วันนี้ (17 มิ.ย. 50) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่พรรคฯ ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้มีการชุมนุมมีการเคลื่อนไหว มีการเรียกร้อง มีการแสดงความคิดเห็นหลายรูปแบบ นายองอาจมองว่าขณะนี้ประเทศไทยโดยรวมกำลังถูกทำร้ายโดยคณะบุคคลที่กระทำการโดยไม่ปรารถนาดีกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้จะอ้างว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แต่เนื้อแท้ หรืออาการของการแสดงออกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของบุคคล และครอบครัวของคนเพียงคนเดียว
นายองอาจกล่าวว่า การทำร้ายประเทศไทยนั้นมีอยู่หลายด้านประกอบด้วย
1. ทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศไทย กล่าวคือเศรษฐกิจของประเทศเกือบทุกระดับอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ขยับไม่ออก บอกไม่ถูก” ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนหยุดชะงัก โรงงานอุตสาหกรรมเริ่มลดจำนวนพนักงาน การว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น
2. ทำร้ายความมั่นใจของประชาชน ทำให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะ “ขวัญหนี ดีฝ่อ” ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมที่อาศัยอยู่ในวันพรุ่งนี้ แม้แต่สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องหยุดการประชุมเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
3. ทำร้ายเสถียรภาพทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม แต่จะเห็นว่าความมั่นใจที่จะมีการเลือกตั้งนั้นมีไม่มากพอ แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันการเลือกตั้งก็ตาม แต่ข่าวลือการปฏิวัติซ้ำ ก็ยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
นายองอาจ สรุปว่า ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ทำร้ายเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก และส่งผลร้ายต่อประเทศชาติโดยรวมทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้กระทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวตนเองเท่านั้น ดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องให้คณะบุคคล ไม่ว่าจะใช้ชื่อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าอย่างไรก็ตาม หรือไม่ว่าจะแต่งตัวคณะบุคคลของตัวเองด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างไรก็ตาม ที่กำลังเคลื่อนไหวสิ่งเหล่านี้หยุดทำร้ายประเทศไทยเสียที และควรมาช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศไทยด้วยการทำให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามที่นายกรัฐมนตรีเคยประกาศไว้ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าประชาชนคนไทยทั่วไปล้วนแล้วแต่รอวันแห่งการเลือกตั้ง เพื่อจะทำให้การเมืองไทยเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าการเลือกตั้งจะไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง หรือเป็นคำตอบว่าทุกอย่างจะยุติลงได้ก็ตาม แต่การเลือกตั้งคือจุดเริ่มต้นของการที่จะทำให้สังคมกลับสู่สภาวะปกติและจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาความหวั่นวิตกใด ๆ เกิดขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 มิ.ย. 2550--จบ--
นายองอาจกล่าวว่า การทำร้ายประเทศไทยนั้นมีอยู่หลายด้านประกอบด้วย
1. ทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศไทย กล่าวคือเศรษฐกิจของประเทศเกือบทุกระดับอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ขยับไม่ออก บอกไม่ถูก” ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนหยุดชะงัก โรงงานอุตสาหกรรมเริ่มลดจำนวนพนักงาน การว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น
2. ทำร้ายความมั่นใจของประชาชน ทำให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะ “ขวัญหนี ดีฝ่อ” ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมที่อาศัยอยู่ในวันพรุ่งนี้ แม้แต่สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องหยุดการประชุมเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
3. ทำร้ายเสถียรภาพทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม แต่จะเห็นว่าความมั่นใจที่จะมีการเลือกตั้งนั้นมีไม่มากพอ แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันการเลือกตั้งก็ตาม แต่ข่าวลือการปฏิวัติซ้ำ ก็ยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
นายองอาจ สรุปว่า ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ทำร้ายเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก และส่งผลร้ายต่อประเทศชาติโดยรวมทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้กระทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวตนเองเท่านั้น ดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องให้คณะบุคคล ไม่ว่าจะใช้ชื่อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าอย่างไรก็ตาม หรือไม่ว่าจะแต่งตัวคณะบุคคลของตัวเองด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างไรก็ตาม ที่กำลังเคลื่อนไหวสิ่งเหล่านี้หยุดทำร้ายประเทศไทยเสียที และควรมาช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศไทยด้วยการทำให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามที่นายกรัฐมนตรีเคยประกาศไว้ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าประชาชนคนไทยทั่วไปล้วนแล้วแต่รอวันแห่งการเลือกตั้ง เพื่อจะทำให้การเมืองไทยเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าการเลือกตั้งจะไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง หรือเป็นคำตอบว่าทุกอย่างจะยุติลงได้ก็ตาม แต่การเลือกตั้งคือจุดเริ่มต้นของการที่จะทำให้สังคมกลับสู่สภาวะปกติและจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาความหวั่นวิตกใด ๆ เกิดขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 มิ.ย. 2550--จบ--