ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ขยายเวลาการถือครองเงินตราต่างประเทศสำหรับผู้ส่งออกและผู้มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ขยายเวลาการถือครองเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออกที่ได้รับเงินตรา
ต่างประเทศมาจากการชำระค่าสินค้า รวมทั้งผู้ประกอบการคนไทยที่ได้รับเงินตราต่างประเทศมาจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศที่ไม่ใช่จากการ
ส่งออก ซึ่งเดิม ธปท.กำหนดให้จะต้องขายหรือฝากเงินตราต่างประเทศดังกล่าวเป็นเงินบาทภายใน 7 วัน เพิ่มเป็น 15 วัน มีผลตั้งแต่
วันที่ 4 พ.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจุบันฐานะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น และมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ใน
ระดับสูง ทำให้สามารถผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และเชื่อว่าจะเป็นผลดี
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ (โลกวันนี้, ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
2. ไอเอ็มดีปรับลดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในปี 50 ลงที่อันดับ 33 จากอันดับ 29 แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า สถาบันไอเอ็มดี ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ จากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยผลการ
จัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันโลกปี 2550 ซึ่งพบว่า ไทยถูกลดอันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 33 จากอันดับ 29 ในปีก่อน โดยไอเอ็มดีระบุ
ถึงพัฒนาการที่ถดถอยของไทยในภาพรวมคือ ความคงที่ในทิศทางนโยบายของรัฐบาล อัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อขีดแข่งขันภาคธุรกิจ นโยบาย
ของ ธ.กลางที่มีผลกระทบแง่บวกต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ความพร้อมในการปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงนโยบายภาครัฐให้เข้ากับความ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้สิ่งที่ท้าทายสำหรับประเทศไทยในปีนี้คือ การสร้างและฟื้นฟู
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ การปรับปรุงขีดแข่งขันอุตสาหกรรมต่างๆ การปรับปรุงต้นทุนโลจิสติกส์ การสร้างโครงสร้าง
พื้นฐานที่จำเป็นเช่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. เดือน เม.ย.50 รัฐบาลจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 9% นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก ก.คลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บ
รายได้รัฐบาลประจำเดือน เม.ย.50 ว่า จัดเก็บรายได้สุทธิ 88,995 ล.บาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,811 ล.บาท หรือ 9% และต่ำกว่า
เดือนเดียวกันของปีก่อน 10,089 ล.บาท เป็นผลจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถนำส่งเงินปันผลในเดือนนี้ได้ทัน ประกอบกับ
กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการเนื่องจาก ก.คลังประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเหลือ 0% สำหรับในช่วง
7 เดือนแรกของปี งปม.50 (ต.ค.49-เม.ย.50) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 701,309 ล.บาท ต่ำกว่าประมาณการ 6,925 ล.บาท
หรือ 1% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.4% เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจต่ำกว่า
ประมาณการที่ตั้งไว้ รวมทั้งการคืนภาษีของกรมสรรพากรที่สูงกว่าประมาณการ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลทั้งปี งปม.50
จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.42 ล้านล้านบาท ประมาณ 1-1.5% แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมฐานะการคลังของรัฐบาล
(ข่าวสด, ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. ปตท.อาจปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอีก 40 สตางค์ต่อลิตรภายในสัปดาห์นี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ ปตท.อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอีก 40 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาขายปลีก
ในประเทศปรับไม่ทันราคาในตลาดโลก ซึ่งขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 85-86 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลงเหลือ
50-60 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าระดับที่ควรได้รับคือ 1.50 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากค่าการตลาด
ยังอยู่ในระดับที่รับได้คือ 1 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1-2 วัน เนื่องจากราคาปิดตลาดล่าสุด น้ำมันดิบ
อ่อนตัวลง 1 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล และการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็มีส่วนช่วยให้ราคาน้ำมันยังไม่พุ่งสูงมากนัก ทั้งนี้ ปัจจุบัน ราคาขายปลีก
น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 29.59 บาท เบนซิน 91 ลิตรละ 28.79 บาท ซึ่งหาก ปตท.ปรับขึ้นราคาขายปลีกจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95
อยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท และเบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 29.19 บาท (ไทยโพสต์, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 5.25 รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อ
วันที่ 9 พ.ค.50 ธ.กลาง สรอ. แถลงว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
ร้อยละ 5.25 ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 โดยให้เหตุผลสำคัญเช่นเดิมว่ายังคงมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ไม่ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวในช่วงหลายไตรมาสต่อไปจากนี้ ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในอนาคตจะขึ้น
อยู่กับมุมมองทั้งในเรื่องอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ (รอยเตอร์)
2. คาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.75 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 พ.ค.50 นี้
รายงานจากแฟรงค์เฟริท์ เมื่อ 10 พ.ค.50 ตลาดการเงินคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.75
ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 พ.ค.50 นี้ โดยคาดว่าในการแถลงข่าวในเวลา 11.30 น.ตามเวลากรีนนิชในวันนี้ ประธาน ECB จะชี้แจง
เหตุผลว่าทำไมจึงชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเดือน มิ.ย.50 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อ
ใน Euro zone ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันแล้ว สอดคล้องกับความต้องการของ ECB ที่พยายามรักษา
ระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ในขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูงและคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อ
เร็ว ๆ นี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 50 และ 51 เป็นร้อยละ 2.6 และ 2.5 ต่อปีตามลำดับซึ่งสูงกว่า
ค่าเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ECB ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเป็นเดือนหน้ามาจากค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น
เป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.และเงินเยนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกได้ (รอยเตอร์)
3. IMD จัดระดับให้ สรอ.เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุด ในขณะที่จีนอยู่อันดับที่ 15 ขยับขึ้นทีเดียว 3 อันดับ
รายงานเจนีวา เมื่อ 10 พ.ค.50 สถาบันเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศหรือ IMD ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้จัดอันดับ
ให้ สรอ.เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกในปี 50 โดยพิจารณาทั้งจากผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของ
ภาครัฐและภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีสิงคโปร์และฮ่องกงตามมาในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ในขณะที่จีนขยับขึ้น 3 อันดับ
มาอยู่ที่อันดับ 15 และอีกหลายประเทศที่มีอันดับขยับขึ้นในปี 50 เช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์กและสวีเดน ในขณะที่แอฟริกาใต้
ญี่ปุ่น ฟินแลนด์และออสเตรเลียมีอันดับลดลง (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ไปจนถึงปลายปีนี้ รายงานจากโซลเกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 8 พ.ค. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 11 คนโดยรอยเตอร์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ในการประชุมนโยบายการเงินใน
สัปดาห์นี้ ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.50 ในขณะนี้ และต่อไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์
จะเริ่มชะลอตัวลงแล้วก็ตาม แต่เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีความจำเป็นที่ ธ.กลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 4.50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ทั้งนี้นาย Ma Tieying นักเศรษฐศาสตร์จาก DBS bank
เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.อยู่ที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.2 เมื่อเดือน มี.ค. ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งเป้าหมาย
เงินเฟ้อของธ.กลางในปี 50 — 52 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 — 3.5 จึงยังไม่มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ สอดคล้องกับผลการสำรวจ
ของสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ของเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยร้อยละ 97.6 คาดว่า ธ.กลางจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมใน
การประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้การควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ขยายตัวมากจนเกินไปควบคู่กับการเฝ้าจับตาดูอุปสงค์ใน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องเป็นหลักสำคัญในการพิจารณากำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 พ.ค.50 9 พ.ค.50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.626 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.4293/34.7626 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14438 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 706.29/16.19 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,200/11,300 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.03 61.31 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ขยายเวลาการถือครองเงินตราต่างประเทศสำหรับผู้ส่งออกและผู้มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ขยายเวลาการถือครองเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออกที่ได้รับเงินตรา
ต่างประเทศมาจากการชำระค่าสินค้า รวมทั้งผู้ประกอบการคนไทยที่ได้รับเงินตราต่างประเทศมาจากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศที่ไม่ใช่จากการ
ส่งออก ซึ่งเดิม ธปท.กำหนดให้จะต้องขายหรือฝากเงินตราต่างประเทศดังกล่าวเป็นเงินบาทภายใน 7 วัน เพิ่มเป็น 15 วัน มีผลตั้งแต่
วันที่ 4 พ.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจุบันฐานะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น และมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ใน
ระดับสูง ทำให้สามารถผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และเชื่อว่าจะเป็นผลดี
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ (โลกวันนี้, ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
2. ไอเอ็มดีปรับลดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในปี 50 ลงที่อันดับ 33 จากอันดับ 29 แหล่งข่าวจาก ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า สถาบันไอเอ็มดี ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ จากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยผลการ
จัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันโลกปี 2550 ซึ่งพบว่า ไทยถูกลดอันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 33 จากอันดับ 29 ในปีก่อน โดยไอเอ็มดีระบุ
ถึงพัฒนาการที่ถดถอยของไทยในภาพรวมคือ ความคงที่ในทิศทางนโยบายของรัฐบาล อัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อขีดแข่งขันภาคธุรกิจ นโยบาย
ของ ธ.กลางที่มีผลกระทบแง่บวกต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ความพร้อมในการปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงนโยบายภาครัฐให้เข้ากับความ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้สิ่งที่ท้าทายสำหรับประเทศไทยในปีนี้คือ การสร้างและฟื้นฟู
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ การปรับปรุงขีดแข่งขันอุตสาหกรรมต่างๆ การปรับปรุงต้นทุนโลจิสติกส์ การสร้างโครงสร้าง
พื้นฐานที่จำเป็นเช่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. เดือน เม.ย.50 รัฐบาลจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 9% นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก ก.คลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บ
รายได้รัฐบาลประจำเดือน เม.ย.50 ว่า จัดเก็บรายได้สุทธิ 88,995 ล.บาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,811 ล.บาท หรือ 9% และต่ำกว่า
เดือนเดียวกันของปีก่อน 10,089 ล.บาท เป็นผลจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถนำส่งเงินปันผลในเดือนนี้ได้ทัน ประกอบกับ
กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการเนื่องจาก ก.คลังประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเหลือ 0% สำหรับในช่วง
7 เดือนแรกของปี งปม.50 (ต.ค.49-เม.ย.50) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 701,309 ล.บาท ต่ำกว่าประมาณการ 6,925 ล.บาท
หรือ 1% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.4% เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจต่ำกว่า
ประมาณการที่ตั้งไว้ รวมทั้งการคืนภาษีของกรมสรรพากรที่สูงกว่าประมาณการ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลทั้งปี งปม.50
จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.42 ล้านล้านบาท ประมาณ 1-1.5% แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมฐานะการคลังของรัฐบาล
(ข่าวสด, ไทยโพสต์, โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. ปตท.อาจปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอีก 40 สตางค์ต่อลิตรภายในสัปดาห์นี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้ ปตท.อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอีก 40 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาขายปลีก
ในประเทศปรับไม่ทันราคาในตลาดโลก ซึ่งขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 85-86 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลงเหลือ
50-60 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าระดับที่ควรได้รับคือ 1.50 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากค่าการตลาด
ยังอยู่ในระดับที่รับได้คือ 1 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1-2 วัน เนื่องจากราคาปิดตลาดล่าสุด น้ำมันดิบ
อ่อนตัวลง 1 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล และการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็มีส่วนช่วยให้ราคาน้ำมันยังไม่พุ่งสูงมากนัก ทั้งนี้ ปัจจุบัน ราคาขายปลีก
น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 29.59 บาท เบนซิน 91 ลิตรละ 28.79 บาท ซึ่งหาก ปตท.ปรับขึ้นราคาขายปลีกจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95
อยู่ที่ลิตรละ 29.99 บาท และเบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 29.19 บาท (ไทยโพสต์, กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลาง สรอ. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 5.25 รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อ
วันที่ 9 พ.ค.50 ธ.กลาง สรอ. แถลงว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
ร้อยละ 5.25 ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 โดยให้เหตุผลสำคัญเช่นเดิมว่ายังคงมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ไม่ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวในช่วงหลายไตรมาสต่อไปจากนี้ ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในอนาคตจะขึ้น
อยู่กับมุมมองทั้งในเรื่องอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ (รอยเตอร์)
2. คาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.75 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 พ.ค.50 นี้
รายงานจากแฟรงค์เฟริท์ เมื่อ 10 พ.ค.50 ตลาดการเงินคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.75
ต่อปีในการประชุมในวันที่ 10 พ.ค.50 นี้ โดยคาดว่าในการแถลงข่าวในเวลา 11.30 น.ตามเวลากรีนนิชในวันนี้ ประธาน ECB จะชี้แจง
เหตุผลว่าทำไมจึงชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเดือน มิ.ย.50 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อ
ใน Euro zone ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันแล้ว สอดคล้องกับความต้องการของ ECB ที่พยายามรักษา
ระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ในขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูงและคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อ
เร็ว ๆ นี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 50 และ 51 เป็นร้อยละ 2.6 และ 2.5 ต่อปีตามลำดับซึ่งสูงกว่า
ค่าเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ECB ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเป็นเดือนหน้ามาจากค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น
เป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.และเงินเยนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกได้ (รอยเตอร์)
3. IMD จัดระดับให้ สรอ.เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุด ในขณะที่จีนอยู่อันดับที่ 15 ขยับขึ้นทีเดียว 3 อันดับ
รายงานเจนีวา เมื่อ 10 พ.ค.50 สถาบันเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศหรือ IMD ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้จัดอันดับ
ให้ สรอ.เป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกในปี 50 โดยพิจารณาทั้งจากผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของ
ภาครัฐและภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีสิงคโปร์และฮ่องกงตามมาในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ในขณะที่จีนขยับขึ้น 3 อันดับ
มาอยู่ที่อันดับ 15 และอีกหลายประเทศที่มีอันดับขยับขึ้นในปี 50 เช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์กและสวีเดน ในขณะที่แอฟริกาใต้
ญี่ปุ่น ฟินแลนด์และออสเตรเลียมีอันดับลดลง (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.50 ไปจนถึงปลายปีนี้ รายงานจากโซลเกาหลีใต้ เมื่อ
วันที่ 8 พ.ค. 50 ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 11 คนโดยรอยเตอร์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ในการประชุมนโยบายการเงินใน
สัปดาห์นี้ ธ.กลางเกาหลีใต้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 4.50 ในขณะนี้ และต่อไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์
จะเริ่มชะลอตัวลงแล้วก็ตาม แต่เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีความจำเป็นที่ ธ.กลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเกาหลีใต้อยู่ที่ร้อยละ 4.50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ทั้งนี้นาย Ma Tieying นักเศรษฐศาสตร์จาก DBS bank
เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.อยู่ที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.2 เมื่อเดือน มี.ค. ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งเป้าหมาย
เงินเฟ้อของธ.กลางในปี 50 — 52 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 — 3.5 จึงยังไม่มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ สอดคล้องกับผลการสำรวจ
ของสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ของเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยร้อยละ 97.6 คาดว่า ธ.กลางจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมใน
การประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้การควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ขยายตัวมากจนเกินไปควบคู่กับการเฝ้าจับตาดูอุปสงค์ใน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องเป็นหลักสำคัญในการพิจารณากำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางเกาหลีใต้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 พ.ค.50 9 พ.ค.50 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.626 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.4293/34.7626 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14438 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 706.29/16.19 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,100/11,200 11,200/11,300 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.03 61.31 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--