หลังจากที่ได้ติดตามดูรายการนายกรัฐมนตรี พลเอก สุรยุทธ์ ฯ พบปะสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลที่ผ่านมาทั้ง 3 ครั้ง ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า บทวิเคราะห์ของผมเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาภายใต้หัวข้อเรื่องปรับครม. — สร้างความเชื่อมั่น สร้างทีมใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาชาติยิ่งน่าจะเป็นแนวทางที่รัฐบาลควรจะได้ดำเนินการโดยเร่งด่วนเสียแล้ว
เพราะผมได้สังเกตเห็นความไม่พร้อมของรัฐบาลในหลายประการด้วยกัน รายการพบปะสื่อมวลชน เพื่อรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาลพร้อมตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน แทนที่จะมีเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นด้านหลัก ก็กลายเป็นการตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนกลับเป็นด้านหลักแทนและที่ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือว่าประเด็นที่เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นที่รับทราบกันล้วนเป็นประเด็นที่ถูกกำหนดโดยสื่อเกือบจะทั้งสิ้น
ผมเห็นว่าท่านนายกรัฐมนตรีฯ ก็ดูจะมีความรู้สึกในความไม่พร้อมในหลาย ๆ เรื่องอยู่เหมือนกันจึงได้กล่าวออกตัวไปในทำนองว่า การประชาสัมพันธ์ค่อนข้างอ่อนไป และก็ได้แจ้งให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงแจ้งผลงานให้ประชาชนได้รับทราบว่าได้ทำอะไรไปแล้ว
ผมเห็นว่าการอ่อนประชาสัมพันธ์ที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ความไม่พร้อมของรัฐบาลในประการต่าง ๆ นั้นมีมากกว่า นับตั้งแต่คนซึ่งเป็นกลไกหลักในการทำงานในขณะนี้ต้องถือว่ายังมีไม่มากพอกับงานที่ต้องทำทั้งรัฐมนตรี ทีมงานและข้าราชการประจำ
กำลังคนที่มีอยู่ในขณะนี้แม้จะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินในภาวะปรกติธรรมดาต่อปัญหาของบ้านเมือง ที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นยิ่งในภาวะวิกฤตอย่างทุกวันนี้จะเพียงพอได้อย่างไร ไหนจะยังมีประเภทที่ใส่เกียร์ว่างปะปนอยู่อีกไม่น้อยและที่ยังไม่ค่อยจะรู้ร้อนรู้หนาวไม่รู้สึกว่าบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติและไม่ค่อยจะเข้าใจในภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัด และของตนเองก็ยังมีอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดกรณีโยกโย้กันไปมาในการปฏิบัติตามมติของคตส.ได้อย่างไรและบ้างก็ยังอยู่อย่างลอยตัวเหนือความขัดแย้ง รอวันเวลาพ้นจากหน้าที่หรือรอวันเวลาที่รัฐบาลนี้จะหมดวาระไปเพราะจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับใครต่อไปอีกซึ่งอย่างนี้ต้องถือว่าทำให้บ้านเมืองเสียหาย
ด้วยความไม่พร้อมด้วยประการต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ จึงเป็นผลให้ผลงานของรัฐบาลที่มีออกมาไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันให้จับต้องได้มากนักแต่อะไรไม่สำคัญเท่ากับความไม่ค่อยจะรู้เท่าทันเกมการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าแล้วเป็นเหตุให้ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่นเพราะต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่น กรณีการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในวงการเมืองต่างก็รู้กันมาโดยตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองยังไม่พร้อมและไม่กล้าที่จะกลับประเทศทั้งในระยะเวลาที่ผ่านมา หรือแม้แต่ในช่วงเวลานี้แต่ก็ได้พยายามสร้างภาพให้เห็นว่า ที่ยังกลับไม่ได้ เพราะรัฐบาลและคมช. ยังไม่ยอมให้กลับ ทั้ง ๆ ที่โดยรัฐธรรมนูญแม้จะเป็นฉบับชั่วคราวนี้ ก็ห้ามคนไทยไม่ให้กลับประเทศไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น และเมื่อมาถึงเวลานี้ทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นเกมทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งถึงขนาดมีการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศเพื่อดำเนินการกันแล้ว
เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ ควรจะได้มองเห็นและรีบหาทางแก้ไข เพราะพอที่จะประเมินสถานการณ์และปัญหาได้แล้วว่ามีแต่จะยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้นทุกที และทางแก้ทางหนึ่งก็คือ การเพิ่มจำนวนคนทำงานที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่น และมีความเข้าใจในสถานการณ์และภารกิจของตน เพราะฉะนั้นเพื่อให้การแก้ไขปมปัญหาที่มีอยู่และที่จะมีเพิ่มเติมเข้ามาอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่เวลาในการบริหารงานของรัฐบาลก็ต้องเริ่มนับถอยหลังด้วยแล้ว ผมจึงเห็นว่าการสร้างทีมงานใหญ่ที่มีความพร้อมในภาวะการณ์เช่นนี้ เป็นความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นทิ้งปัญหาไว้ภายหลังจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งถ้าท่านนายกรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการ
1. ปรับครม. โดยเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีให้เต็มจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีได้เพื่อให้เป็นทีมใหญ่พร้อมในการแก้ไขปัญหาของชาติจริง ๆ และแม้ว่าการปรับครม. อาจจะมีปัญหาลงตัวได้ยากเพราะจะมีปัญหาเด็กฝากขึ้นมาอีก แต่ก็เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และทุกฝ่ายก็ควรจะได้เข้าใจว่ารัฐมนตรีที่จะได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่จะต้องเป็นคนที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่นและมีความเข้าใจในปัญหาและสถานการณ์ของบ้านเมือง เข้าใจภารกิจของตนและจะต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งปล่อยให้ปัญหาบานปลายต่อไปอีก
2. นายกรัฐมนตรีต้องสร้างความเข้าใจต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ให้ได้เข้าใจถึงภารกิจหลักที่สำคัญในเบื้องต้นว่าคือการกอบกู้วิกฤติและการป้องกันมิให้เกิดวิกฤติขึ้นมาอีกซึ่งก็คือเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากความจำเป็นในการยึดอำนาจที่ปรากฎอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและก็ปรากฎตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติว่าจะมุ่งประสงค์แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ และความมั่นคงของชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเสริมสร้างระบบการตรวจสอบการทุจริตที่เข้มแข็งและระบบคุณธรรมที่ดีงามเพื่อให้รัฐมนตรีได้เข้าใจตรงกันและมุ่งทำงานไปในทิศทางเดียวกัน คือการดำเนินการชำระล้างความสกปรกอันเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น และเร่งสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสกปรกซ้ำซาก
3. นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงได้สร้างความเข้าใจต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกนอกแถว หรือพวกเกียร์ว่างให้ได้มีความเข้าใจในภารกิจหลักในทำนองเดียวกัน เพื่อให้ความร่วมมือกับ คตส. หรือหน่วยงานตรวจสอบอื่นอย่างจริงจัง หากฝ่าฝืนต้องลงโทษให้เห็นเป็นตัวอย่าง
4. เสริมสร้างทีมงานกระทรวงต่างประเทศให้เป็นทีมใหญ่เพื่อให้ศักยภาพเพียงพอที่จะสู้รบกับทฤษฎีการตลาดภายนอก เพื่อนำการเมืองภายในของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลและคมช. ในสายตาต่างประเทศอันเป็นเกมการเมืองที่รัฐบาลไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาทต่อไปอีก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความเข้าใจในต่างประเทศถึงสภาพความเป็นจริงของการบริหารบ้านเมืองในยุคทักษิณ รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ
5. ปรับปรุงทีมงานโฆษกรัฐบาล ให้เป็นทีมงานประชาสัมพันธ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงทีมงานแถลงข่าว เพื่อให้มีความพร้อมในการสร้างความเข้าใจต่อประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนาการของปัญหาและ สถานการณ์ ที่นับวันแต่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและที่สำคัญมากก็คือการให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ผลการตรวจสอบกรณีทุจริต คอร์รัปชั่น โดยคตส. และหน่วยตรวจสอบอื่นให้เป็นที่รับทราบอย่างกว้างขวาง
คงไม่มีใครอยากเห็น คำพังเพยตามแบบไทย ๆ ที่ว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” เกิดขึ้นในยุครัฐบาลนี้แต่ถ้าความพร้อมยังเท่าเดิม และยังเดินตามกฎอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ปัญหาเพิ่มมากขึ้นและอีกฝ่ายเดินตามเกมด้วยความพร้อมที่เหนือกว่า อาการก็คงน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน.
***************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค. 2550--จบ--
เพราะผมได้สังเกตเห็นความไม่พร้อมของรัฐบาลในหลายประการด้วยกัน รายการพบปะสื่อมวลชน เพื่อรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาลพร้อมตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน แทนที่จะมีเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นด้านหลัก ก็กลายเป็นการตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนกลับเป็นด้านหลักแทนและที่ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือว่าประเด็นที่เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นที่รับทราบกันล้วนเป็นประเด็นที่ถูกกำหนดโดยสื่อเกือบจะทั้งสิ้น
ผมเห็นว่าท่านนายกรัฐมนตรีฯ ก็ดูจะมีความรู้สึกในความไม่พร้อมในหลาย ๆ เรื่องอยู่เหมือนกันจึงได้กล่าวออกตัวไปในทำนองว่า การประชาสัมพันธ์ค่อนข้างอ่อนไป และก็ได้แจ้งให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงแจ้งผลงานให้ประชาชนได้รับทราบว่าได้ทำอะไรไปแล้ว
ผมเห็นว่าการอ่อนประชาสัมพันธ์ที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ความไม่พร้อมของรัฐบาลในประการต่าง ๆ นั้นมีมากกว่า นับตั้งแต่คนซึ่งเป็นกลไกหลักในการทำงานในขณะนี้ต้องถือว่ายังมีไม่มากพอกับงานที่ต้องทำทั้งรัฐมนตรี ทีมงานและข้าราชการประจำ
กำลังคนที่มีอยู่ในขณะนี้แม้จะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินในภาวะปรกติธรรมดาต่อปัญหาของบ้านเมือง ที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นยิ่งในภาวะวิกฤตอย่างทุกวันนี้จะเพียงพอได้อย่างไร ไหนจะยังมีประเภทที่ใส่เกียร์ว่างปะปนอยู่อีกไม่น้อยและที่ยังไม่ค่อยจะรู้ร้อนรู้หนาวไม่รู้สึกว่าบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติและไม่ค่อยจะเข้าใจในภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัด และของตนเองก็ยังมีอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดกรณีโยกโย้กันไปมาในการปฏิบัติตามมติของคตส.ได้อย่างไรและบ้างก็ยังอยู่อย่างลอยตัวเหนือความขัดแย้ง รอวันเวลาพ้นจากหน้าที่หรือรอวันเวลาที่รัฐบาลนี้จะหมดวาระไปเพราะจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับใครต่อไปอีกซึ่งอย่างนี้ต้องถือว่าทำให้บ้านเมืองเสียหาย
ด้วยความไม่พร้อมด้วยประการต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ จึงเป็นผลให้ผลงานของรัฐบาลที่มีออกมาไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันให้จับต้องได้มากนักแต่อะไรไม่สำคัญเท่ากับความไม่ค่อยจะรู้เท่าทันเกมการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าแล้วเป็นเหตุให้ถูกบั่นทอนความเชื่อมั่นเพราะต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่น กรณีการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในวงการเมืองต่างก็รู้กันมาโดยตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองยังไม่พร้อมและไม่กล้าที่จะกลับประเทศทั้งในระยะเวลาที่ผ่านมา หรือแม้แต่ในช่วงเวลานี้แต่ก็ได้พยายามสร้างภาพให้เห็นว่า ที่ยังกลับไม่ได้ เพราะรัฐบาลและคมช. ยังไม่ยอมให้กลับ ทั้ง ๆ ที่โดยรัฐธรรมนูญแม้จะเป็นฉบับชั่วคราวนี้ ก็ห้ามคนไทยไม่ให้กลับประเทศไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น และเมื่อมาถึงเวลานี้ทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นเกมทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งถึงขนาดมีการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศเพื่อดำเนินการกันแล้ว
เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ ควรจะได้มองเห็นและรีบหาทางแก้ไข เพราะพอที่จะประเมินสถานการณ์และปัญหาได้แล้วว่ามีแต่จะยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้นทุกที และทางแก้ทางหนึ่งก็คือ การเพิ่มจำนวนคนทำงานที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่น และมีความเข้าใจในสถานการณ์และภารกิจของตน เพราะฉะนั้นเพื่อให้การแก้ไขปมปัญหาที่มีอยู่และที่จะมีเพิ่มเติมเข้ามาอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่เวลาในการบริหารงานของรัฐบาลก็ต้องเริ่มนับถอยหลังด้วยแล้ว ผมจึงเห็นว่าการสร้างทีมงานใหญ่ที่มีความพร้อมในภาวะการณ์เช่นนี้ เป็นความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นทิ้งปัญหาไว้ภายหลังจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งถ้าท่านนายกรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการ
1. ปรับครม. โดยเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีให้เต็มจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีได้เพื่อให้เป็นทีมใหญ่พร้อมในการแก้ไขปัญหาของชาติจริง ๆ และแม้ว่าการปรับครม. อาจจะมีปัญหาลงตัวได้ยากเพราะจะมีปัญหาเด็กฝากขึ้นมาอีก แต่ก็เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และทุกฝ่ายก็ควรจะได้เข้าใจว่ารัฐมนตรีที่จะได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่จะต้องเป็นคนที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่นและมีความเข้าใจในปัญหาและสถานการณ์ของบ้านเมือง เข้าใจภารกิจของตนและจะต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งปล่อยให้ปัญหาบานปลายต่อไปอีก
2. นายกรัฐมนตรีต้องสร้างความเข้าใจต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ให้ได้เข้าใจถึงภารกิจหลักที่สำคัญในเบื้องต้นว่าคือการกอบกู้วิกฤติและการป้องกันมิให้เกิดวิกฤติขึ้นมาอีกซึ่งก็คือเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากความจำเป็นในการยึดอำนาจที่ปรากฎอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและก็ปรากฎตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติว่าจะมุ่งประสงค์แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ และความมั่นคงของชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเสริมสร้างระบบการตรวจสอบการทุจริตที่เข้มแข็งและระบบคุณธรรมที่ดีงามเพื่อให้รัฐมนตรีได้เข้าใจตรงกันและมุ่งทำงานไปในทิศทางเดียวกัน คือการดำเนินการชำระล้างความสกปรกอันเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น และเร่งสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสกปรกซ้ำซาก
3. นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงได้สร้างความเข้าใจต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกนอกแถว หรือพวกเกียร์ว่างให้ได้มีความเข้าใจในภารกิจหลักในทำนองเดียวกัน เพื่อให้ความร่วมมือกับ คตส. หรือหน่วยงานตรวจสอบอื่นอย่างจริงจัง หากฝ่าฝืนต้องลงโทษให้เห็นเป็นตัวอย่าง
4. เสริมสร้างทีมงานกระทรวงต่างประเทศให้เป็นทีมใหญ่เพื่อให้ศักยภาพเพียงพอที่จะสู้รบกับทฤษฎีการตลาดภายนอก เพื่อนำการเมืองภายในของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลและคมช. ในสายตาต่างประเทศอันเป็นเกมการเมืองที่รัฐบาลไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาทต่อไปอีก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความเข้าใจในต่างประเทศถึงสภาพความเป็นจริงของการบริหารบ้านเมืองในยุคทักษิณ รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ
5. ปรับปรุงทีมงานโฆษกรัฐบาล ให้เป็นทีมงานประชาสัมพันธ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงทีมงานแถลงข่าว เพื่อให้มีความพร้อมในการสร้างความเข้าใจต่อประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนาการของปัญหาและ สถานการณ์ ที่นับวันแต่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและที่สำคัญมากก็คือการให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ผลการตรวจสอบกรณีทุจริต คอร์รัปชั่น โดยคตส. และหน่วยตรวจสอบอื่นให้เป็นที่รับทราบอย่างกว้างขวาง
คงไม่มีใครอยากเห็น คำพังเพยตามแบบไทย ๆ ที่ว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” เกิดขึ้นในยุครัฐบาลนี้แต่ถ้าความพร้อมยังเท่าเดิม และยังเดินตามกฎอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ปัญหาเพิ่มมากขึ้นและอีกฝ่ายเดินตามเกมด้วยความพร้อมที่เหนือกว่า อาการก็คงน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน.
***************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค. 2550--จบ--