ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ไอเอ็มเอฟเสนอแนะ ให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อเงินทุนเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานผลการทบทวนภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 49 ของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งระบุว่า ทางการไทยควรอธิบายนโยบายและวัตถุประสงค์ในการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า
(มาตรการกันสำรอง 30%)ต่อนักลงทุน เพื่อลดผลกระทบด้านความเชื่อมั่น และสนับสนุนให้ ธปท.ผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว รวมถึงยกเลิก
เมื่อเงินทุนเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมองว่ามาตรการดังกล่าว แม้เป็นเครื่องมือระยะสั้นที่มีประโยชน์ในการควบคุมความผันผวนของค่าเงิน
และดูแลผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ควรให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านลบในระยะยาว ทั้งความมั่นใจของนักลงทุนและการพัฒนา
ตลาดทุนในประเทศ สำหรับความท้าทายของนโยบายเศรษฐกิจไทยในอนาคต ไอเอ็มเอฟระบุว่าคือ การเร่งขยายตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับ
การรักษาเสถียรภาพ โดยแนะนำว่าไทยจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นความต้องการในประเทศ เพิ่มการลงทุนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งสร้าง
ความมั่นใจแก่นักลงทุน นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย โดยเห็นว่าไทยยังมีโอกาส
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเพื่อเร่งความต้องการในประเทศได้ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังขยายตัวเพิ่มได้อีก เพราะเสถียรภาพการคลัง
ระยะปานกลางสามารถรองรับการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐได้ ทั้งนี้ จากการประมาณการของไอเอ็มเอฟ เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว
ได้ 4.5% ลดลงจากปี 49 ที่ขยายตัว 5% โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคจะขยายตัว 4% ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 500 ล.ดอลลาร์ สรอ.
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 2.5% เงินเฟ้อพื้นฐานเติบโต 2% และมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่มีปัญหาการแข่งขันเพราะการส่งออกยัง
ขยายตัวได้ดี (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ติดตามเอ็นพีแอลของระบบบัตรเดรดิตหลังบังคับใช้มาตรการคืนหนี้ขั้นต่ำ 10% นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังจับตาดูยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบบัตรเครดิต
ว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดหลังจากวันที่ 1 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ ธปท.กำหนดให้การชำระคืนหนี้ขั้นต่ำรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 10%
ของยอดหนี้รวม จากเดิมที่ผ่อนผันให้บัตรเครดิตรายเก่าที่ทำก่อนวันที่ 1 เม.ย.47 ผ่อนชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดหนี้รวมได้ ทั้งนี้ แม้ว่า
จะมีผู้ประกอบการบัตรเครดิตหลายรายเพิ่มอัตราการผ่อนชำระรายเดือนขั้นต่ำจาก 5% เป็น 6-8% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 50 ที่ผ่านมา แต่ก็ยัง
ไม่พบความปิดปกติ นอกจากนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเกณฑ์การชำระคืนหนี้ขั้นต่ำลงอีก แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม
ผู้ถือบัตรที่ไม่สามารถชำระคืนหนี้ขั้นต่ำ สามารถที่จะปรับโครงสร้างหนี้ได้ ซึ่ง ธปท.ได้ให้นโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์แล้วว่า ให้ช่วยเหลือ
ผู้ถือบัตรส่วนนี้ โดยให้หยุดการใช้บัตรเครดิตไว้ที่ยอดหนี้เก่า และเปลี่ยนการผ่อนชำระเป็นลักษณะสินเชื่อทั่วไป โดยอาจจ่ายเดือนละ 5%
หรือ 1-2% ตามความสามารถในการชำระหนี้ (ไทยรัฐ)
3. คาดว่าผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือน มี.ค.อาจลดลงต่ำกว่าประมาณการ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัด ก.คลัง
เปิดเผยว่า จากการติดตามตัวเลขผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงครึ่งแรกของเดือน มี.ค.นี้ พบว่ามีสัญญาณหลายตัวที่บ่งชี้ว่า ผลการ
จัดเก็บรายได้ในเดือนนี้จะต่ำกว่าประมาณการ โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการบริโภคของประชาชน ภาษีธุรกิจเฉพาะที่เก็บจาก
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อากรแสตมป์ที่เก็บจากการว่าจ้างผลิต รวมถึงการจัดเก็บรายได้จากภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์
โดยมีสาเหตุจากการที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นทั้งต่อภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยปัญหาต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ปัญหา
การเมือง และความไม่สงบในภาคใต้ ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมของผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม. 50 จะถือ
เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีผลการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านมือสองของสรอ. ในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 50
สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ. ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากร้อยละ 2.7 เมื่อเดือนม.ค.
อยู่ที่ 6.69 ล้านหลัง เพิ่มจากระดับ 6.44 ล้านหลังเมื่อเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 47 และเป็นครั้งแรกที่ยอดขาย
บ้านมือสองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 47 เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในฤดูหนาวไม่หนาวมาก ทั้งนี้
นักเศรษฐศาสตร์จากวอลสตรีทคาดว่ายอดขายบ้านมือสองในเดือน ก.พ. จะลดลงอยู่ที่ 6.31 ล้านหลัง อย่างไรก็ดียอดบ้านคงค้างที่ยัง
ไม่ได้ขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 อยู่ที่ 3.748 ล้านหลัง หรือเทียบเท่ากับ 6.7 เดือนของยอดขายในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 6.6 เดือน
ในเดือน ม.ค. ทั้งนี้เป็นเพราะราคาบ้านลดลงทำให้ยอดขายบ้านในเดือน ก.พ.เพิ่มขึ้นโดยบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ย 212,800 ดอลลาร์
สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือน ม.ค. แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ยลดลงร้อยละ 1.3 ลดลง
อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราการว่างงานของเยอรมนีจะลดลงต่ำกว่า 4 ล้านคน ในปีนี้ รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 24 มี.ค.50 Frank-Juergen Weise หัวหน้าสำนักงานแรงงานกลางของเยอรมนี คาดการณ์ว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงาน
ของเยอรมนีในปีนี้จะลดลงต่ำกว่าระดับ 4 ล้านคน จากตัวเลขการว่างงานที่ลดลงในเดือน ก.พ.50 คาดว่าจะปรับลดลงต่อเนื่องใน
เดือน มี.ค.50 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ตัวเลขคนว่างงานเคยเพิ่มขึ้นสูงสุดมากกว่า 5 ล้านคน ในช่วงต้นปี 2547 หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น
อัตราการว่างงานของเยอรมนีได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขรวมอัตราการว่างงานในเดือน ก.พ.50 อยู่ที่ระดับ 4.2 ล้านคน
แต่ตัวเลขที่ปรับตามปัจจัยตามฤดูกาลยังไม่แน่นอนอยู่ที่ระดับ 3.897 ล้านคน ซึ่งอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอันเป็นผลมาจาก
เศรษฐกิจในปีก่อนขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี ได้สร้างความหวังว่าการขยายตัวของแรงงานจะช่วยชดเชยผลกระทบด้านลบจากการ
ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3 ที่มีผลบังคับเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ
23 มี.ค.50 สำนักงานสถิติสิงคโปร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน
ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.45 หลังจากที่เดือน ม.ค.50 ลดลงร้อยละ 0.7 ทั้งนี้ การที่
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าดัชนีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ.เนื่องจากราคาของเป็ดไก่ ผักสด และอาหารหวานในช่วงเทศกาลตรุษจีน
จะเพิ่มสูงขึ้น อนึ่ง หากเทียบต่อปี ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7
ส่วนราคาอาหาร ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมากที่สุดในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยลดลง
ร้อยละ 0.8 และราคาภาคการขนส่งและติดต่อสื่อสารลดลงร้อยละ 1.1 (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกาหลีใต้ในไตรมาสแรกปี 50 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี รายงานจากโซล
เมื่อ 26 มี.ค.50 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากผลสำรวจโดย ธ.กลางเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ
103 ในไตรมาสแรกปี 50 หลังจากดัชนีอยู่ที่ระดับ 98 และ 96 ในไตรมาสที่ 4 และ 3 ปี 49 ตามลำดับ ดัชนีความเชื่อมั่นสูงสุด
อยู่ที่ระดับ 109 ในไตรมาสแรกปี 49 จากตัวเลขดัชนีที่สูงกว่า 100 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคที่คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจและการ
ครองชีพในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้นมีจำนวนมากกว่าผู้ที่คาดว่าจะเลวลง สำหรับความต้องการในประเทศซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง
ของผลผลิตในประเทศหรือ GDP ของเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะซบเซาจากการคาดว่าการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 อาจชะลอตัวลงโดยขยายตัวร้อยละ 4.4 หลังจากขยายตัวร้อยละ 5.0
ในปี 49 และร้อยละ 4.2 ในปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 มี.ค. 50 23 มี.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.876 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.6349/34.9624 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.63063 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.79/9.45 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,850/10,950 10,850/10,950 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.76 59.19 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.59*/23.74* 27.59*/23.74* 26.49/23.34 ปตท
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 มี.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ไอเอ็มเอฟเสนอแนะ ให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อเงินทุนเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานผลการทบทวนภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 49 ของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งระบุว่า ทางการไทยควรอธิบายนโยบายและวัตถุประสงค์ในการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า
(มาตรการกันสำรอง 30%)ต่อนักลงทุน เพื่อลดผลกระทบด้านความเชื่อมั่น และสนับสนุนให้ ธปท.ผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว รวมถึงยกเลิก
เมื่อเงินทุนเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมองว่ามาตรการดังกล่าว แม้เป็นเครื่องมือระยะสั้นที่มีประโยชน์ในการควบคุมความผันผวนของค่าเงิน
และดูแลผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ควรให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านลบในระยะยาว ทั้งความมั่นใจของนักลงทุนและการพัฒนา
ตลาดทุนในประเทศ สำหรับความท้าทายของนโยบายเศรษฐกิจไทยในอนาคต ไอเอ็มเอฟระบุว่าคือ การเร่งขยายตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับ
การรักษาเสถียรภาพ โดยแนะนำว่าไทยจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นความต้องการในประเทศ เพิ่มการลงทุนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งสร้าง
ความมั่นใจแก่นักลงทุน นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย โดยเห็นว่าไทยยังมีโอกาส
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเพื่อเร่งความต้องการในประเทศได้ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังขยายตัวเพิ่มได้อีก เพราะเสถียรภาพการคลัง
ระยะปานกลางสามารถรองรับการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐได้ ทั้งนี้ จากการประมาณการของไอเอ็มเอฟ เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว
ได้ 4.5% ลดลงจากปี 49 ที่ขยายตัว 5% โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคจะขยายตัว 4% ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 500 ล.ดอลลาร์ สรอ.
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 2.5% เงินเฟ้อพื้นฐานเติบโต 2% และมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่มีปัญหาการแข่งขันเพราะการส่งออกยัง
ขยายตัวได้ดี (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ติดตามเอ็นพีแอลของระบบบัตรเดรดิตหลังบังคับใช้มาตรการคืนหนี้ขั้นต่ำ 10% นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังจับตาดูยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบบัตรเครดิต
ว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดหลังจากวันที่ 1 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ ธปท.กำหนดให้การชำระคืนหนี้ขั้นต่ำรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 10%
ของยอดหนี้รวม จากเดิมที่ผ่อนผันให้บัตรเครดิตรายเก่าที่ทำก่อนวันที่ 1 เม.ย.47 ผ่อนชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดหนี้รวมได้ ทั้งนี้ แม้ว่า
จะมีผู้ประกอบการบัตรเครดิตหลายรายเพิ่มอัตราการผ่อนชำระรายเดือนขั้นต่ำจาก 5% เป็น 6-8% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 50 ที่ผ่านมา แต่ก็ยัง
ไม่พบความปิดปกติ นอกจากนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเกณฑ์การชำระคืนหนี้ขั้นต่ำลงอีก แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม
ผู้ถือบัตรที่ไม่สามารถชำระคืนหนี้ขั้นต่ำ สามารถที่จะปรับโครงสร้างหนี้ได้ ซึ่ง ธปท.ได้ให้นโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์แล้วว่า ให้ช่วยเหลือ
ผู้ถือบัตรส่วนนี้ โดยให้หยุดการใช้บัตรเครดิตไว้ที่ยอดหนี้เก่า และเปลี่ยนการผ่อนชำระเป็นลักษณะสินเชื่อทั่วไป โดยอาจจ่ายเดือนละ 5%
หรือ 1-2% ตามความสามารถในการชำระหนี้ (ไทยรัฐ)
3. คาดว่าผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือน มี.ค.อาจลดลงต่ำกว่าประมาณการ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัด ก.คลัง
เปิดเผยว่า จากการติดตามตัวเลขผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงครึ่งแรกของเดือน มี.ค.นี้ พบว่ามีสัญญาณหลายตัวที่บ่งชี้ว่า ผลการ
จัดเก็บรายได้ในเดือนนี้จะต่ำกว่าประมาณการ โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการบริโภคของประชาชน ภาษีธุรกิจเฉพาะที่เก็บจาก
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อากรแสตมป์ที่เก็บจากการว่าจ้างผลิต รวมถึงการจัดเก็บรายได้จากภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์
โดยมีสาเหตุจากการที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นทั้งต่อภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยปัญหาต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ปัญหา
การเมือง และความไม่สงบในภาคใต้ ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมของผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม. 50 จะถือ
เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีผลการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายบ้านมือสองของสรอ. ในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 50
สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ. ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากร้อยละ 2.7 เมื่อเดือนม.ค.
อยู่ที่ 6.69 ล้านหลัง เพิ่มจากระดับ 6.44 ล้านหลังเมื่อเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 47 และเป็นครั้งแรกที่ยอดขาย
บ้านมือสองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 47 เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในฤดูหนาวไม่หนาวมาก ทั้งนี้
นักเศรษฐศาสตร์จากวอลสตรีทคาดว่ายอดขายบ้านมือสองในเดือน ก.พ. จะลดลงอยู่ที่ 6.31 ล้านหลัง อย่างไรก็ดียอดบ้านคงค้างที่ยัง
ไม่ได้ขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 อยู่ที่ 3.748 ล้านหลัง หรือเทียบเท่ากับ 6.7 เดือนของยอดขายในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 6.6 เดือน
ในเดือน ม.ค. ทั้งนี้เป็นเพราะราคาบ้านลดลงทำให้ยอดขายบ้านในเดือน ก.พ.เพิ่มขึ้นโดยบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ย 212,800 ดอลลาร์
สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือน ม.ค. แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ยลดลงร้อยละ 1.3 ลดลง
อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราการว่างงานของเยอรมนีจะลดลงต่ำกว่า 4 ล้านคน ในปีนี้ รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 24 มี.ค.50 Frank-Juergen Weise หัวหน้าสำนักงานแรงงานกลางของเยอรมนี คาดการณ์ว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงาน
ของเยอรมนีในปีนี้จะลดลงต่ำกว่าระดับ 4 ล้านคน จากตัวเลขการว่างงานที่ลดลงในเดือน ก.พ.50 คาดว่าจะปรับลดลงต่อเนื่องใน
เดือน มี.ค.50 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ตัวเลขคนว่างงานเคยเพิ่มขึ้นสูงสุดมากกว่า 5 ล้านคน ในช่วงต้นปี 2547 หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น
อัตราการว่างงานของเยอรมนีได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขรวมอัตราการว่างงานในเดือน ก.พ.50 อยู่ที่ระดับ 4.2 ล้านคน
แต่ตัวเลขที่ปรับตามปัจจัยตามฤดูกาลยังไม่แน่นอนอยู่ที่ระดับ 3.897 ล้านคน ซึ่งอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอันเป็นผลมาจาก
เศรษฐกิจในปีก่อนขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี ได้สร้างความหวังว่าการขยายตัวของแรงงานจะช่วยชดเชยผลกระทบด้านลบจากการ
ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3 ที่มีผลบังคับเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ
23 มี.ค.50 สำนักงานสถิติสิงคโปร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบต่อเดือน
ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.45 หลังจากที่เดือน ม.ค.50 ลดลงร้อยละ 0.7 ทั้งนี้ การที่
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าดัชนีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ.เนื่องจากราคาของเป็ดไก่ ผักสด และอาหารหวานในช่วงเทศกาลตรุษจีน
จะเพิ่มสูงขึ้น อนึ่ง หากเทียบต่อปี ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7
ส่วนราคาอาหาร ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมากที่สุดในเดือน ก.พ.50 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.7 เทียบต่อปี ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยลดลง
ร้อยละ 0.8 และราคาภาคการขนส่งและติดต่อสื่อสารลดลงร้อยละ 1.1 (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกาหลีใต้ในไตรมาสแรกปี 50 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี รายงานจากโซล
เมื่อ 26 มี.ค.50 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากผลสำรวจโดย ธ.กลางเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ
103 ในไตรมาสแรกปี 50 หลังจากดัชนีอยู่ที่ระดับ 98 และ 96 ในไตรมาสที่ 4 และ 3 ปี 49 ตามลำดับ ดัชนีความเชื่อมั่นสูงสุด
อยู่ที่ระดับ 109 ในไตรมาสแรกปี 49 จากตัวเลขดัชนีที่สูงกว่า 100 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคที่คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจและการ
ครองชีพในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้นมีจำนวนมากกว่าผู้ที่คาดว่าจะเลวลง สำหรับความต้องการในประเทศซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง
ของผลผลิตในประเทศหรือ GDP ของเกาหลีใต้ยังคงอยู่ในภาวะซบเซาจากการคาดว่าการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 อาจชะลอตัวลงโดยขยายตัวร้อยละ 4.4 หลังจากขยายตัวร้อยละ 5.0
ในปี 49 และร้อยละ 4.2 ในปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 มี.ค. 50 23 มี.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.876 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.6349/34.9624 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.63063 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.79/9.45 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,850/10,950 10,850/10,950 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.76 59.19 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.59*/23.74* 27.59*/23.74* 26.49/23.34 ปตท
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 13 มี.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--