียแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และการค้าขายส่งออกนำเข้าของไทยที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์ สรอ. เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าถึงร้อยละ 90
ของมูลค่าการส่งออกรวม ทั้งที่การส่งออกของไทยมีสัดส่วนที่ส่งออกไป สรอ. เพียงร้อยละ 15 ของการส่งออกรวมเท่านั้น ธปท. มองว่า
การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเช่นนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงแนะให้ผู้ส่งออกไทยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในการรับชำระราคาและ
ค้าขายระหว่างประเทศให้มีลักษณะกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เช่น แทนที่จะนำรายรับส่วนใหญ่ไปผูกติดไว้กับค่าเงินสกุลเดียวคือดอลลาร์ สรอ.
ควรจะเปลี่ยนไปตั้งราคาและรับชำระค่าสินค้าส่งออกเป็นเงินสกุลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินยูโร ปอนด์สเตอร์ลิง เงินเยน รวมทั้งเงินในสกุล
ภูมิภาคตามสภาพการส่งออกของตนเอง ซึ่งจากการสอบถาม ธ.พาณิชย์หลายแห่งพบว่า เมื่อเทียบความคล่องตัวในการทำธุรกรรมระหว่าง
เงินสกุลหลักอื่นก็ไม่ได้แตกต่างจากเงินดอลลาร์ สรอ. มากนัก (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
3. เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างแท้จริงต้องอยู่ที่การลงทุนของภาคเอกชน นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธ.กสิกรไทย
เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลให้ธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อ 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนับว่าเป็นมาตรการหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้
เศรษฐกิจโดยภาพรวมทั้งหมดดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันขอให้อยู่บนพื้นฐานความสามารถของลูกหนี้ที่นำเงินไปและชำระคืนได้หรือไม่จึงจะเป็นระบบ
ที่มั่นคง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นหนี้เสียของสถาบันการเงิน ทั้งนี้ หากจะให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อย่างแท้จริงต้องอยู่ที่การลงทุนของภาคเอกชน
ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยอมรับว่าการลงทุนของภาคเอกชนชะงักไปเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง ดังนั้น ภาคการเมือง
จะต้องเร่งจัดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ภาคเอกชนและภาคธุรกิจก็ต้องจัดการ
ปรับปรุงตัวเองด้วยความระมัดระวังรอบคอบ โดยต้องดูว่าตัวเองมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดแล้วหรือยัง
ที่สำคัญต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้ผลผลิตสูงขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับต่างชาติได้ สำหรับภาครัฐ
ต้องเร่งร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ แม้ว่าจะมีหลายประเด็นที่มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ควรจะมีข้อตกลงที่พอไปด้วยกันได้โดยสันติวิธี
(เดลินิวส์, มติชน, โพสต์ทูเดย์)
4. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรม พ.ศ.2550 - 2554 นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ
รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. คณะที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ว่า ที่ประชุม
มีมติเห็นชอบแผนแม่บทพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพอุตสาหกรรม ระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ.2550 — 2554)
งบประมาณการลงทุนเบื้องต้น 1,100 ล้านบาท และสามารถปรับเพิ่มได้ตามโครงการในอนาคต คาดว่าจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ
ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ สำหรับแผนแม่บทดังกล่าวประกอบด้วย ยุทธศาสตร์หลัก 4 — 5 ข้อ อาทิ การปรับและพัฒนาคุณภาพ
ทรัพยากรมนุษย์ การทำงานระบบเครือข่าย และการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งหากดำเนินการได้ตามแผนจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
จากปัจจุบันร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2554 ขณะที่ประเทศ สรอ. มีตัวเลขกำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 3 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลการสำรวจของ ISM ชี้ว่าในเดือน เม.ย. ภาคบริการของ สรอ. ฟื้นตัวรายงานจากนิวยอร์กเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 50
ผลการสำรวจของ Institute for Supply Management (ISM) ชี้ว่า ในเดือน เม.ย. ดัชนีภาคบริการของ สรอ.ในเดือน เม.ย.
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 56.0 จากระดับ 52.4 ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี และขยายตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
จากผลการสำรวจโดยรอยเตอร์ว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 53.0 เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 55.5 จากระดับ 53.8 ใน
เดือน มี.ค. รวมทั้งการจ้างงานเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 50.8 ในเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุน
เชื้อเพลิงและพลังงานสูงขึ้น โดยดัชนีภาคบริการที่อยู่สูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัว ขณะที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ชี้ว่าเศรษฐกิจหดตัว ทั้งนี้
ภาคบริการของ สรอ. คิดเป็นร้อยละ 80 ของเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงธุรกิจต่างๆ อาทิ ภัตตาคาร โรงแรม ร้านทำผม ธนาคาร และธุรกิจการบิน
ตัวเลขดัชนีดังกล่าวในเดือน เม.ย. บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเมื่อเริ่มไตรมาสที่ 2 กำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลดีต่อราคาหุ้น และทำให้
เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น(รอยเตอร์)
2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี และระยะ 15 ปีของ สรอ. ในสัปดาห์นี้ไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
วันที่ 3 พ.ค. 50 ผลการสำรวจของบริษัทสินเชื่อจำนอง Freddie Mac ชี้ว่า ในสัปดาห์นี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของสรอ. ไม่เปลี่ยนแปลง
จากสัปดาห์ก่อน สาเหตุจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่เติบโตเพียงร้อยละ 1.3 และตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือน มี.ค. ก็ไม่
เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีคงอยู่ที่ร้อยละ 6.16 เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี
คงอยู่ที่ร้อยละ 5.87 ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปีที่ปรับได้ (ARM) อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.42 เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
จากร้อยละ 5.43 ในสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี ระยะ 15 ปีและอัตราดอกเบี้ย ARM
อยู่ที่ร้อยละ 6.59 6.22 และ 5.67 ตามลำดับ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมของเงินกู้ระยะ 30 ปี และระยะ 15 ไม่เปลี่ยนแปลงจาก
สัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 0.5 เช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมของ ARM ที่คงอยู่ที่ร้อยละ 0.7 (รอยเตอร์)
3. ในเดือน มี.ค.50 ดัชนีราคาผู้ผลิตใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ต่อปี รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 3 พ.ค.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานราคาสินค้าหน้าโรงงานหรือราคาผู้ผลิตใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลัก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สอดคล้อง
กับผลสำรวจรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ต่อปี โดยดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและสินค้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนและร้อยละ 3.4 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ต่อเดือนและร้อยละ 3.5 ต่อปีในเดือน ก.พ.50 ทั้งนี้ดัชนี
ราคาผู้ผลิตเป็นตัวชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเพราะหากผู้ค้าปลีกไม่แบกรับภาระราคาสินค้าหน้าโรงงานที่สูงขึ้นโดยการยอมลดกำไรในส่วนของ
ตนลงแล้ว ผู้บริโภคก็ต้องเป็นผู้รับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นแทน แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ย.49 ที่ผ่านมา
จะอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตั้งไว้ไม่ให้สูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในเดือน มิ.ย.50 นี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่
ร้อยละ 3.75 ต่อปี ทั้งนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อและการจ้างงานจากอัตราการว่างงานที่ลดลง
มาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 7.2 ในเดือน มี.ค.50 (รอยเตอร์)
4. PMI ของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ระดับ 49.7 ลดลงเป็นครั้งแรกในปี 50 รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 3 พ.ค.50
The Institute of Purchasing & Materials Management สิงคโปร์ เปิดเผยว่า Purchasing Managers’ Index (PMI)
ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดภาคอุตสาหกรรมการผลิต ในเดือน เม.ย.50 ลดลงเป็นครั้งแรกในปีนี้ อยู่ที่ระดับ 49.7 จากระดับ 51.1
ในเดือนก่อหน้า(ซึ่งดัชนีดังกล่าวหากอยู่เหนือกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตขยายตัว) ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนี PMI ลดลงเนื่องจาก
ดัชนีองค์ประกอบส่วนใหญ่ลดลง อาทิเช่น ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.3 จากระดับ 53.6 ในเดือน มี.ค.50 ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้า
ส่งออกใหม่ลดลงอยู่ที่ระดับ 51.4 จากระดับ 52.1 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ (ซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต) ก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงอยู่ที่ระดับ 51.1 จากระดับ 53.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
รัฐบาลประกาศตัวเลขผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ว่า ลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการปรับลดลงของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ผู้วิเคราะห์บางคนทำนายว่าจะมีการทบทวนปรับลดตัวเลขผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของสิงคโปร์ตาม
ไปด้วย นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะกลับฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ของโลก
ยังคงแข็งแกร่ง โดยเห็นได้จากระดับสินค้าคงคลังของอุปกรณ์ Windows Vista และ iPhone ของ บ. Apple ลดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 พ.ค.50 3 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.764 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5529/34.8898 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14953 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 709.91/17.23 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.4 61.87 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ยืนยันไม่ลดเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำร้อยละ 10 หนี้บัตรเครดิต นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน
ธปท. กล่าวว่า หลังการปรับเกณฑ์ผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจากร้อยละ 5 มาอยู่ที่ร้อยละ 10 ของวงเงินใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตพบว่า ลูกหนี้
ร้อยละ 70-80 ยังสามารถผ่อนชำระได้ตามปกติ อีกประมาณร้อยละ 20 ที่มีปัญหาอ้างว่าผ่อนชำระไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล การปรับลด
เกณฑ์จึงไม่ใช่ทางออก ซึ่งการให้ชำระขั้นต่ำร้อยละ 10 โดยภาพรวมเศรษฐกิจอาจจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศชะลอลงบ้าง แต่ไม่จำเป็น
ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวด้วยการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ควรส่งเสริมให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมีเสถียรภาพจริง ซึ่งต้องเริ่มจากครัวเรือน
เข้มแข็งไม่มีหนี้เกินตัว ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 บัตรเครดิตทั้งระบบมี 11 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 3,644 ใบ หรือร้อยละ 0.03
จากเดือนก่อนหน้า มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.66 แสนล้านบาท ลดลง 2.03 พันล้านบาท หรือร้อยละ 1.21 โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม
6.44 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 9.66 พันล้านบาท หรือร้อยละ 13.04 ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 1.68 หมื่นล้านบาท
ลดลง 1.83 พันล้านบาท หรือร้อยละ 9.82 (โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า)
2. ธปท. แนะให้ผู้ส่งออกกระจายความเสี่ยงด้านค่าเงินมากขึ้น ธปท. ได้ออกบทความผ่านเว็บไซต์ ธปท. หัวข้อ “แนวคิด
เรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” โดย นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผอ.อาวุโสฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรองว่า
ในขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ. จะยังคงอ่อนตัวต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้ค่าเงินบาทและเงินในภูมิภาค
เอเชียแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และการค้าขายส่งออกนำเข้าของไทยที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์ สรอ. เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าถึงร้อยละ 90
ของมูลค่าการส่งออกรวม ทั้งที่การส่งออกของไทยมีสัดส่วนที่ส่งออกไป สรอ. เพียงร้อยละ 15 ของการส่งออกรวมเท่านั้น ธปท. มองว่า
การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเช่นนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงแนะให้ผู้ส่งออกไทยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในการรับชำระราคาและ
ค้าขายระหว่างประเทศให้มีลักษณะกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เช่น แทนที่จะนำรายรับส่วนใหญ่ไปผูกติดไว้กับค่าเงินสกุลเดียวคือดอลลาร์ สรอ.
ควรจะเปลี่ยนไปตั้งราคาและรับชำระค่าสินค้าส่งออกเป็นเงินสกุลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินยูโร ปอนด์สเตอร์ลิง เงินเยน รวมทั้งเงินในสกุล
ภูมิภาคตามสภาพการส่งออกของตนเอง ซึ่งจากการสอบถาม ธ.พาณิชย์หลายแห่งพบว่า เมื่อเทียบความคล่องตัวในการทำธุรกรรมระหว่าง
เงินสกุลหลักอื่นก็ไม่ได้แตกต่างจากเงินดอลลาร์ สรอ. มากนัก (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
3. เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างแท้จริงต้องอยู่ที่การลงทุนของภาคเอกชน นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธ.กสิกรไทย
เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลให้ธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อ 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนับว่าเป็นมาตรการหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้
เศรษฐกิจโดยภาพรวมทั้งหมดดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันขอให้อยู่บนพื้นฐานความสามารถของลูกหนี้ที่นำเงินไปและชำระคืนได้หรือไม่จึงจะเป็นระบบ
ที่มั่นคง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นหนี้เสียของสถาบันการเงิน ทั้งนี้ หากจะให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อย่างแท้จริงต้องอยู่ที่การลงทุนของภาคเอกชน
ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยอมรับว่าการลงทุนของภาคเอกชนชะงักไปเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง ดังนั้น ภาคการเมือง
จะต้องเร่งจัดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ภาคเอกชนและภาคธุรกิจก็ต้องจัดการ
ปรับปรุงตัวเองด้วยความระมัดระวังรอบคอบ โดยต้องดูว่าตัวเองมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดแล้วหรือยัง
ที่สำคัญต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้ผลผลิตสูงขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับต่างชาติได้ สำหรับภาครัฐ
ต้องเร่งร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ แม้ว่าจะมีหลายประเด็นที่มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ควรจะมีข้อตกลงที่พอไปด้วยกันได้โดยสันติวิธี
(เดลินิวส์, มติชน, โพสต์ทูเดย์)
4. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรม พ.ศ.2550 - 2554 นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ
รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. คณะที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ว่า ที่ประชุม
มีมติเห็นชอบแผนแม่บทพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพอุตสาหกรรม ระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ.2550 — 2554)
งบประมาณการลงทุนเบื้องต้น 1,100 ล้านบาท และสามารถปรับเพิ่มได้ตามโครงการในอนาคต คาดว่าจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ
ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ สำหรับแผนแม่บทดังกล่าวประกอบด้วย ยุทธศาสตร์หลัก 4 — 5 ข้อ อาทิ การปรับและพัฒนาคุณภาพ
ทรัพยากรมนุษย์ การทำงานระบบเครือข่าย และการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งหากดำเนินการได้ตามแผนจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
จากปัจจุบันร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2554 ขณะที่ประเทศ สรอ. มีตัวเลขกำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 3 (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลการสำรวจของ ISM ชี้ว่าในเดือน เม.ย. ภาคบริการของ สรอ. ฟื้นตัวรายงานจากนิวยอร์กเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 50
ผลการสำรวจของ Institute for Supply Management (ISM) ชี้ว่า ในเดือน เม.ย. ดัชนีภาคบริการของ สรอ.ในเดือน เม.ย.
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 56.0 จากระดับ 52.4 ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี และขยายตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
จากผลการสำรวจโดยรอยเตอร์ว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 53.0 เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 55.5 จากระดับ 53.8 ใน
เดือน มี.ค. รวมทั้งการจ้างงานเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 50.8 ในเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุน
เชื้อเพลิงและพลังงานสูงขึ้น โดยดัชนีภาคบริการที่อยู่สูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัว ขณะที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ชี้ว่าเศรษฐกิจหดตัว ทั้งนี้
ภาคบริการของ สรอ. คิดเป็นร้อยละ 80 ของเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงธุรกิจต่างๆ อาทิ ภัตตาคาร โรงแรม ร้านทำผม ธนาคาร และธุรกิจการบิน
ตัวเลขดัชนีดังกล่าวในเดือน เม.ย. บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเมื่อเริ่มไตรมาสที่ 2 กำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลดีต่อราคาหุ้น และทำให้
เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น(รอยเตอร์)
2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี และระยะ 15 ปีของ สรอ. ในสัปดาห์นี้ไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ
วันที่ 3 พ.ค. 50 ผลการสำรวจของบริษัทสินเชื่อจำนอง Freddie Mac ชี้ว่า ในสัปดาห์นี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของสรอ. ไม่เปลี่ยนแปลง
จากสัปดาห์ก่อน สาเหตุจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่เติบโตเพียงร้อยละ 1.3 และตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือน มี.ค. ก็ไม่
เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีคงอยู่ที่ร้อยละ 6.16 เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี
คงอยู่ที่ร้อยละ 5.87 ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปีที่ปรับได้ (ARM) อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.42 เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
จากร้อยละ 5.43 ในสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี ระยะ 15 ปีและอัตราดอกเบี้ย ARM
อยู่ที่ร้อยละ 6.59 6.22 และ 5.67 ตามลำดับ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมของเงินกู้ระยะ 30 ปี และระยะ 15 ไม่เปลี่ยนแปลงจาก
สัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 0.5 เช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมของ ARM ที่คงอยู่ที่ร้อยละ 0.7 (รอยเตอร์)
3. ในเดือน มี.ค.50 ดัชนีราคาผู้ผลิตใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ต่อปี รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 3 พ.ค.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานราคาสินค้าหน้าโรงงานหรือราคาผู้ผลิตใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลัก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สอดคล้อง
กับผลสำรวจรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ต่อปี โดยดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและสินค้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนและร้อยละ 3.4 ต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ต่อเดือนและร้อยละ 3.5 ต่อปีในเดือน ก.พ.50 ทั้งนี้ดัชนี
ราคาผู้ผลิตเป็นตัวชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเพราะหากผู้ค้าปลีกไม่แบกรับภาระราคาสินค้าหน้าโรงงานที่สูงขึ้นโดยการยอมลดกำไรในส่วนของ
ตนลงแล้ว ผู้บริโภคก็ต้องเป็นผู้รับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นแทน แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ย.49 ที่ผ่านมา
จะอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตั้งไว้ไม่ให้สูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในเดือน มิ.ย.50 นี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่
ร้อยละ 3.75 ต่อปี ทั้งนี้เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อและการจ้างงานจากอัตราการว่างงานที่ลดลง
มาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 7.2 ในเดือน มี.ค.50 (รอยเตอร์)
4. PMI ของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.50 อยู่ที่ระดับ 49.7 ลดลงเป็นครั้งแรกในปี 50 รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 3 พ.ค.50
The Institute of Purchasing & Materials Management สิงคโปร์ เปิดเผยว่า Purchasing Managers’ Index (PMI)
ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดภาคอุตสาหกรรมการผลิต ในเดือน เม.ย.50 ลดลงเป็นครั้งแรกในปีนี้ อยู่ที่ระดับ 49.7 จากระดับ 51.1
ในเดือนก่อหน้า(ซึ่งดัชนีดังกล่าวหากอยู่เหนือกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตขยายตัว) ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนี PMI ลดลงเนื่องจาก
ดัชนีองค์ประกอบส่วนใหญ่ลดลง อาทิเช่น ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.3 จากระดับ 53.6 ในเดือน มี.ค.50 ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้า
ส่งออกใหม่ลดลงอยู่ที่ระดับ 51.4 จากระดับ 52.1 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ (ซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต) ก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงอยู่ที่ระดับ 51.1 จากระดับ 53.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
รัฐบาลประกาศตัวเลขผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ว่า ลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการปรับลดลงของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ผู้วิเคราะห์บางคนทำนายว่าจะมีการทบทวนปรับลดตัวเลขผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของสิงคโปร์ตาม
ไปด้วย นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะกลับฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ของโลก
ยังคงแข็งแกร่ง โดยเห็นได้จากระดับสินค้าคงคลังของอุปกรณ์ Windows Vista และ iPhone ของ บ. Apple ลดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 พ.ค.50 3 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.764 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5529/34.8898 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14953 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 709.91/17.23 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.4 61.87 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--