กรุงเทพ--30 ม.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
1. การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิม
กระทรวงการต่างประเทศจัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิม ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 24 — 26 มกราคม 2550 โดยในวันนี้เวลา 15.00 น. พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ และมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้
การประชุมดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของกระทรวงการต่างประเทศ และได้จัดขึ้นเพื่อให้เป็นเวทีสำหรับเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิมต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และเพื่อใช้เป็นเวทีในการพิจารณานโยบายและกำหนดยุทธศาสตร์ไทยต่อประเทศมุสลิมซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นยุทธศาสตร์ในระยะสั้น กลางและยาว ทั้งในมิติด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและประชาชน ในโอกาสนี้ มีเอกอัครราชทูต 24 คน และกงสุลใหญ่ 5 คน จาก 21 ประเทศมุสลิม และเอกอัครราชทูตประจำประเทศที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศมุสลิม เช่น เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน มาเข้าร่วมการประชุมฯ
ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้สนับสนุนการดำเนินนโยบายของทางรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด และในโอกาสนี้กระทรวงฯ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ มาร่วมหารือด้วย เช่น นายประกิจ ประจนปัจจนึก เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น
2. โครงการนำนักศึกษาไทยมุสลิมไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน
โครงการนำเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เยือนประเทศมาเลเซียระหว่างวันที่ 22 — 26 มกราคม 2550 นี้ จัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศตามดำริของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเยือนมาเลเซียเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 โดยกระทรวงฯ ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) คัดเลือกเยาวชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล สงขลา) อายุประมาณ 15 — 18 ปี จำนวน 30 คน โดยมีอาจารย์ ผู้บริหารด้านการศึกษาในพื้นที่ ผู้แทนศอ.บต. และสื่อมวลชน ร่วมเดินทางไปด้วย
ในการนี้ เยาวชนที่ได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปเยือน 1) รัฐเคดาห์เพื่อเยี่ยมโรงเรียนระดับมัธยมและศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาวมุสลิมในมาเลเซีย 2) เมืองปีนัง เพื่อเยี่ยมชมสถาบันการศึกษาและศึกษาการอยู่ร่วมกันของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกับชาวมุสลิมในมาเลเซีย ซึ่งเป็นลักษณะของ Multi-culturalism หรือการผสมผสานของเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันที่ผสมกลมกลืน 3) กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเยี่ยมชมโรงเรียนสอนศาสนาและมหาวิทยาลัย International Islamic University พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เยี่ยมชมเมืองราชการปุตราจายา และรับฟังการบรรยาย ณ กระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย 4) เข้าเยี่ยมคารวะอุปทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง
กระทรวงการต่างประเทศหวังว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงในระดับเยาวชน และเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย และได้ศึกษาเรียนรู้นโยบายโดยเฉพาะด้านการศึกษาของรัฐบาลมาเลเซียในการบูรณาการการศึกษาวิชาศาสนาเข้ากับการศึกษาวิชาอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
3. การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือไทย — สวีเดน
วันที่ 23 มกราคม 2550 เป็นโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมไทย — สวีเดน ซึ่งแผนฯ ดังกล่าวเปรียบเสมือนแม่บทพื้นฐานของแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ไทย — สวีเดนในภาพรวม ในโอกาสนี้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งสารถึงนายคาร์ล บิลด์ (Carl Bildt) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน เพื่อแสดงความยินดีในวาระสำคัญดังกล่าว โดยได้เน้นถึงความสำเร็จของการกระชับความร่วมมือไทย — สวีเดนในรอบปีที่ผ่านมา และกิจกรรมที่จะร่วมกันจัดในปี 2550 อาทิ การจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการเสด็จประพาสสวีเดนของรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ นายนิตย์ฯ ยังได้แสดงความชื่นชมที่สัมพันธไมตรีไทย — สวีเดนดำเนินมาด้วยความอบอุ่นและแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับราชวงศ์และระดับรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากการที่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งเสด็จฯ เยือนไทยเพื่อทรงเข้าร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายน 2549 ที่ผ่านมาด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศสวีเดนได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการความร่วมมือสวีเดน — ไทย ครั้งที่ 2 ซึ่งกระทรวงฯ จะเป็นเจ้าภาพที่ประเทศไทยในเดือนเมษายน 2550 โดยการตอบรับดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยและกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือระดับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศทั้งสองได้ทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเป็นโอกาสที่ไทยจะได้ชี้แจงและทำความเข้าใจให้ฝ่ายสวีเดนทราบและเข้าใจถึงพัฒนาการทางการเมืองของไทยที่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย และยังเป็นโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศจะได้หารือถึงความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
4. แผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้หวัดนกในกรอบ ACMECS
ปัญหาโรคไข้หวัดนกเป็นปัญหาความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งมีขอบข่ายกว้างกว่าปัญหาด้านสาธารณสุขหรือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ มาตรการเฝ้าระวังการระบาดในสัตว์ การทำลายสัตว์ปีกติดเชื้อฯ การให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่เกษตรกร และการใช้เครือข่ายสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเฝ้าระวังการระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกของไทยได้จัดทำในหลายมิติภายใต้กรอบความร่วมมือหลายระดับ รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักว่าในขณะนี้จำเป็นที่สุดที่จะต้องเร่งรัดความเป็นรูปธรรมของความร่วมมือเหล่านั้น และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS ซึ่งที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทแข็งขันในด้านความร่วมมือสาธารณสุขกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก โดยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุข ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACMECS Special SOM on Avian Influenza Pandemic Preparedness โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมาตรการของแต่ละประเทศสมาชิก ACMECS ในการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก สำหรับการประชุมดังกล่าวจะมีผู้เข้าร่วมประชุมจากองค์กรต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ประเทศสมาชิก ACMECS องค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และ Development Partners ของ ACMECS
ประเด็นคำถาม
เกี่ยวกับเรื่องการเมืองภายในของประเทศไทย โดยเฉพาะการเดินทางไปญี่ปุ่นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยในส่วนของกระทรวงฯ ได้เริ่มทำการชี้แจงทันทีภายหลังการเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยได้ชี้แจงผ่านสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ และผ่านสถานเอกอัครราชทูตและ/หรือ คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย รวมถึงสื่อมวลชนต่างประเทศ ในการนี้ สื่อมวลชนไทยถือเป็นช่องทางที่สำคัญมากอีกทางหนึ่งของการทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แจงให้ต่างชาติรับทราบและเข้าใจถึงสถานการณ์ของไทย นอกจากนี้ ไทยยังได้ใช้การประชุมระหว่างประเทศในการชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในเรื่องสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น ต้องได้รับการประสานความร่วมมือจากทุกฝ่ายรวมถึงสื่อมวลชนของไทย โดยในส่วนของกระทรวงฯ ได้ทำอย่างเต็มที่มาโดยตลอด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
1. การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิม
กระทรวงการต่างประเทศจัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิม ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 24 — 26 มกราคม 2550 โดยในวันนี้เวลา 15.00 น. พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ และมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้
การประชุมดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของกระทรวงการต่างประเทศ และได้จัดขึ้นเพื่อให้เป็นเวทีสำหรับเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยประจำประเทศมุสลิมต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และเพื่อใช้เป็นเวทีในการพิจารณานโยบายและกำหนดยุทธศาสตร์ไทยต่อประเทศมุสลิมซึ่งเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นยุทธศาสตร์ในระยะสั้น กลางและยาว ทั้งในมิติด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและประชาชน ในโอกาสนี้ มีเอกอัครราชทูต 24 คน และกงสุลใหญ่ 5 คน จาก 21 ประเทศมุสลิม และเอกอัครราชทูตประจำประเทศที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศมุสลิม เช่น เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน มาเข้าร่วมการประชุมฯ
ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้สนับสนุนการดำเนินนโยบายของทางรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด และในโอกาสนี้กระทรวงฯ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ มาร่วมหารือด้วย เช่น นายประกิจ ประจนปัจจนึก เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น
2. โครงการนำนักศึกษาไทยมุสลิมไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน
โครงการนำเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เยือนประเทศมาเลเซียระหว่างวันที่ 22 — 26 มกราคม 2550 นี้ จัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศตามดำริของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเยือนมาเลเซียเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 โดยกระทรวงฯ ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) คัดเลือกเยาวชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล สงขลา) อายุประมาณ 15 — 18 ปี จำนวน 30 คน โดยมีอาจารย์ ผู้บริหารด้านการศึกษาในพื้นที่ ผู้แทนศอ.บต. และสื่อมวลชน ร่วมเดินทางไปด้วย
ในการนี้ เยาวชนที่ได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปเยือน 1) รัฐเคดาห์เพื่อเยี่ยมโรงเรียนระดับมัธยมและศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาวมุสลิมในมาเลเซีย 2) เมืองปีนัง เพื่อเยี่ยมชมสถาบันการศึกษาและศึกษาการอยู่ร่วมกันของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกับชาวมุสลิมในมาเลเซีย ซึ่งเป็นลักษณะของ Multi-culturalism หรือการผสมผสานของเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันที่ผสมกลมกลืน 3) กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเยี่ยมชมโรงเรียนสอนศาสนาและมหาวิทยาลัย International Islamic University พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เยี่ยมชมเมืองราชการปุตราจายา และรับฟังการบรรยาย ณ กระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย 4) เข้าเยี่ยมคารวะอุปทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง
กระทรวงการต่างประเทศหวังว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงในระดับเยาวชน และเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย และได้ศึกษาเรียนรู้นโยบายโดยเฉพาะด้านการศึกษาของรัฐบาลมาเลเซียในการบูรณาการการศึกษาวิชาศาสนาเข้ากับการศึกษาวิชาอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
3. การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือไทย — สวีเดน
วันที่ 23 มกราคม 2550 เป็นโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมไทย — สวีเดน ซึ่งแผนฯ ดังกล่าวเปรียบเสมือนแม่บทพื้นฐานของแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ไทย — สวีเดนในภาพรวม ในโอกาสนี้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งสารถึงนายคาร์ล บิลด์ (Carl Bildt) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน เพื่อแสดงความยินดีในวาระสำคัญดังกล่าว โดยได้เน้นถึงความสำเร็จของการกระชับความร่วมมือไทย — สวีเดนในรอบปีที่ผ่านมา และกิจกรรมที่จะร่วมกันจัดในปี 2550 อาทิ การจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการเสด็จประพาสสวีเดนของรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ นายนิตย์ฯ ยังได้แสดงความชื่นชมที่สัมพันธไมตรีไทย — สวีเดนดำเนินมาด้วยความอบอุ่นและแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับราชวงศ์และระดับรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากการที่สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งเสด็จฯ เยือนไทยเพื่อทรงเข้าร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายน 2549 ที่ผ่านมาด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศสวีเดนได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการความร่วมมือสวีเดน — ไทย ครั้งที่ 2 ซึ่งกระทรวงฯ จะเป็นเจ้าภาพที่ประเทศไทยในเดือนเมษายน 2550 โดยการตอบรับดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยและกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือระดับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศทั้งสองได้ทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเป็นโอกาสที่ไทยจะได้ชี้แจงและทำความเข้าใจให้ฝ่ายสวีเดนทราบและเข้าใจถึงพัฒนาการทางการเมืองของไทยที่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย และยังเป็นโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศจะได้หารือถึงความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
4. แผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้หวัดนกในกรอบ ACMECS
ปัญหาโรคไข้หวัดนกเป็นปัญหาความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งมีขอบข่ายกว้างกว่าปัญหาด้านสาธารณสุขหรือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ มาตรการเฝ้าระวังการระบาดในสัตว์ การทำลายสัตว์ปีกติดเชื้อฯ การให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่เกษตรกร และการใช้เครือข่ายสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเฝ้าระวังการระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกของไทยได้จัดทำในหลายมิติภายใต้กรอบความร่วมมือหลายระดับ รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักว่าในขณะนี้จำเป็นที่สุดที่จะต้องเร่งรัดความเป็นรูปธรรมของความร่วมมือเหล่านั้น และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS ซึ่งที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทแข็งขันในด้านความร่วมมือสาธารณสุขกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก โดยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุข ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACMECS Special SOM on Avian Influenza Pandemic Preparedness โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมาตรการของแต่ละประเทศสมาชิก ACMECS ในการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนก สำหรับการประชุมดังกล่าวจะมีผู้เข้าร่วมประชุมจากองค์กรต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ประเทศสมาชิก ACMECS องค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และ Development Partners ของ ACMECS
ประเด็นคำถาม
เกี่ยวกับเรื่องการเมืองภายในของประเทศไทย โดยเฉพาะการเดินทางไปญี่ปุ่นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยในส่วนของกระทรวงฯ ได้เริ่มทำการชี้แจงทันทีภายหลังการเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยได้ชี้แจงผ่านสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ และผ่านสถานเอกอัครราชทูตและ/หรือ คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย รวมถึงสื่อมวลชนต่างประเทศ ในการนี้ สื่อมวลชนไทยถือเป็นช่องทางที่สำคัญมากอีกทางหนึ่งของการทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แจงให้ต่างชาติรับทราบและเข้าใจถึงสถานการณ์ของไทย นอกจากนี้ ไทยยังได้ใช้การประชุมระหว่างประเทศในการชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในเรื่องสถานการณ์การเมืองของไทยนั้น ต้องได้รับการประสานความร่วมมือจากทุกฝ่ายรวมถึงสื่อมวลชนของไทย โดยในส่วนของกระทรวงฯ ได้ทำอย่างเต็มที่มาโดยตลอด
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-