ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนพฤษภาคม 2550 ด้านอุปทาน ผลผลิตพืชผลขยายตัวเร่งขึ้นทำให้รายได้เกษตรกรจากการขายพืชผลหลักปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนกำลังซื้อของเกษตรกรที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน ส่วนการท่องเที่ยวชะลอลง เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว สำหรับด้านอุปสงค์ การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีอัตราขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์สูง และยังไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำ
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.3 โดยการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเครื่องหนัง ยังขยายตัวดี ขณะที่หมวดสิ่งทอเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ หมวดอาหารยังขยายตัวได้ดีตามการผลิตน้ำตาลเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าในบางหมวดที่การผลิตยังคงหดตัว ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์เหล็กและวัสดุก่อสร้าง ที่ชะลอตัวตามภาวะการก่อสร้าง และหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีการปรับเปลี่ยนไปผลิตจอ LCD ที่มีราคาสูงเพิ่มขึ้น กอปรกับฐานที่สูงในปีก่อนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นช่วงก่อนเทศกาลฟุตบอลโลก
สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 77.7 เพิ่มขึ้นมากจากเดือนก่อนตามปัจจัยฤดูกาล แต่เมื่อปรับฤดูกาลแล้วอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีบางหมวดที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอาหาร ในส่วนของอุตสาหกรรมน้ำตาลที่โรงงานเริ่มทยอยปิดหีบ และหมวดปิโตรเลียมที่มีการปิดซ่อมฉุกเฉิน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 เท่ากับเดือนก่อน โดยเครื่องชี้ในหมวดสินค้าคงทนปรับตัวดีขึ้นทั้งจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์เนื่องจากมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น ขณะที่เครื่องชี้หมวดสินค้าไม่คงทนชะลอตัวลง ตามการลดลงของภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่ลดลงเนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยเครื่องชี้ในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังคงขยายตัวจากการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ที่ยังคงขยายตัวได้ แม้จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานปีก่อนที่มีการนำเข้าดาวเทียม ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านการลงทุนที่อยู่เหนือระดับ 50
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 274.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.6 โดยภาษีจากฐานรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการในปีบัญชี 2549 อย่างไรก็ตาม รายได้จากภาษีที่เก็บจากฐานการบริโภคลดลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงร้อยละ 2.6 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการนำเข้าลดลงจากผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและการนำเข้าที่ชะลอตัวลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 118.8 เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งเลื่อนการนำส่งรายได้จากเดือนก่อนมาเป็นเดือนนี้ ดุลเงินสดรัฐบาลขาดดุล 22.4 พันล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนลดลง 0.3 พันล้านบาท อยู่ที่ 54.7 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้า เกินดุล 656 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการส่งออกที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 คิดเป็นมูลค่าส่งออก 12,839 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดสินค้า รวมทั้งหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงที่กลับมาขยายตัวหลังจากที่หดตัวในเดือนก่อน ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 12,183 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 6.2 ซึ่งชะลอจาก เดือนก่อนตามการนำเข้าที่ชะลอตัวในทุกหมวดสินค้า รวมทั้งหมวดเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 410 ล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากรายจ่ายผลประโยชน์จากการลงทุนซึ่งเป็นช่วงตกงวดการส่งกลับกำไร และเงินปันผลของภาคเอกชน ขณะที่ดุลการท่องเที่ยวลดลงจากเดือนก่อน เมื่อรวมกับดุลการค้า ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 246 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงิน เกินดุล 660 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 71.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 9.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 สูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อนหน้า ตามราคา ในหมวดอาหารสดโดยเฉพาะ ไก่สด ไข่ไก่ และผักสดที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนราคานมสดและ ผลิตภัณฑ์นมสดที่ปรับตัวสูงขึ้นภายหลังการยกเลิกประกาศของ คปค. ฉบับที่ 8 เรื่องการควบคุมราคาสินค้าฯ และราคาในหมวดพลังงานที่สูงขึ้นตามการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.7 จากร้อยละ 1.2 ในเดือนก่อน จากฐานที่สูงในปีก่อนที่มีการปรับขึ้น ค่าโดยสารสาธารณะหลายรายการ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เท่ากับเดือนก่อน
6. ภาวะการเงิน เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน1/ เริ่มทรงตัวหลังจากที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2549 โดยในเดือนพฤษภาคม 2550 เงินฝากขยายตัวร้อยละ 5.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเงินฝากของภาครัฐเร่งตัวขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการนำเงินงบประมาณบางส่วนมาฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์เพื่อรอการเบิกจ่าย
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงิน ขยายตัวร้อยละ 2.4 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 จากสินเชื่อ ที่ให้แก่ภาคธุรกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องตามภาวะอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสำคัญ ในขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวดี
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2550 ฐานเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 4.7 และอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงจากเดือนเมษายนมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.85 และ 3.89 ต่อปี ตามลำดับ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลง
สำหรับช่วงวันที่ 1-26 มิถุนายน 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ระยะ 1 วันปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และ 3.54 ต่อปีตามลำดับ
7. ค่าเงินบาทและดัชนีค่าเงินบาท ในเดือนพฤษภาคม 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน ส่วนหนึ่งจากการเร่งขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเข้า มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ในเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 78.78 ปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นตามค่าเงินในภูมิภาคซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค ประกอบกับค่าเงินเยนโน้มอ่อนค่าลงจากการกู้ยืมเงินเยนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนในประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า (Carry Trade) เพิ่มมากขึ้น
สำหรับช่วงวันที่ 1-26 มิถุนายน 2550 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 34.59 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: punpilay@bot.or.th
1/ สถาบันรับเงินฝาก หมายถึง สถาบันรับฝากเงินทุกประเภท ยกเว้น ธนาคารแห่งประเทศไทย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์สูง และยังไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำ
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.3 โดยการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเครื่องหนัง ยังขยายตัวดี ขณะที่หมวดสิ่งทอเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ หมวดอาหารยังขยายตัวได้ดีตามการผลิตน้ำตาลเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าในบางหมวดที่การผลิตยังคงหดตัว ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์เหล็กและวัสดุก่อสร้าง ที่ชะลอตัวตามภาวะการก่อสร้าง และหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีการปรับเปลี่ยนไปผลิตจอ LCD ที่มีราคาสูงเพิ่มขึ้น กอปรกับฐานที่สูงในปีก่อนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นช่วงก่อนเทศกาลฟุตบอลโลก
สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 77.7 เพิ่มขึ้นมากจากเดือนก่อนตามปัจจัยฤดูกาล แต่เมื่อปรับฤดูกาลแล้วอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีบางหมวดที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอาหาร ในส่วนของอุตสาหกรรมน้ำตาลที่โรงงานเริ่มทยอยปิดหีบ และหมวดปิโตรเลียมที่มีการปิดซ่อมฉุกเฉิน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 เท่ากับเดือนก่อน โดยเครื่องชี้ในหมวดสินค้าคงทนปรับตัวดีขึ้นทั้งจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์เนื่องจากมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น ขณะที่เครื่องชี้หมวดสินค้าไม่คงทนชะลอตัวลง ตามการลดลงของภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่ลดลงเนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยเครื่องชี้ในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังคงขยายตัวจากการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ที่ยังคงขยายตัวได้ แม้จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานปีก่อนที่มีการนำเข้าดาวเทียม ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านการลงทุนที่อยู่เหนือระดับ 50
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 274.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 10.6 โดยภาษีจากฐานรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการในปีบัญชี 2549 อย่างไรก็ตาม รายได้จากภาษีที่เก็บจากฐานการบริโภคลดลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงร้อยละ 2.6 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการนำเข้าลดลงจากผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและการนำเข้าที่ชะลอตัวลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีขยายตัวร้อยละ 118.8 เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งเลื่อนการนำส่งรายได้จากเดือนก่อนมาเป็นเดือนนี้ ดุลเงินสดรัฐบาลขาดดุล 22.4 พันล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนลดลง 0.3 พันล้านบาท อยู่ที่ 54.7 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้า เกินดุล 656 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากการส่งออกที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 คิดเป็นมูลค่าส่งออก 12,839 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดสินค้า รวมทั้งหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงที่กลับมาขยายตัวหลังจากที่หดตัวในเดือนก่อน ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 12,183 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 6.2 ซึ่งชะลอจาก เดือนก่อนตามการนำเข้าที่ชะลอตัวในทุกหมวดสินค้า รวมทั้งหมวดเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 410 ล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากรายจ่ายผลประโยชน์จากการลงทุนซึ่งเป็นช่วงตกงวดการส่งกลับกำไร และเงินปันผลของภาคเอกชน ขณะที่ดุลการท่องเที่ยวลดลงจากเดือนก่อน เมื่อรวมกับดุลการค้า ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 246 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงิน เกินดุล 660 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 71.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 9.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 สูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อนหน้า ตามราคา ในหมวดอาหารสดโดยเฉพาะ ไก่สด ไข่ไก่ และผักสดที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนราคานมสดและ ผลิตภัณฑ์นมสดที่ปรับตัวสูงขึ้นภายหลังการยกเลิกประกาศของ คปค. ฉบับที่ 8 เรื่องการควบคุมราคาสินค้าฯ และราคาในหมวดพลังงานที่สูงขึ้นตามการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.7 จากร้อยละ 1.2 ในเดือนก่อน จากฐานที่สูงในปีก่อนที่มีการปรับขึ้น ค่าโดยสารสาธารณะหลายรายการ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เท่ากับเดือนก่อน
6. ภาวะการเงิน เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน1/ เริ่มทรงตัวหลังจากที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2549 โดยในเดือนพฤษภาคม 2550 เงินฝากขยายตัวร้อยละ 5.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเงินฝากของภาครัฐเร่งตัวขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการนำเงินงบประมาณบางส่วนมาฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์เพื่อรอการเบิกจ่าย
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงิน ขยายตัวร้อยละ 2.4 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 จากสินเชื่อ ที่ให้แก่ภาคธุรกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องตามภาวะอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสำคัญ ในขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวดี
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2550 ฐานเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 4.7 และอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงจากเดือนเมษายนมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.85 และ 3.89 ต่อปี ตามลำดับ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลง
สำหรับช่วงวันที่ 1-26 มิถุนายน 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ระยะ 1 วันปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และ 3.54 ต่อปีตามลำดับ
7. ค่าเงินบาทและดัชนีค่าเงินบาท ในเดือนพฤษภาคม 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน ส่วนหนึ่งจากการเร่งขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเข้า มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ในเดือนพฤษภาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 78.78 ปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นตามค่าเงินในภูมิภาคซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค ประกอบกับค่าเงินเยนโน้มอ่อนค่าลงจากการกู้ยืมเงินเยนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนในประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า (Carry Trade) เพิ่มมากขึ้น
สำหรับช่วงวันที่ 1-26 มิถุนายน 2550 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 34.59 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: punpilay@bot.or.th
1/ สถาบันรับเงินฝาก หมายถึง สถาบันรับฝากเงินทุกประเภท ยกเว้น ธนาคารแห่งประเทศไทย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--