แท็ก
ชายแดนภาคใต้
สถานการณ์ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตอนที่ 2)
โดย นายเจะอามิง โตะตาหยง
อดีต สส.นราธิวาส / ประธานคณะทำงาน การเมือง การปกครอง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
มุมมอง ด้านการเมือง การปกครอง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
การแก้ปัญหาความรุ่นแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งสู่อนาคต
นับแต่ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อำนาจรัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในภาคใต้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เริ่มส่อเห็นแสงสว่างขึ้นบ้าง หลังจากประชาชนในพื้นที่รอคอย และอยู่ในวังวนแห่งความมืดหลายปี พอจะมองเห็นอนาคตได้บ้าง
แม้นว่ารัฐบาลได้มีความพยายามอย่างมากในการเข้าไปแก้ปัญหา แต่การเข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติดูเสมือน การบริหารและการจัดการระดับล่าง ยังมีข้อจำกัดอยู่เป็นอย่างมาก
แม้นในขณะนี้จะเห็นแนวทางของการทำงานในระดับกลไกของรัฐในระดับล่างได้พยายามปรับกระบวนการทำงาน โดยมักจะมีการประชุมร่วม ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกัน องค์กรของรัฐ กับภาคประชาชน และผู้นำชุมชนในท้องถิ่น เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือกัน จะได้นำเอานโยบายของรัฐบาลนำไปสู่การปฏิบัติและทำให้เกิดความเป็นเอกภาพในการทำงานร่วมกันซึ่งแต่เดิม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้ถูกทอดทิ้ง และขาดการเอาใจใส่
ถึงแม้การจัดให้มีการประชุมร่วม โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือ ที่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา หรือมีประสิทธิภาพในการทำงานได้ ตราบใดที่โครงสร้างของกระทรวง กรมกอง ต่าง ๆ และการบริหารราชการยังมีความซับซ้อน และขาดความเป็นเอกภาพ
ฝ่ายนโยบายต้องมอบหมายภารกิจให้ชัดเจนในการทำงาน เพื่อกลไกระดับล่างจะได้ขับเคลื่อน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพ และความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหา ของภาครัฐ ในเชิงรุก ต้องไม่ตามหลังแก้สถานการณ์
การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ปัญหาที่เกิดขึ้น การรับฟังปัญหาในระดับล่างที่ได้สะท้อนปัญหา ขั้นพื้นฐาน ระดับนโยบาย ต้องให้ความสำคัญ แม้แต่การร้องขอ จากต่างหน่วยงาน ฝ่ายนโยบาย ที่รับผิดชอบโดยตรงควรรับฟังปัญหา เพื่อสนองความต้องการ ให้เป็นไปในรูปแบบการบูรณาการ
การแก้ปัญหาในภาคใต้ หน่วยงานหนึ่ง หน่วยงานใด ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ตามลำพังให้สำเร็จลงได้ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
รัฐต้องทำความเข้าใจ ถึงสาเหตุแห่งปัญหา ความอดทน ต่อแรงเสียดทาน จากการวิพากวิจารณ์ ไม่แก้ปัญหา ตามอำเภอใจ หรือเพื่อความสะใจ ของผู้ไม่รู้ต่อปัญหา โดยการใช้อารมณ์ ให้ถือเป็นบทเรียน ในความผิดพลาดที่เจ็บปวดที่สุด ควรที่จะจดจำกับการใช้นโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นรัฐบาลก่อนหน้านี้ ผิดพลาดมาตลอด นำไปสู่ความบานปลายของปัญหา จนถึงขณะนี้
เชื่อว่าการขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน มีผลต่อการแก้ปัญหา นำไปสู่ถึงความอ่อนด้อยและความพ่ายแพ้ต่อปัญหา
สิ่งจะต้องทำความเข้าใจในการแก้ปัญหา ไม่ใช่อยู่ที่ประชาชน หากแต่กลไกของรัฐต้อง ทำความเข้าใจกับปัญหาให้ถ่องแท้ อย่างไม่ประมาทกับปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ฝ่ายตรงข้ามได้มีการพัฒนาการต่อสู้ที่เป็นไปในรูปแบบการพัฒนาการเคลื่อนไหวแตกต่างไปจากเดิมมากกว่าที่รัฐได้คาดคิดไว้
ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามได้พัฒนาเป็น “นักรบพันธ์ใหม่ “ ที่ยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ การต่อสู้เป็นไปรูปแบบรบนอกตำรา ที่ฝ่ายรัฐเคยมีความชำนาญ ประสบการณ์มา
การต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม รัฐเองต้องยอมรับว่า ปัจจุบันยังไม่สามารถเห็นหัวขบวน ของฝ่ายตรงข้ามได้ว่าเป็นใคร แต่การเคลื่อนไหว การต่อสู้ การทำร้ายประชาชน ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงอำนาจ ขุมขู่ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวในการที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ต้องยอมรับว่าไม่มีบทเรียนในประวัติศาสตร์ที่สอน ว่าเราจะสามารถเอาชนะปัญหาวิกฤตการณ์ได้ด้วยความไร้เอกภาพ (สรุชาติ บำรุงสุข.วิกฤติใต้สู้ด้วยยุทธศาสตร์และปัญญา. น.165)
เปิดบัญชี “23เหยื่ออุ้ม”
จากข้อมูลการให้ความช่วยเหลือเยี่ยวยา กยต. ระบุว่ามีผู้สูญหายอยู่ในบัญชีโดยแยกตามภูมิลำเนาของผู้เสียหายใน จังหวัดยะลา 6 ราย จังหวัดนราธิวาส 8 ราย และจังหวัดปัตตานี 8 ราย รวมกรณีทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ด้วยรวมทั้งหมด 23 ราย (ตามตารางประกอบ)
ที่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2550--จบ--
โดย นายเจะอามิง โตะตาหยง
อดีต สส.นราธิวาส / ประธานคณะทำงาน การเมือง การปกครอง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
มุมมอง ด้านการเมือง การปกครอง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
การแก้ปัญหาความรุ่นแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งสู่อนาคต
นับแต่ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อำนาจรัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในภาคใต้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เริ่มส่อเห็นแสงสว่างขึ้นบ้าง หลังจากประชาชนในพื้นที่รอคอย และอยู่ในวังวนแห่งความมืดหลายปี พอจะมองเห็นอนาคตได้บ้าง
แม้นว่ารัฐบาลได้มีความพยายามอย่างมากในการเข้าไปแก้ปัญหา แต่การเข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติดูเสมือน การบริหารและการจัดการระดับล่าง ยังมีข้อจำกัดอยู่เป็นอย่างมาก
แม้นในขณะนี้จะเห็นแนวทางของการทำงานในระดับกลไกของรัฐในระดับล่างได้พยายามปรับกระบวนการทำงาน โดยมักจะมีการประชุมร่วม ระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกัน องค์กรของรัฐ กับภาคประชาชน และผู้นำชุมชนในท้องถิ่น เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือกัน จะได้นำเอานโยบายของรัฐบาลนำไปสู่การปฏิบัติและทำให้เกิดความเป็นเอกภาพในการทำงานร่วมกันซึ่งแต่เดิม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้ถูกทอดทิ้ง และขาดการเอาใจใส่
ถึงแม้การจัดให้มีการประชุมร่วม โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือ ที่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา หรือมีประสิทธิภาพในการทำงานได้ ตราบใดที่โครงสร้างของกระทรวง กรมกอง ต่าง ๆ และการบริหารราชการยังมีความซับซ้อน และขาดความเป็นเอกภาพ
ฝ่ายนโยบายต้องมอบหมายภารกิจให้ชัดเจนในการทำงาน เพื่อกลไกระดับล่างจะได้ขับเคลื่อน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพ และความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหา ของภาครัฐ ในเชิงรุก ต้องไม่ตามหลังแก้สถานการณ์
การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ปัญหาที่เกิดขึ้น การรับฟังปัญหาในระดับล่างที่ได้สะท้อนปัญหา ขั้นพื้นฐาน ระดับนโยบาย ต้องให้ความสำคัญ แม้แต่การร้องขอ จากต่างหน่วยงาน ฝ่ายนโยบาย ที่รับผิดชอบโดยตรงควรรับฟังปัญหา เพื่อสนองความต้องการ ให้เป็นไปในรูปแบบการบูรณาการ
การแก้ปัญหาในภาคใต้ หน่วยงานหนึ่ง หน่วยงานใด ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ตามลำพังให้สำเร็จลงได้ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
รัฐต้องทำความเข้าใจ ถึงสาเหตุแห่งปัญหา ความอดทน ต่อแรงเสียดทาน จากการวิพากวิจารณ์ ไม่แก้ปัญหา ตามอำเภอใจ หรือเพื่อความสะใจ ของผู้ไม่รู้ต่อปัญหา โดยการใช้อารมณ์ ให้ถือเป็นบทเรียน ในความผิดพลาดที่เจ็บปวดที่สุด ควรที่จะจดจำกับการใช้นโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นรัฐบาลก่อนหน้านี้ ผิดพลาดมาตลอด นำไปสู่ความบานปลายของปัญหา จนถึงขณะนี้
เชื่อว่าการขาดความเป็นเอกภาพในการทำงาน มีผลต่อการแก้ปัญหา นำไปสู่ถึงความอ่อนด้อยและความพ่ายแพ้ต่อปัญหา
สิ่งจะต้องทำความเข้าใจในการแก้ปัญหา ไม่ใช่อยู่ที่ประชาชน หากแต่กลไกของรัฐต้อง ทำความเข้าใจกับปัญหาให้ถ่องแท้ อย่างไม่ประมาทกับปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ฝ่ายตรงข้ามได้มีการพัฒนาการต่อสู้ที่เป็นไปในรูปแบบการพัฒนาการเคลื่อนไหวแตกต่างไปจากเดิมมากกว่าที่รัฐได้คาดคิดไว้
ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามได้พัฒนาเป็น “นักรบพันธ์ใหม่ “ ที่ยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ การต่อสู้เป็นไปรูปแบบรบนอกตำรา ที่ฝ่ายรัฐเคยมีความชำนาญ ประสบการณ์มา
การต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม รัฐเองต้องยอมรับว่า ปัจจุบันยังไม่สามารถเห็นหัวขบวน ของฝ่ายตรงข้ามได้ว่าเป็นใคร แต่การเคลื่อนไหว การต่อสู้ การทำร้ายประชาชน ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงอำนาจ ขุมขู่ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวในการที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ต้องยอมรับว่าไม่มีบทเรียนในประวัติศาสตร์ที่สอน ว่าเราจะสามารถเอาชนะปัญหาวิกฤตการณ์ได้ด้วยความไร้เอกภาพ (สรุชาติ บำรุงสุข.วิกฤติใต้สู้ด้วยยุทธศาสตร์และปัญญา. น.165)
เปิดบัญชี “23เหยื่ออุ้ม”
จากข้อมูลการให้ความช่วยเหลือเยี่ยวยา กยต. ระบุว่ามีผู้สูญหายอยู่ในบัญชีโดยแยกตามภูมิลำเนาของผู้เสียหายใน จังหวัดยะลา 6 ราย จังหวัดนราธิวาส 8 ราย และจังหวัดปัตตานี 8 ราย รวมกรณีทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ด้วยรวมทั้งหมด 23 ราย (ตามตารางประกอบ)
ที่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2550--จบ--