วันนี้ (1 ก.พ.50) ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกาในฐานะประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ และคณะ ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดียุบพรรคที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ในความผิดตามมาตรา 66 (2) และ (3) ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ในสองประเด็น คือ การว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ส่งผู้ที่ไม่มีสิทธิลงสมัครลงรับสมัครเลือกตั้ง และว่าจ้างให้พรรคชีวิตที่ดีกว่า ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย
ซึ่งการพิจารณาคดียุบพรรคการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ เป็นการสืบพยานนัดที่ 3 ของคดีกลุ่มที่ 2 ซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยพยานนำสืบในวันนี้จะมีทั้งสิ้น 5 ปาก ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 1 2 และ 4 ของ จ.ตรัง เพื่อประกบผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ประกอบด้วย นางสาวนิภา จันโพธิ์ นางรัชนู ต่างสี และนายสุวิทย์ อบอุ่น ขณะที่ 2 ปาก คือ นายทักษนัย กี่สุ้น เป็นผู้ที่พาพยานทั้ง 3 คน ไปสมัคร พร้อมกับจ่ายเงินค่าสมัครให้ และ ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพรรคประชาธิปัตย์ว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ลงสมัคร ส.ส.ตรัง เพื่อให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้ให้การเป็นพยานปากแรก จากนั้นนายสุวิทย์ และนางสาวนิภา ซึ่งขึ้นเป็นพยานปากที่ 2 และ 3 ได้ยอมรับว่า ได้รับเงินจากนายทักษนัย 30,000 บาท เป็นค่าสมัครจริง และได้เงินจากนายทักษนัย อีก 5,000 บาท เป็นเงินติดกระเป๋า นอกจากนี้ นายทักษนัย ยังได้ให้รถตู้มารับไปที่โรงแรมลิเบอร์ตี้ เมื่อไปถึงโรงแรม จึงได้ทราบว่าตนเองได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าแล้ว และเงินดังกล่าวเป็นเงินสำหรับสมัคร ส.ส.
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมทนายความพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการไต่สวนว่า ประเด็นวันนี้เป็นข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุดที่กล่าวว่าหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย กระบวนการไต่สวนวันนี้เป็นกระบวนการในการจัดหาผู้สมัครพรรคเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ 20 % เหตุผล คือว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ไม่เคยส่งผู้สัมครลงเขตภาคใต้ ทั้ง 14 จังหวัด ซึ่งบุคคลที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ส่งสมัครในภาคใต้รวม 31 คน ซึ่งรวมทั้งผู้สมัครของจังหวัดตรัง คือ นางสาวนิภา จันโพธิ์ นางรัชนู ต่างสี และนายสุวิทย์ อบอุ่นด้วย ถูก กกต. ตัดสิทธิไม่ให้ลงสมัครทั้งสิ้น
ซึ่งเหตุผลที่ กกต. เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคเล็กนั้น กกต.อ้างเหตุว่านายทักษนัย กี่สุ้น เป็นคนพาผู้สมัครไปสมัคร และนายทักษนัย เป็นผู้ช่วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรค และนำมาโยงกับกรณีเงิน 9 หมื่นบาทว่าเป็นเป็นจำนวนมาก และไม่เชื่อว่าเป็นเงินของนายทักษนัย จึงสรุปว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เอาไปว่าจ้างให้ผู้สมัคร ทั้ง 3 ไปใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย
“ผมขอกราบเรียนว่าเงินจำนวน คนละ 3 หมื่นบาทรวม 3 คนเป็น 9 หมื่นบาทนี้ คุณอิสระ ยวงประสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าให้การไว้ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของบุคคลทั้ง 3 คือให้การว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ไม่ใช่เงินของนายทักษนัย ไม่ใช่เงินของนายสาทิตย์ ไม่ใช่เงินของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ประการใด”นายวิรัตน์ กล่าว
ส่วนที่กกต.โยงต่อไปว่าเมื่อนายสาทิตย์ โทรศัพท์ไปสอบถาม กกต.เพราะว่า กกต.ได้โทรศัพท์มาเชิญ ผู้ช่วย คนหนึ่งของนายสาทิตย์ไปให้การ เพราะปกติการเชิญบุคคลไปให้การต้องมีหมาย ไม่ใช่เป็นเพียงการโทรศัพท์เท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ผู้ช่วยนายสาทิตย์ มาปรึกษานายสาทิตย์ ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้มีการโยงเรื่องขึ้นมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายสาทิตย์ รู้เห็น สนับสนุน และว่าจ้าง ให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าลงสมัครที่จังหวัดตรัง
ตรงนี้ตนขอยืนยันว่า มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดย กกต.แอบอัดข้อความที่นายทวี สุรบาล โทรศัพท์หาผู้สื่อข่าวช่อง 7 คนหนึ่ง โดยนายทวี เป็นคนตั้งคำถามนำ และ มีการออกใบปลิวเท็จ กล่าวหาว่านายสาทิตย์ ว่ารู้เรื่องที่นายทักษนัย พาพวกไปสมัคร มีการสรุปสำนวนว่าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่เนื้อในไม่มีอะไรเลย ตรงนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกระบวนการพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก เพื่อส่งคนลงสมัครเพื่อหลบหลีก กฎเกณฑ์ 20 %
“ตรงนี้ขอชี้แจงว่าเงินจำนวน 9 หมื่นบาทฟังได้ชัดเจนจากการไต่สวนว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวมีความพยายามสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อโยงให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ประกอบทั้ง กกต.ในสมัย ของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ที่เห็นว่า อนุกรรมการสอบสวนชุด นายนาม ยิ้มแย้ม ได้สรุปสำนวนว่า พรรคไทยรักไทย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการว่าจ้างพรรคเล็ก จึงพลิกสำนวนให้ พรรคประชาธิปปัตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” นายวิรัตน์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.พ. 2550--จบ--
ซึ่งการพิจารณาคดียุบพรรคการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ เป็นการสืบพยานนัดที่ 3 ของคดีกลุ่มที่ 2 ซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยพยานนำสืบในวันนี้จะมีทั้งสิ้น 5 ปาก ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 1 2 และ 4 ของ จ.ตรัง เพื่อประกบผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ประกอบด้วย นางสาวนิภา จันโพธิ์ นางรัชนู ต่างสี และนายสุวิทย์ อบอุ่น ขณะที่ 2 ปาก คือ นายทักษนัย กี่สุ้น เป็นผู้ที่พาพยานทั้ง 3 คน ไปสมัคร พร้อมกับจ่ายเงินค่าสมัครให้ และ ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพรรคประชาธิปัตย์ว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ลงสมัคร ส.ส.ตรัง เพื่อให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้ให้การเป็นพยานปากแรก จากนั้นนายสุวิทย์ และนางสาวนิภา ซึ่งขึ้นเป็นพยานปากที่ 2 และ 3 ได้ยอมรับว่า ได้รับเงินจากนายทักษนัย 30,000 บาท เป็นค่าสมัครจริง และได้เงินจากนายทักษนัย อีก 5,000 บาท เป็นเงินติดกระเป๋า นอกจากนี้ นายทักษนัย ยังได้ให้รถตู้มารับไปที่โรงแรมลิเบอร์ตี้ เมื่อไปถึงโรงแรม จึงได้ทราบว่าตนเองได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าแล้ว และเงินดังกล่าวเป็นเงินสำหรับสมัคร ส.ส.
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมทนายความพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการไต่สวนว่า ประเด็นวันนี้เป็นข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุดที่กล่าวว่าหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย กระบวนการไต่สวนวันนี้เป็นกระบวนการในการจัดหาผู้สมัครพรรคเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ 20 % เหตุผล คือว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ไม่เคยส่งผู้สัมครลงเขตภาคใต้ ทั้ง 14 จังหวัด ซึ่งบุคคลที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ส่งสมัครในภาคใต้รวม 31 คน ซึ่งรวมทั้งผู้สมัครของจังหวัดตรัง คือ นางสาวนิภา จันโพธิ์ นางรัชนู ต่างสี และนายสุวิทย์ อบอุ่นด้วย ถูก กกต. ตัดสิทธิไม่ให้ลงสมัครทั้งสิ้น
ซึ่งเหตุผลที่ กกต. เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคเล็กนั้น กกต.อ้างเหตุว่านายทักษนัย กี่สุ้น เป็นคนพาผู้สมัครไปสมัคร และนายทักษนัย เป็นผู้ช่วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรค และนำมาโยงกับกรณีเงิน 9 หมื่นบาทว่าเป็นเป็นจำนวนมาก และไม่เชื่อว่าเป็นเงินของนายทักษนัย จึงสรุปว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เอาไปว่าจ้างให้ผู้สมัคร ทั้ง 3 ไปใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย
“ผมขอกราบเรียนว่าเงินจำนวน คนละ 3 หมื่นบาทรวม 3 คนเป็น 9 หมื่นบาทนี้ คุณอิสระ ยวงประสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าให้การไว้ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของบุคคลทั้ง 3 คือให้การว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ไม่ใช่เงินของนายทักษนัย ไม่ใช่เงินของนายสาทิตย์ ไม่ใช่เงินของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ประการใด”นายวิรัตน์ กล่าว
ส่วนที่กกต.โยงต่อไปว่าเมื่อนายสาทิตย์ โทรศัพท์ไปสอบถาม กกต.เพราะว่า กกต.ได้โทรศัพท์มาเชิญ ผู้ช่วย คนหนึ่งของนายสาทิตย์ไปให้การ เพราะปกติการเชิญบุคคลไปให้การต้องมีหมาย ไม่ใช่เป็นเพียงการโทรศัพท์เท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ผู้ช่วยนายสาทิตย์ มาปรึกษานายสาทิตย์ ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้มีการโยงเรื่องขึ้นมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายสาทิตย์ รู้เห็น สนับสนุน และว่าจ้าง ให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าลงสมัครที่จังหวัดตรัง
ตรงนี้ตนขอยืนยันว่า มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดย กกต.แอบอัดข้อความที่นายทวี สุรบาล โทรศัพท์หาผู้สื่อข่าวช่อง 7 คนหนึ่ง โดยนายทวี เป็นคนตั้งคำถามนำ และ มีการออกใบปลิวเท็จ กล่าวหาว่านายสาทิตย์ ว่ารู้เรื่องที่นายทักษนัย พาพวกไปสมัคร มีการสรุปสำนวนว่าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่เนื้อในไม่มีอะไรเลย ตรงนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกระบวนการพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก เพื่อส่งคนลงสมัครเพื่อหลบหลีก กฎเกณฑ์ 20 %
“ตรงนี้ขอชี้แจงว่าเงินจำนวน 9 หมื่นบาทฟังได้ชัดเจนจากการไต่สวนว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวมีความพยายามสร้างหลักฐานเท็จ เพื่อโยงให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้อง ประกอบทั้ง กกต.ในสมัย ของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ที่เห็นว่า อนุกรรมการสอบสวนชุด นายนาม ยิ้มแย้ม ได้สรุปสำนวนว่า พรรคไทยรักไทย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการว่าจ้างพรรคเล็ก จึงพลิกสำนวนให้ พรรคประชาธิปปัตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” นายวิรัตน์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.พ. 2550--จบ--