วันนี้(22 ส.ค.50) เวลา 10.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึง การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในขณะนี้ค่นอข้างมาก ทั้งรวมกลุ่มกัน และย้ายพรรค ในส่วนของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มีย้ายออกบ้างหรือไม่ ว่า คงไม่มี เพราะตอนนี้สมาชิกของเรามุ่งมั่นในเรื่องการผลักดันวาระประชาชนและเชิญชวนคนที่อยากจะมาผลักดันวาระประชาชนเข้ามามากๆ จึงมั่นใจว่าไม่มีปัญหา เพราะเราอยากเดินไปข้างหน้ามากกว่า จึงอยากให้พรรคการเมืองใส่ใจในเรื่องการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะประชาชนตั้งความหวังไว้สูงมากว่าหลังการเลือกตั้งเรื่องต่างๆ จะดีขึ้น เพราะถ้าพรรคการเมืองยังไม่มาดูว่าปัญหาที่ประชาชนอยากให้ดีขึ้นจะแก้ไขกันอย่างไรก็ไม่มีทางดีขึ้นได้ เพียงเพราะเรามีการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า มีนักธุรกิจติดต่อเข้าพรรคบ้างหรือไม่ เพราะมีการการบริจาคเงินสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนถึง 100 ล้านบาท หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในเรื่องของตัวบุคคลที่จะมาลงสมัครมีทั้งที่ติดต่อเข้ามาและที่เราพูดคุยกับหลายฝ่าย แต่อยู่ที่ความสมัครใจของเจ้าตัว เพราะคนจะมาลงสมัครผู้แทน ถ้าใจไม่มาก็มาไม่ได้ ต่อข้อถามว่า ตอนนี้พรรคมีปัญหาตัวบุคคลที่จะมาเป็นทีมเศรษฐกิจหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว่วา ไม่มี ยืนยันว่าวันนี้เศรษฐกิจที่เราต้องการแก้ไข คือเราต้องมีทิศทางและนโยบาย รวมทั้งคนที่เป็นผู้นำที่จะขับเคลื่อนไปสู่จุดนั้นได้ รวมถึงคนที่มาอยู่ในทีมก็ไม่ต้องเด่นดังอะไร แต่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้อง ซึ่งเชื่อว่าในสังคมธุรกิจต้องการแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการว่า มีคนที่มีชื่อเสียงเข้ามามากๆ แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปทางไหน เพราะไม่มีเวลาที่จะมาถกเถียงกันอีกแล้ว เขาต้องการเห็นคนที่เข้ามามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า
ผู้สื่อข่าว ถามว่า แสดงว่านักธุรกิจเชื่อมั่นในพรรค จึงบริจาคเงินสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นช่วงระดมทุน ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนพรรคที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะภาคธุรกิจโดยตรงเท่านั้น ถือว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นการมาสนับสนุนวาระประชาชน และแสดงความเชื่อมั่นในทิศทางของเราที่จะเดินต่อไป ต่อข้อถามว่า ถือว่าเป็นการได้เปรียบพรรคอื่นหรือไม่ที่มีนักธุรกิจให้การสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปเปรียบเทียบ เพราะเราไม่ทราบว่าพรรคการเมืองอื่นที่จะตั้งขึ้นมา การสนับสนุนจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าการมีผู้สนับสนุนที่หลากหลาย โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจก็เป็นการแสดงความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเราต้องการสร้างความเชื่อมั่นทุกด้าน และการที่ตนเดินทางไปประเทศเวียดนาม และประเทศจีน เพราะต้องการให้ต่างประเทศได้รู้จักคุ้นเคยและมีความเชื่อมั่น เนื่องจากขณะนี้การแก้ไขปัญหาของประเทศต้องการความเชื่อมั่นจากทุกกลุ่ม
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ส.ค. 2550--จบ--
เมื่อถามว่า มีนักธุรกิจติดต่อเข้าพรรคบ้างหรือไม่ เพราะมีการการบริจาคเงินสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนถึง 100 ล้านบาท หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในเรื่องของตัวบุคคลที่จะมาลงสมัครมีทั้งที่ติดต่อเข้ามาและที่เราพูดคุยกับหลายฝ่าย แต่อยู่ที่ความสมัครใจของเจ้าตัว เพราะคนจะมาลงสมัครผู้แทน ถ้าใจไม่มาก็มาไม่ได้ ต่อข้อถามว่า ตอนนี้พรรคมีปัญหาตัวบุคคลที่จะมาเป็นทีมเศรษฐกิจหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว่วา ไม่มี ยืนยันว่าวันนี้เศรษฐกิจที่เราต้องการแก้ไข คือเราต้องมีทิศทางและนโยบาย รวมทั้งคนที่เป็นผู้นำที่จะขับเคลื่อนไปสู่จุดนั้นได้ รวมถึงคนที่มาอยู่ในทีมก็ไม่ต้องเด่นดังอะไร แต่ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้อง ซึ่งเชื่อว่าในสังคมธุรกิจต้องการแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการว่า มีคนที่มีชื่อเสียงเข้ามามากๆ แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปทางไหน เพราะไม่มีเวลาที่จะมาถกเถียงกันอีกแล้ว เขาต้องการเห็นคนที่เข้ามามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า
ผู้สื่อข่าว ถามว่า แสดงว่านักธุรกิจเชื่อมั่นในพรรค จึงบริจาคเงินสนับสนุนพรรคเป็นจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นช่วงระดมทุน ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนพรรคที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะภาคธุรกิจโดยตรงเท่านั้น ถือว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นการมาสนับสนุนวาระประชาชน และแสดงความเชื่อมั่นในทิศทางของเราที่จะเดินต่อไป ต่อข้อถามว่า ถือว่าเป็นการได้เปรียบพรรคอื่นหรือไม่ที่มีนักธุรกิจให้การสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปเปรียบเทียบ เพราะเราไม่ทราบว่าพรรคการเมืองอื่นที่จะตั้งขึ้นมา การสนับสนุนจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าการมีผู้สนับสนุนที่หลากหลาย โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจก็เป็นการแสดงความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเราต้องการสร้างความเชื่อมั่นทุกด้าน และการที่ตนเดินทางไปประเทศเวียดนาม และประเทศจีน เพราะต้องการให้ต่างประเทศได้รู้จักคุ้นเคยและมีความเชื่อมั่น เนื่องจากขณะนี้การแก้ไขปัญหาของประเทศต้องการความเชื่อมั่นจากทุกกลุ่ม
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ส.ค. 2550--จบ--