ในฐานะที่ตนเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อดีตนายกฯพูดเรื่องเหล่านี้และสิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การกล่าวพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ในลักษณะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะสถาบัน และพระองค์ท่านอยู่เหนือการเมือง
วันนี้ (5กพ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังให้สัมภาษณ์โจมตีรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)อย่างต่อเนื่องว่า เป็นที่เข้าใจได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะทำตัวอย่างนี้ เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งความจริงแล้วถือว่ามีสิทธิ์ที่พูดได้ แต่ในฐานะที่ตนเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อดีตนายกฯพูดเรื่องเหล่านี้และสิ่งที่ไม่ควรทำคือ การกล่าวพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพของประชาชนคนไทยทั้งประเทศในลักษณะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะสถาบันและพระองค์ท่านอยู่เหนือการเมือง
ต่อข้อถามที่ว่า น่าจะมีการแจ้งความ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ กรณีที่หมิ่นเบื้องสูง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากมีการทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่นักวิชาการเสนอให้รัฐบาลและคมช.มอบหมายให้หน่วยงานอื่นตอบโต้พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ตนเห็นว่ารัฐบาลและคมช.คงไม่ต้องคอยออกมาตอบโต้อดีตนายกฯ แต่ควรทำหน้าที่อย่างชัดเจนเพื่อให้ประชาชนคนไทยและชาวโลกรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจอยู่ และรัฐบาลกับคมช.ได้จัดการแก้ไขผลพวงที่ตกค้างมาอย่างไร ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบไปในตัวและดีกว่า
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่เอเบคโพลล์ระบุว่าผลสำรวจคะแนนนิยมของนายสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีลดต่ำลงว่า ความนิยมของรัฐบาลหรือนายกฯก็มีขึ้นมีลง ซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังและนำไปวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร โดยหลายคนคาดหวังว่าการสะสางปัญหาต่าง ๆ ในอดีตจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วจึงทำให้รู้สึกผิดหวัง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประชาชนส่วนมากที่พรรคได้ลงไปสัมผัสยังรู้สึกว่า ห่างเหินกับรัฐบาลไม่ทราบแน่ชัดว่ารัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของเขาโดยตรงอย่างไร ดังนั้นเรื่องนี้รัฐบาลต้องปรับปรุง แต่ความนิยมของพ.ต.ท.ทักษิณที่เห็นจากตัวเลขไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่และเป็นตัวเลขในระดับที่ต่ำ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ 1.ต้องแสดงออกถึงความชัดเจนของภารกิจหลักและทำให้เห็นถึงลำดับความสำคัญ 2.ต้องแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหาที่อยู่ในใจของประชาชน 3.ต้องยอมรับความผิดพลาดหรือส่งสัญญาณที่ผิดในบางเรื่อง ซึ่งส่งผลต่อคะแนนนิยมโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจหรือวิธีการในการแก้ไขกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าว สิ่งเหล่านี้แม้จะมีเจตนาที่ดีก็ตามแต่วิธีการหรือกระบวนการที่จะได้นโยบายหรือประกาศใช้นโยบายมีปัญหามาก ซึ่งถือเป็นบทเรียน แต่ถ้าไม่ยอมรับเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข และที่ผ่านมาคิดว่ารัฐบาลยังไม่รับฟังเสียงท้วงติงเท่าที่ควร
เมื่อถามว่าการปรับครม.ครั้งล่าสุดจะมีส่วนช่วยในการทำงานของรัฐบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการปรับเพราะภารกิจในสองกระทรวงมากกว่าที่รัฐมนตรีเพียงคนเดียวจะดูแลได้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนรัฐมนตรี เท่ากับท่าทีของรัฐบาลโดยรวมในการจัดลำดับความสำคัญ การแสดงออกถึงความกระตือรือร้น และการทำความเข้ากับประชาชนให้ดีกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้รัฐบาลและคมช.ควรจะพบกันและทำความเข้าใจให้ตรงกันเพื่อที่จะได้ขับเคลื่อนร่วมกันให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2550--จบ--
วันนี้ (5กพ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังให้สัมภาษณ์โจมตีรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)อย่างต่อเนื่องว่า เป็นที่เข้าใจได้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะทำตัวอย่างนี้ เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งความจริงแล้วถือว่ามีสิทธิ์ที่พูดได้ แต่ในฐานะที่ตนเป็นคนไทยคนหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อดีตนายกฯพูดเรื่องเหล่านี้และสิ่งที่ไม่ควรทำคือ การกล่าวพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพของประชาชนคนไทยทั้งประเทศในลักษณะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะสถาบันและพระองค์ท่านอยู่เหนือการเมือง
ต่อข้อถามที่ว่า น่าจะมีการแจ้งความ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ กรณีที่หมิ่นเบื้องสูง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากมีการทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่นักวิชาการเสนอให้รัฐบาลและคมช.มอบหมายให้หน่วยงานอื่นตอบโต้พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ตนเห็นว่ารัฐบาลและคมช.คงไม่ต้องคอยออกมาตอบโต้อดีตนายกฯ แต่ควรทำหน้าที่อย่างชัดเจนเพื่อให้ประชาชนคนไทยและชาวโลกรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจอยู่ และรัฐบาลกับคมช.ได้จัดการแก้ไขผลพวงที่ตกค้างมาอย่างไร ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบไปในตัวและดีกว่า
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่เอเบคโพลล์ระบุว่าผลสำรวจคะแนนนิยมของนายสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีลดต่ำลงว่า ความนิยมของรัฐบาลหรือนายกฯก็มีขึ้นมีลง ซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังและนำไปวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร โดยหลายคนคาดหวังว่าการสะสางปัญหาต่าง ๆ ในอดีตจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วจึงทำให้รู้สึกผิดหวัง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประชาชนส่วนมากที่พรรคได้ลงไปสัมผัสยังรู้สึกว่า ห่างเหินกับรัฐบาลไม่ทราบแน่ชัดว่ารัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของเขาโดยตรงอย่างไร ดังนั้นเรื่องนี้รัฐบาลต้องปรับปรุง แต่ความนิยมของพ.ต.ท.ทักษิณที่เห็นจากตัวเลขไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่และเป็นตัวเลขในระดับที่ต่ำ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ 1.ต้องแสดงออกถึงความชัดเจนของภารกิจหลักและทำให้เห็นถึงลำดับความสำคัญ 2.ต้องแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหาที่อยู่ในใจของประชาชน 3.ต้องยอมรับความผิดพลาดหรือส่งสัญญาณที่ผิดในบางเรื่อง ซึ่งส่งผลต่อคะแนนนิยมโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจหรือวิธีการในการแก้ไขกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าว สิ่งเหล่านี้แม้จะมีเจตนาที่ดีก็ตามแต่วิธีการหรือกระบวนการที่จะได้นโยบายหรือประกาศใช้นโยบายมีปัญหามาก ซึ่งถือเป็นบทเรียน แต่ถ้าไม่ยอมรับเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข และที่ผ่านมาคิดว่ารัฐบาลยังไม่รับฟังเสียงท้วงติงเท่าที่ควร
เมื่อถามว่าการปรับครม.ครั้งล่าสุดจะมีส่วนช่วยในการทำงานของรัฐบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการปรับเพราะภารกิจในสองกระทรวงมากกว่าที่รัฐมนตรีเพียงคนเดียวจะดูแลได้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนรัฐมนตรี เท่ากับท่าทีของรัฐบาลโดยรวมในการจัดลำดับความสำคัญ การแสดงออกถึงความกระตือรือร้น และการทำความเข้ากับประชาชนให้ดีกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้รัฐบาลและคมช.ควรจะพบกันและทำความเข้าใจให้ตรงกันเพื่อที่จะได้ขับเคลื่อนร่วมกันให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2550--จบ--