นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตอบโต้กลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนของฝรั่งเศสที่จัดลำดับเสรีภาพสื่อมวลชนไทย หล่นจากอันดับที่ 54 ไปอยู่ในอันดับที่ 107 โดยยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีเสรีภาพเต็มสุดๆแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรจะให้มากกว่านี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีมองปัญหาเสรีภาพของสื่อมวลชนอย่างคับแคบ และไม่เข้าใจภาพรวม เพราะในยุคของนายกฯทักษิณ รูปแบบการคุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนได้พัฒนาไปมาก มีความสลับซับซ้อน น่ากลัวและรุนแรงกว่ายุคเผด็จการทหาร
“การที่นักข่าวเดินเข้า-ออก มาทำข่าวในทำเนียบรัฐบาลได้ หรือนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์นักข่าวได้ทุกวัน หรือไม่มีใครแต่งชุดซาฟารีบุกไปโรงพิมพ์ ไม่ใช่เหตุผลที่อธิบายว่าสื่อมวลชนมีเสรีภาพแล้ว แต่เสรีภาพของสื่อมวลชนสะท้อนได้จากท่าทีของผู้นำรัฐบาล ต่อการทำหน้าที่รายงานข่าวสารข้อเท็จจริงไปยังประชาชน ว่าสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน ดูหมิ่นดูแคลนกันหรือไม่ มีการใช้กลไกรัฐมาสกัดการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างไร สิ่งนี้ต่างหากที่ต้องนำมาพิจารณา” นายอภิชาต กล่าว
นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับการจัดอันดับเสรีภาพดังกล่าวของกลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน เพราะปรากฎการณ์คุกคามเสรีภาพสื่อมวลชน ตั้งแต่การแทรกแซง การครอบงำ กดดัน กวาดต้อน จนกระทั่งการเข้ายึดครอง ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในช่วงรัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดกรณีการรุกคืบของกลุ่มทุนการเมืองที่เข้ามาถือครองหุ้นในเครือหนังสือพิมพ์มติชน เครือเนชั่น เครือบางกอกโพสต์ จนเกิดกระแสสังคมลุกขึ้นมาปกป้องอย่างครึกโครม เกิดกรณีสั่งถอดรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ที่มีเนื้อหากระทบต่อภาพลักษณ์หรือเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ปล่อยให้รายการที่มีเนื้อหาเชียร์รัฐบาลเต็มที่ลอยชายอยู่ได้ แม้ว่าจะสร้างความแตกแยกในสังคมรุนแรงแค่ไหนก็ตาม การเสนอข่าวขุดคุ้ยการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็มักจะถูกข่มขู่ ฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเป็นเงินพันล้านหมื่นล้าน มีการขูมขู่ ทำร้ายนักข่าวในช่วง 5 ปีมานี้มากถึงเกือบ 30 ราย รวมถึงมีการใช้หน่วยงานและกฎหมายในยุคเผด็จการมาสกัดกั้นการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ๆอย่าง วิทยุชุมชน หรือสื่ออินเตอร์เน็ต จนภาคประชาชนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสื่อเหล่านั้นอย่างมีอิสระตามรัฐธรรมนูญ
“ถ้านายกฯอยากให้สื่อมวลชนไทยมีเสรีภาพจริงๆ นายกฯต้องคิดใหม่ ยอมรับการทำหน้าที่ของสื่อโดยไม่เข้าไปแทรกแซงในทุกรูปแบบ หยุดความหวาดแระวง หยุดคิดเล็กคิดน้อย หยุดการใช้กลไกหรืออำนาจทางกฎหมายมาสกัดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อ เปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐให้ข้อมูลกับสื่ออย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าเดิม” นายอภิชาตกล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า วันนี้คนในวงการสื่อเริ่มวิตกกันแล้วว่า อาจจะมีการนำพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนมาบังคับใช้ เพราะสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เขม็งเกลียวรุนแรงขึ้น รัฐบาลมีแนวโน้มจะใช้สื่อของรัฐเพื่อปลุกระดมมวลชนไปบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของตนเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานของสื่อมวลชนทั่วไปขาดอิสระ และไม่สามารถสะท้อนภาพที่เป็นจริงมารายงานกับสังคมได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ต.ค. 2548--จบ--
“การที่นักข่าวเดินเข้า-ออก มาทำข่าวในทำเนียบรัฐบาลได้ หรือนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์นักข่าวได้ทุกวัน หรือไม่มีใครแต่งชุดซาฟารีบุกไปโรงพิมพ์ ไม่ใช่เหตุผลที่อธิบายว่าสื่อมวลชนมีเสรีภาพแล้ว แต่เสรีภาพของสื่อมวลชนสะท้อนได้จากท่าทีของผู้นำรัฐบาล ต่อการทำหน้าที่รายงานข่าวสารข้อเท็จจริงไปยังประชาชน ว่าสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน ดูหมิ่นดูแคลนกันหรือไม่ มีการใช้กลไกรัฐมาสกัดการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างไร สิ่งนี้ต่างหากที่ต้องนำมาพิจารณา” นายอภิชาต กล่าว
นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับการจัดอันดับเสรีภาพดังกล่าวของกลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน เพราะปรากฎการณ์คุกคามเสรีภาพสื่อมวลชน ตั้งแต่การแทรกแซง การครอบงำ กดดัน กวาดต้อน จนกระทั่งการเข้ายึดครอง ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในช่วงรัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดกรณีการรุกคืบของกลุ่มทุนการเมืองที่เข้ามาถือครองหุ้นในเครือหนังสือพิมพ์มติชน เครือเนชั่น เครือบางกอกโพสต์ จนเกิดกระแสสังคมลุกขึ้นมาปกป้องอย่างครึกโครม เกิดกรณีสั่งถอดรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ที่มีเนื้อหากระทบต่อภาพลักษณ์หรือเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ปล่อยให้รายการที่มีเนื้อหาเชียร์รัฐบาลเต็มที่ลอยชายอยู่ได้ แม้ว่าจะสร้างความแตกแยกในสังคมรุนแรงแค่ไหนก็ตาม การเสนอข่าวขุดคุ้ยการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็มักจะถูกข่มขู่ ฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเป็นเงินพันล้านหมื่นล้าน มีการขูมขู่ ทำร้ายนักข่าวในช่วง 5 ปีมานี้มากถึงเกือบ 30 ราย รวมถึงมีการใช้หน่วยงานและกฎหมายในยุคเผด็จการมาสกัดกั้นการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ๆอย่าง วิทยุชุมชน หรือสื่ออินเตอร์เน็ต จนภาคประชาชนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสื่อเหล่านั้นอย่างมีอิสระตามรัฐธรรมนูญ
“ถ้านายกฯอยากให้สื่อมวลชนไทยมีเสรีภาพจริงๆ นายกฯต้องคิดใหม่ ยอมรับการทำหน้าที่ของสื่อโดยไม่เข้าไปแทรกแซงในทุกรูปแบบ หยุดความหวาดแระวง หยุดคิดเล็กคิดน้อย หยุดการใช้กลไกหรืออำนาจทางกฎหมายมาสกัดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อ เปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐให้ข้อมูลกับสื่ออย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าเดิม” นายอภิชาตกล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า วันนี้คนในวงการสื่อเริ่มวิตกกันแล้วว่า อาจจะมีการนำพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนมาบังคับใช้ เพราะสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เขม็งเกลียวรุนแรงขึ้น รัฐบาลมีแนวโน้มจะใช้สื่อของรัฐเพื่อปลุกระดมมวลชนไปบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของตนเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานของสื่อมวลชนทั่วไปขาดอิสระ และไม่สามารถสะท้อนภาพที่เป็นจริงมารายงานกับสังคมได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 ต.ค. 2548--จบ--