ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 5.0 เหลือร้อยละ 4.75 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน
ธปท. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 นับ
เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี พร้อมกับให้นำอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน มาใช้แทนระยะ 14 วัน ให้มีผลตั้งแต่วันที่
17 ม.ค.50 เป็นต้นไป โดยเหตุที่ปรับลดดอกเบี้ยลงเพราะไม่ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างยืดเยื้อ จึงต้องการส่งสัญญาณทางนโยบายให้
เศรษฐกิจปรับตัวเร็วขึ้นและเห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันมีน้อยลง โอกาสที่เงินเฟ้อจะเกินเป้าหมายร้อยละ 0-3.5 มีน้อยลง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับมีมากขึ้น อุปสงค์ในประเทศ การบริโภคและการลงทุนชะลอลง จึงคาดว่าการดำเนิน
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ จะมีการปรับประมาณการเงินเฟ้อ
และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ร้อยละ 4.5 — 5.5 ใหม่ และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจทำให้ภาวะเงินไหลเข้าชะลอตัวลงบ้าง
แต่จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่ทำให้มีต้นทุนที่ลดลง (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, มติชน)
2. ธ.พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต รายงานข่าวจาก ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป
ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าใหม่ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือเบิกถอนเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 จากปัจจุบันที่คิดร้อยละ
18 ส่วนยอดหนี้ที่ใช้จ่ายก่อนวันที่ 15 ก.พ. จะยังคงคิดดอกเบี้ยในอัตราเดิมไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.50 ก่อนที่จะปรับเป็นร้อยละ 20 ทั้งหมด
ตามเกณฑ์ของ ธปท. ในวันที่ 1 ก.ค.50 เป็นต้นไป ด้าน น.ส.อัญชลี จรัสยศวุฒิชัย ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดบัตรเครดิต
ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่าลูกค้าบัตรเครดิตที่สมัครหลังวันที่ 1 ก.พ.นี้ จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ทั้งหมด ส่วนลูกค้าเก่าจะปรับพร้อมกันทั้งหมดใน
วันที่ 1 ก.ค.50 ส่วน นายประวิทย์ องค์วัฒนา ผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่ ธ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ธนาคารยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต
โดยจะรอดูทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจาก ธปท. ก่อน หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยลง อาจส่งผลให้ดอกเบี้ยภายในประเทศลดลง ค่าครองชีพก็ลดลง
ตามไปด้วย ปัญหาการเกิดหนี้สูญก็มีความเสี่ยงน้อยลง ธนาคารก็คงไม่ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ก.ค.50 ธนาคาร
จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 20 หรือไม่ ในขณะที่ นายธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส
บ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า บริษัทยังไม่เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต โดยยังคิดที่ร้อยละ 18 เท่าเดิม (แนวหน้า, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. พรบ.งปม.50 ยังไม่มีผลบังคับใช้ส่งผลให้ งปม.เกินดุล 3,437 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ รอง ผอ.สนง.
เศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก ก.คลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดไตรมาส 1 ปี งปม.50 มีรายได้นำส่ง
คลังรัฐบาลสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.8 ขณะที่การอัดฉีดเม็ดเงินจาก งปม.รายจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี
ก่อนร้อยละ 17 เนื่องจาก พรบ.งปม.รายจ่ายประจำปี 50 ยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ดุลเงิน งปม.เกินดุล 3,437 ล้านบาท แต่เมื่อรวมกับดุล
เงินนอก งปม.ที่ขาดดุล 55,059 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 51,622 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือน
ต.ค.50 เท่ากับร้อยละ 41.14 ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 50 ทั้งนี้ รายได้นำส่งคลังรัฐบาลในไตรมาสแรกปี
งปม.50 รัฐบาลยังจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงปม. 10,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน 42,412 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 303,616 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
39,020 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.8 สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลมีการเบิกจ่าย งปม.ทั้งสิ้น 300,179 ล้านบาท
ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 61,582 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 238,080 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 19,778 ล้านบาท และ
รายจ่ายจาก งปม.ปีก่อน 42,321 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่การเบิกจ่าย งปม. ต่ำกว่าปีก่อนมากเนื่องจาก พรบ.งปม.ปี 50 ยังไม่มีผลบังคับใช้
ทำให้ต้องใช้รายจ่ายประจำปี งปม.ที่แล้วไปพลางก่อน ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะ งปม.รายจ่ายประจำและ งปม.ที่ผูกพันมาแล้วเท่านั้น (มติชน,บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อใน Euro zone ในเดือน ธ.ค.49 คงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 17 ม.ค.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของสหภาพยุโรปรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.49
และร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปี 48 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตั้งเป้าไว้เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเป็นผลจาก
ราคาน้ำมันที่ลดลงมาอยู่ที่ 51 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับสูงสุด 78 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในเดือน ส.ค.49 โดย
ราคาพลังงานโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อปีลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 ที่ราคาเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก แต่ยังสูงกว่าอัตราร้อยละ
2.1 ในเดือน พ.ย.49 แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงคาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ
3.75 ต่อปีในเดือน มี.ค.50 และหลังจากนั้นอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 50 จากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อจากการเพิ่มสูงขึ้นของค่าจ้าง
และจากการขยายตัวของปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจ Euro zone ในปี 50 จะยังคงขยายตัวต่อไปในอัตรา
ที่ชะลอตัวลงจากปี 49 ทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อเดือนและร้อยละ 1.6 ต่อปี
เท่ากับเดือน พ.ย.และ ต.ค.49 (รอยเตอร์)
2. รายได้เฉลี่ยของคนอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.49 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 17 ม.ค.50
The Office for National Statistics เปิดเผยว่า รายได้เฉลี่ยของคนอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ
4.1 เทียบต่อปี ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่ารายได้เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ตัวเลข
รายได้เฉลี่ยจะสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ทางการอังกฤษยังคงมีความกังวล
ไม่น้อยเกี่ยวกับสัญญาณความต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยรมว.คลังได้ยืนยันว่าจะควบคุมการขยายตัวของรายได้ โดยเฉพาะรายได้ของแรงงาน
ในภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนเป็น 1 ใน 5 ของแรงงานโดยรวมให้อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นไม่มากกว่าร้อยละ 2.0 ในปี 50 ท่ามกลางการเรียกร้องของ
สหภาพแรงงานให้มีการปรับเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากทางการแสดงให้เห็นว่าอัตราการขยายตัวของ
รายได้มีการชะลอลงในบางภาคเศรษฐกิจ โดยรายได้ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ขณะที่แรงงานในภาครัฐชะลอลงต่ำสุดนับตั้งแต่
ช่วงกลางปี 41 นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่า ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานอังกฤษ อันเป็นผลจากยอดขอรับสวัสดิการ
ว่างงานที่ลดลงเป็นเวลา 3 เดือนต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยผลักดันการขยายตัวของรายได้ต่อไป (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 5.2 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ
17 ม.ค.50 Malaysian Institute of Economic Research (MIER) เปิดเผยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 50
น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.2 และปี 49 จะขยายตัวร้อยละ 5.9 ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลมาเลเซียกำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.0
ในปี 50 และร้อยละ 5.8 ในปี 49 เนื่องจากคาดว่าการส่งออกจะชะลอตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของรัฐบาลในปี
50 อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงได้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจซึ่งพึ่งพาการค้า
ของมาเลเซียจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เมื่อความต้องการสินค้าจาก สรอ. โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และน้ำมันปาล์มดิบชะลอลง ขณะที่ความ
ต้องการสินค้าจากจีนและญี่ปุ่นยังคงเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 51 อาจขยายตัวร้อยละ 5.5 เนื่องจากคาดว่า
ความต้องการในประเทศจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 52 ในขณะที่คาดว่าความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวลงอาจช่วย
ชะลอภาวะเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ร้อยละ 3.1 หลังจากที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน
มี.ค.49 อันเป็นผลจากราคาน้ำมันชะลอตัวลง สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจมาเลเซีย
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.8 ในปี 50 ชะลอลงจากร้อยละ 7.6 ในปี 49 ส่วนภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) จะขยายตัวร้อยละ 5.3 ในปี 50 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 6.0 ในปี 49 (รอยเตอร์)
4. การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันของสิงคโปร์ในเดือน ธ.ค. ชะลอลงอย่างผิดคาดแต่แนวโน้มการส่งออกยังคงสดใส รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 50 รัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค. การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันชะลอลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ที่ร้อยละ 5.1 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ในเดือน พ.ย. และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่า
จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เนื่องจากการส่งออกยา และอุปการณ์เทคโนโลยีลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่าการส่งออกในปี 50 จะขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วการส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันของสิงโปร์เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 8.5 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เมื่อปี 48 เนื่องจากการส่งออก
ที่ขยายตัวอย่างมากในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยาและเคมีภัณฑ์ คาดว่าในปีนี้การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันจะขยายตัวระหว่างร้อยละ
7 — 9 โดยภาคอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันจะฟื้นตัวในเดือนหน้า อย่างไรก็ตามหนึ่ง
ในปัจจัยเสี่ยงสำหรับปีนี้คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากยุโรป(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ม.ค. 50 17 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.05 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8150/36.1494 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11611 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 651.47/12.89 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,550/10,650 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 50.29 48.7 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.59*/22.54* 25.59*/22.54* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 5.0 เหลือร้อยละ 4.75 นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน
ธปท. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 นับ
เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี พร้อมกับให้นำอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน มาใช้แทนระยะ 14 วัน ให้มีผลตั้งแต่วันที่
17 ม.ค.50 เป็นต้นไป โดยเหตุที่ปรับลดดอกเบี้ยลงเพราะไม่ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างยืดเยื้อ จึงต้องการส่งสัญญาณทางนโยบายให้
เศรษฐกิจปรับตัวเร็วขึ้นและเห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันมีน้อยลง โอกาสที่เงินเฟ้อจะเกินเป้าหมายร้อยละ 0-3.5 มีน้อยลง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับมีมากขึ้น อุปสงค์ในประเทศ การบริโภคและการลงทุนชะลอลง จึงคาดว่าการดำเนิน
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ จะมีการปรับประมาณการเงินเฟ้อ
และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ร้อยละ 4.5 — 5.5 ใหม่ และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจทำให้ภาวะเงินไหลเข้าชะลอตัวลงบ้าง
แต่จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่ทำให้มีต้นทุนที่ลดลง (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, มติชน)
2. ธ.พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต รายงานข่าวจาก ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป
ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าใหม่ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือเบิกถอนเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 จากปัจจุบันที่คิดร้อยละ
18 ส่วนยอดหนี้ที่ใช้จ่ายก่อนวันที่ 15 ก.พ. จะยังคงคิดดอกเบี้ยในอัตราเดิมไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.50 ก่อนที่จะปรับเป็นร้อยละ 20 ทั้งหมด
ตามเกณฑ์ของ ธปท. ในวันที่ 1 ก.ค.50 เป็นต้นไป ด้าน น.ส.อัญชลี จรัสยศวุฒิชัย ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดบัตรเครดิต
ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่าลูกค้าบัตรเครดิตที่สมัครหลังวันที่ 1 ก.พ.นี้ จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ทั้งหมด ส่วนลูกค้าเก่าจะปรับพร้อมกันทั้งหมดใน
วันที่ 1 ก.ค.50 ส่วน นายประวิทย์ องค์วัฒนา ผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่ ธ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ธนาคารยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต
โดยจะรอดูทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจาก ธปท. ก่อน หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยลง อาจส่งผลให้ดอกเบี้ยภายในประเทศลดลง ค่าครองชีพก็ลดลง
ตามไปด้วย ปัญหาการเกิดหนี้สูญก็มีความเสี่ยงน้อยลง ธนาคารก็คงไม่ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ก.ค.50 ธนาคาร
จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 20 หรือไม่ ในขณะที่ นายธวัชชัย ธิติศักดิ์สกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส
บ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า บริษัทยังไม่เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต โดยยังคิดที่ร้อยละ 18 เท่าเดิม (แนวหน้า, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. พรบ.งปม.50 ยังไม่มีผลบังคับใช้ส่งผลให้ งปม.เกินดุล 3,437 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ รอง ผอ.สนง.
เศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก ก.คลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดไตรมาส 1 ปี งปม.50 มีรายได้นำส่ง
คลังรัฐบาลสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.8 ขณะที่การอัดฉีดเม็ดเงินจาก งปม.รายจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี
ก่อนร้อยละ 17 เนื่องจาก พรบ.งปม.รายจ่ายประจำปี 50 ยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ดุลเงิน งปม.เกินดุล 3,437 ล้านบาท แต่เมื่อรวมกับดุล
เงินนอก งปม.ที่ขาดดุล 55,059 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 51,622 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือน
ต.ค.50 เท่ากับร้อยละ 41.14 ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 50 ทั้งนี้ รายได้นำส่งคลังรัฐบาลในไตรมาสแรกปี
งปม.50 รัฐบาลยังจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงปม. 10,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน 42,412 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 303,616 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
39,020 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.8 สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลมีการเบิกจ่าย งปม.ทั้งสิ้น 300,179 ล้านบาท
ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 61,582 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 238,080 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 19,778 ล้านบาท และ
รายจ่ายจาก งปม.ปีก่อน 42,321 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่การเบิกจ่าย งปม. ต่ำกว่าปีก่อนมากเนื่องจาก พรบ.งปม.ปี 50 ยังไม่มีผลบังคับใช้
ทำให้ต้องใช้รายจ่ายประจำปี งปม.ที่แล้วไปพลางก่อน ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะ งปม.รายจ่ายประจำและ งปม.ที่ผูกพันมาแล้วเท่านั้น (มติชน,บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อใน Euro zone ในเดือน ธ.ค.49 คงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 17 ม.ค.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของสหภาพยุโรปรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.49
และร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปี 48 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีที่ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตั้งเป้าไว้เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเป็นผลจาก
ราคาน้ำมันที่ลดลงมาอยู่ที่ 51 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับสูงสุด 78 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในเดือน ส.ค.49 โดย
ราคาพลังงานโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อปีลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 ที่ราคาเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลัก แต่ยังสูงกว่าอัตราร้อยละ
2.1 ในเดือน พ.ย.49 แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงคาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ
3.75 ต่อปีในเดือน มี.ค.50 และหลังจากนั้นอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 50 จากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อจากการเพิ่มสูงขึ้นของค่าจ้าง
และจากการขยายตัวของปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจ Euro zone ในปี 50 จะยังคงขยายตัวต่อไปในอัตรา
ที่ชะลอตัวลงจากปี 49 ทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อเดือนและร้อยละ 1.6 ต่อปี
เท่ากับเดือน พ.ย.และ ต.ค.49 (รอยเตอร์)
2. รายได้เฉลี่ยของคนอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.49 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 17 ม.ค.50
The Office for National Statistics เปิดเผยว่า รายได้เฉลี่ยของคนอังกฤษในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ย.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ
4.1 เทียบต่อปี ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่ารายได้เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ตัวเลข
รายได้เฉลี่ยจะสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ทางการอังกฤษยังคงมีความกังวล
ไม่น้อยเกี่ยวกับสัญญาณความต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยรมว.คลังได้ยืนยันว่าจะควบคุมการขยายตัวของรายได้ โดยเฉพาะรายได้ของแรงงาน
ในภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนเป็น 1 ใน 5 ของแรงงานโดยรวมให้อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นไม่มากกว่าร้อยละ 2.0 ในปี 50 ท่ามกลางการเรียกร้องของ
สหภาพแรงงานให้มีการปรับเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากทางการแสดงให้เห็นว่าอัตราการขยายตัวของ
รายได้มีการชะลอลงในบางภาคเศรษฐกิจ โดยรายได้ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ขณะที่แรงงานในภาครัฐชะลอลงต่ำสุดนับตั้งแต่
ช่วงกลางปี 41 นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่า ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานอังกฤษ อันเป็นผลจากยอดขอรับสวัสดิการ
ว่างงานที่ลดลงเป็นเวลา 3 เดือนต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยผลักดันการขยายตัวของรายได้ต่อไป (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 5.2 รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ
17 ม.ค.50 Malaysian Institute of Economic Research (MIER) เปิดเผยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 50
น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.2 และปี 49 จะขยายตัวร้อยละ 5.9 ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลมาเลเซียกำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.0
ในปี 50 และร้อยละ 5.8 ในปี 49 เนื่องจากคาดว่าการส่งออกจะชะลอตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของรัฐบาลในปี
50 อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงได้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจซึ่งพึ่งพาการค้า
ของมาเลเซียจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เมื่อความต้องการสินค้าจาก สรอ. โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และน้ำมันปาล์มดิบชะลอลง ขณะที่ความ
ต้องการสินค้าจากจีนและญี่ปุ่นยังคงเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 51 อาจขยายตัวร้อยละ 5.5 เนื่องจากคาดว่า
ความต้องการในประเทศจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 52 ในขณะที่คาดว่าความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวลงอาจช่วย
ชะลอภาวะเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค.49 อยู่ที่ร้อยละ 3.1 หลังจากที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ร้อยละ 4.8 เมื่อเดือน
มี.ค.49 อันเป็นผลจากราคาน้ำมันชะลอตัวลง สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจมาเลเซีย
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.8 ในปี 50 ชะลอลงจากร้อยละ 7.6 ในปี 49 ส่วนภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) จะขยายตัวร้อยละ 5.3 ในปี 50 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 6.0 ในปี 49 (รอยเตอร์)
4. การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันของสิงคโปร์ในเดือน ธ.ค. ชะลอลงอย่างผิดคาดแต่แนวโน้มการส่งออกยังคงสดใส รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 50 รัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค. การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันชะลอลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ที่ร้อยละ 5.1 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ในเดือน พ.ย. และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นว่า
จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เนื่องจากการส่งออกยา และอุปการณ์เทคโนโลยีลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่าการส่งออกในปี 50 จะขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วการส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันของสิงโปร์เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 8.5 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เมื่อปี 48 เนื่องจากการส่งออก
ที่ขยายตัวอย่างมากในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยาและเคมีภัณฑ์ คาดว่าในปีนี้การส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันจะขยายตัวระหว่างร้อยละ
7 — 9 โดยภาคอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกสินค้าที่มิใช่น้ำมันจะฟื้นตัวในเดือนหน้า อย่างไรก็ตามหนึ่ง
ในปัจจัยเสี่ยงสำหรับปีนี้คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สรอ. ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากยุโรป(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 18 ม.ค. 50 17 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 36.05 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.8150/36.1494 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11611 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 651.47/12.89 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,550/10,650 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 50.29 48.7 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.59*/22.54* 25.59*/22.54* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--