ธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียมีมูลค่าตลาดสูงถึง 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน และเป็นอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นเป็นอันดับ 5 ในอินเดีย ทั้งในแง่ของการผลิต การบริโภค การส่งออก และการเติบโตของธุรกิจซึ่งคาดว่าจะยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากในอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 1,100 ล้านคน (มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากตลาดจีน) โดยขณะนี้มีบริษัทข้ามชาติหลายแห่งเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียแล้ว อาทิ Nestle India Ltd., (ผลิตช็อกโกเลต ผลิตภัณฑ์จากนม ฯลฯ), Kelloggs India (ผลิต
อาหารธัญพืชแปรรูป) และ PepsiCo (ผลิตเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ และขนมขบเคี้ยว) ฯลฯ สำหรับในปีงบประมาณ 2548/49 (1 เมษายน 2548 -- 31 มีนาคม 2549) นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียราว 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนเกือบเท่าตัว และคาดกันว่าภายในอีก 10 ปีข้างหน้า มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดังกล่าวจะพุ่งสูงถึง 31.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้ธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียมีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่
* อินเดียเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ผลิตนมมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ผลิตผักและผลไม้ได้หลากหลายชนิดและมากเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน) โดยพื้นที่ทางตอนเหนือ ตอนกลาง และตะวันออก เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและทำปศุสัตว์ ส่วนพื้นที่ตอนล่างล้อมรอบด้วยทะเล โดยมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 7,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำจืดจำนวนมาก
* รายได้และรสนิยมของชาวอินเดียเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ว่าอาหารแปรรูปที่ผลิตในอินเดียส่วนใหญ่จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ชาวอินเดียมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาอาหารแปรรูปเริ่มมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมีการแข่งขันกันมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลาง - สูง เริ่มคุ้นเคยกับการบริโภค
อาหารแปรรูป ประกอบกับสตรีชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น จึงหันมาบริโภค
อาหารแปรรูปมากขึ้น
* รัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมอาหาร(Food Parks) ซึ่งจะเพรียบพร้อมไปด้วยระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและบริการที่เอื้อต่อการผลิตอย่างครบครัน อาทิ ห้องเย็น ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ศูนย์บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Ministry of Food Processing Industry) ของอินเดีย ได้อนุมัติการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมอาหารแล้ว 51 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว 22 แห่ง นอกจากนี้ ยังให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น
- นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารแปรรูปสามารถลงทุนได้สูงสุดทั้ง 100% โดยไม่ต้องยื่นขออนุมัติการลงทุน เพราะจะได้รับการอนุมัติโดยอัตโนมัติ (Automatic Approval) แต่นักลงทุนต้องแจ้งรายละเอียดของโครงการลงทุนต่อธนาคารกลางอินเดีย ภายใน 30 วัน หลังจากที่มีการโอนเงินทุนมายังอินเดีย
- ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล อาทิ การลงทุนในธุรกิจแปรรูปผักและผลไม้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินงาน และลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 25% จากอัตราปกติในช่วง 5 ปีถัดไป ฯลฯ
- ทยอยปรับลดอัตราภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องจักรและวัตถุดิบที่นำเข้ามาใช้ในธุรกิจอาหารแปรรูปอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2549/50 (1 เมษายน 2549 - 31 มีนาคม 2550)รัฐบาลอินเดียลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับเครื่องจักรที่นำเข้าเพื่อใช้ทำบรรจุภัณฑ์จาก 15% เหลือ 5% และยังยกเว้นภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากปลา ไก่ และนมข้นหวานที่นำเข้าอีกด้วย
ปัจจุบันอินเดียยังมีการแปรรูปอาหารในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผลผลิตที่ผลิตได้ เนื่องจากผู้ประกอบการชาวอินเดียยังขาดความรู้และความชำนาญในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับสากล รวมถึงการทำบรรจุภัณฑ์ สำหรับธุรกิจแปรรูปอาหารในอินเดียที่น่าสนใจและยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ ผักและผลไม้แปรรูป การแปรรูปเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋องและแช่เย็นแช่แช็งนมและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องดื่ม อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งขนมและของขบเคี้ยวต่าง ๆ ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความชำนาญในธุรกิจเหล่านี้ที่จะเข้าไปลงทุนในอินเดีย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2549--
-พห-
อาหารธัญพืชแปรรูป) และ PepsiCo (ผลิตเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ และขนมขบเคี้ยว) ฯลฯ สำหรับในปีงบประมาณ 2548/49 (1 เมษายน 2548 -- 31 มีนาคม 2549) นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียราว 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนเกือบเท่าตัว และคาดกันว่าภายในอีก 10 ปีข้างหน้า มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดังกล่าวจะพุ่งสูงถึง 31.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้ธุรกิจอาหารแปรรูปในอินเดียมีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่
* อินเดียเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ผลิตนมมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ผลิตผักและผลไม้ได้หลากหลายชนิดและมากเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน) โดยพื้นที่ทางตอนเหนือ ตอนกลาง และตะวันออก เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและทำปศุสัตว์ ส่วนพื้นที่ตอนล่างล้อมรอบด้วยทะเล โดยมีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 7,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำจืดจำนวนมาก
* รายได้และรสนิยมของชาวอินเดียเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ว่าอาหารแปรรูปที่ผลิตในอินเดียส่วนใหญ่จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ชาวอินเดียมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาอาหารแปรรูปเริ่มมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมีการแข่งขันกันมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลาง - สูง เริ่มคุ้นเคยกับการบริโภค
อาหารแปรรูป ประกอบกับสตรีชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น จึงหันมาบริโภค
อาหารแปรรูปมากขึ้น
* รัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมอาหาร(Food Parks) ซึ่งจะเพรียบพร้อมไปด้วยระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและบริการที่เอื้อต่อการผลิตอย่างครบครัน อาทิ ห้องเย็น ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ศูนย์บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Ministry of Food Processing Industry) ของอินเดีย ได้อนุมัติการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมอาหารแล้ว 51 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว 22 แห่ง นอกจากนี้ ยังให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น
- นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหารแปรรูปสามารถลงทุนได้สูงสุดทั้ง 100% โดยไม่ต้องยื่นขออนุมัติการลงทุน เพราะจะได้รับการอนุมัติโดยอัตโนมัติ (Automatic Approval) แต่นักลงทุนต้องแจ้งรายละเอียดของโครงการลงทุนต่อธนาคารกลางอินเดีย ภายใน 30 วัน หลังจากที่มีการโอนเงินทุนมายังอินเดีย
- ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล อาทิ การลงทุนในธุรกิจแปรรูปผักและผลไม้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินงาน และลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 25% จากอัตราปกติในช่วง 5 ปีถัดไป ฯลฯ
- ทยอยปรับลดอัตราภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องจักรและวัตถุดิบที่นำเข้ามาใช้ในธุรกิจอาหารแปรรูปอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2549/50 (1 เมษายน 2549 - 31 มีนาคม 2550)รัฐบาลอินเดียลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับเครื่องจักรที่นำเข้าเพื่อใช้ทำบรรจุภัณฑ์จาก 15% เหลือ 5% และยังยกเว้นภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากปลา ไก่ และนมข้นหวานที่นำเข้าอีกด้วย
ปัจจุบันอินเดียยังมีการแปรรูปอาหารในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผลผลิตที่ผลิตได้ เนื่องจากผู้ประกอบการชาวอินเดียยังขาดความรู้และความชำนาญในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับสากล รวมถึงการทำบรรจุภัณฑ์ สำหรับธุรกิจแปรรูปอาหารในอินเดียที่น่าสนใจและยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ ผักและผลไม้แปรรูป การแปรรูปเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋องและแช่เย็นแช่แช็งนมและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องดื่ม อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งขนมและของขบเคี้ยวต่าง ๆ ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความชำนาญในธุรกิจเหล่านี้ที่จะเข้าไปลงทุนในอินเดีย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2549--
-พห-