ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ประมวลความคิดเห็นต่อมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทพร้อมเผยแพร่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงการติดตามมาตรการที่ออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท 6 มาตรการว่า ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ธปท.จะประมวลความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการ
ที่ประกาศไปแล้ว โดยจะรวบรวมจากศูนย์ฮอตไลน์ และเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. http://www.bot.or.th ภายใต้หัวข้อ “เรื่องเด่น”
และโทรศัพท์ 0-2283-6000 ทั้งนี้ ยืนยันว่า ในการติดตามค่าเงินบาท ธปท.มีเครื่องมือในการดูแล สามารถติดตามค่าเงินบาทได้แบบวินาทีต่อวินาที
รวมถึงภาวะเงินไหลเข้าและไหลออกระหว่างประเทศด้วย และค่าเงินบาทวันนี้ถือว่าค่อนข้างนิ่งแล้ว (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. การประชุมสภาผู้ว่าการ SEACEN มีความเห็นตรงกันในแนวทางแก้ไขปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้าย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงผลการหารือระหว่างผู้ว่าการธนาคารกลาง 16 ประเทศในการประชุมสภาผู้ว่าการ SEACEN ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง
วันที่ 27-28 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ผู้ว่าการ ธ.กลางของประเทศต่างๆ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า แม้ทุกประเทศจะประสบกับความผันผวนของ
ตลาดการเงิน อันเนื่องมาจากภาวะเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ทุกประเทศก็ไม่มีความกังวลว่าจะทำให้เกิดเป็นวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนปี 40 เนื่องจาก
พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งขึ้นจากช่วงวิกฤติ นอกจากนี้ ได้หารือร่วมกันถึงการรับมือกับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย
โดยเห็นตรงกันว่าทุกประเทศจะต้องดูแลภาพรวมเศรษฐกิจให้มีพื้นฐานมั่นคง แข็งแรง และยืดหยุ่นพอที่จะรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้น อีกทั้ง
ต้องดูแลการเคลื่อนไหวของเงินทุนในระยะสั้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องหาแนวร่วมภายนอก เช่น ความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน รวมถึง
การประสานความร่วมมือและแนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางในภูมิภาค ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อตกลงที่จะช่วยเหลือให้กู้ยืมเงินในช่วง
ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งประสบปัญหาการโจมตีค่าเงิน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือเพิ่มเติม และบางเรื่องจำเป็นต้องตกลงกันในระดับรัฐบาล
(โลกวันนี้)
3. เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 50 มีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ
ธปท. กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ว่า อุปสงค์ในประเทศมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว
จากระยะเดียวกันปีก่อน 5.8% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 75.2% ลดลงจาก 76% การ
บริโภคภาคเอกชนเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ยังไม่เร่งตัวมากนัก โดยขยายตัว 1.2% เทียบกับไตรมาสแรกที่ติดลบ 1.7% ส่วนการลงทุนภาคเอกชน
ติดลบ 2.7% ปรับตัวดีขึ้นจากที่ติดลบ 3.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงจากไตรมาสแรก โดยอยู่ที่ 1.9% และ 0.8%
ตามลำดับ เทียบกับไตรมาสแรกที่ 2.4% และ 1.4% ตามลำดับ เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานลดลง (โลกวันนี้, ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ,
โพสต์ทูเดย์)
4. ผลการสำรวจจากสำนักข่าวต่างประเทศพบว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน ก.ค.50 อาจลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี สำนักข่าว
บลูมเบิร์ก เผยแพร่ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มตัวอย่าง 14 คน ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน ก.ค.50 อาจแตะ
ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือน พ.ค. และ มิ.ย.
ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% ผลจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงปัญหาทางการเมือง ส่งผลให้การใช้จ่ายภายในประเทศ
ซบเซา(กรุงเทพธุรกิจ)
5. ธ.กรุงเทพได้รับยกย่องเป็นธนาคารยอดเยี่ยมประจำปี 2550 จากนิตยสารยูโรมันนี่ นายบดินทร์ อูนากูล ผู้ช่วยกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับยกย่องจากนิตยสารยูโรมันนี่ ให้เป็นธนาคารยอดเยี่ยมแห่งปี
ของประเทศไทยประจำปี 2550 โดยระบุว่าเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ให้บริการทางด้าน
การเงินครอบคลุมทุกด้านทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงทุกกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนในเดือน ก.ค. จะลดลงแต่ยังคงมีโอกาสที่ธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของยูโรโซนคาดว่า ในเดือน ก.ค. อัตราเงินเฟ้อของ 13 ประเทศ
ที่ใช้เงินสกุลยูโรจะอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ลดลงจากร้อยละ 1.9 ในเดือน มิ.ย. (เทียบต่อปี) ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวมิได้ระบุรายละเอียด
แต่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการที่ระดับราคาลดลงน่าจะเป็นผลมาจากราคาอาหารและพลังงานลดลง อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า
อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.4 ในไตรมาสที่ 4 ก่อนที่จะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ในต้นปีหน้า
เนื่องจากจะไม่มีผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเทียบตัวเลขรายปีแล้ว ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปพยายามที่จะรักษาระดับเงินเฟ้อ
ให้ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงร้อยละ 2.0 ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อเดือน มิ.ย. ธ.กลางยุโรปได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0 เพิ่มขึ้นโดย
ลำดับจากร้อยละ 2.0 ในปี 48 เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากการขยายตัวอย่างมากของเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดคาดว่า ธ.กลางยุโรป
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือน ก.ย. หรือเดือน ต.ค. รวมทั้งอาจปรับเพิ่มอีกในเดือน ธ.ค. หากเศรษฐกิจเติบโต
อย่างต่อเนื่อง (รอยเตอร์)
2. สหภาพยุโรปจะเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กและเหล็กกล้าของจีน รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 50
The European Confederation of Iron and Steel Industries (Eurofer) เปิดเผยว่า ในเดือนนี้จะร้องขอให้นาย Peter
Mandelson กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรปให้เริ่มตรวจสอบการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กและเหล็กกล้าจากจีน แม้ว่าการส่งออกสินค้าดังกล่าว
จากจีนจะชะลอลงแล้วก็ตาม และหากตรวจพบจะเสนอมาตรการลงโทษโดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมกับสินค้าดังกล่าวที่นำเข้าจากจีน ทั้งนี้จีน
ได้จัดเก็บภาษีเพียงเล็กน้อยจากสินค้าส่งออกรวมทั้งผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิดเพื่อลดการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับยุโรป และ สรอ. ซึ่ง Eurofer
เห็นว่าเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าจีนทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าในตลาดสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้คาดว่าในปี 50 จีนส่งออกสินค้าเหล็กกล้าไป EU
เพิ่มขึ้นจากปี 49 มากกว่า 10 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 49 ซึ่งในการพบปะกันกับทางการจีนเมื่อเดือนที่แล้ว นาย Peter
Mandelson ได้ยกประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับความวิตกในสินค้าเหล็กกล้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและมีการพูดคุยกันเพื่อที่จะหามาตรการชะลอ
การส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของเหล็กกล้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งสรอ. กล่าวหาว่าจีนสนับสนุนผู้ผลิตทำให้สินค้าจากจีนได้เปรียบสินค้าจาก
ประเทศอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.50
ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้ แถลงว่าจากข้อมูลเบื้องต้นยอดการส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่า
30.93 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นไปตามผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ และสูงขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3
ช่วยเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีแม้ว่าเงินวอนจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม ขณะที่การนำเข้า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 29.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่สูงขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 9.3 ทำให้ยอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น 1.56 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 3.76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน มิ.ย.
ทั้งนี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจหลักประเทศแรกในภูมิภาคที่รายงานตัวเลขการค้าในแต่ละเดือน โดยมีจีนและ สรอ. เป็น
ประเทศคู่ค้าหลักของเกาหลีใต้ที่มียอดการสั่งซื้อสินค้ารวมกันคิดเป็น 2 ใน 5 ของยอดการส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้ ขณะที่มีสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์และยานพาหนะเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 45 ของการส่งออกทั้งหมด อนึ่ง เมื่อเดือนก่อน ก.พาณิชย์
ของเกาหลีใต้ได้ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของการส่งออกสำหรับปี 50 เป็นร้อยละ 12.8 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 10.6
โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวดี เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.4 (รอยเตอร์)
4. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 31 ก.ค.50
ก.แรงงานของสิงคโปร์ เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นว่า อัตราการว่างงานที่ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงเหลือร้อยละ 2.4
จากร้อยละ 2.9 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 44 ขณะที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น 61,900 อัตรา เทียบกับ
ที่เพิ่มขึ้น 49,400 อัตรา ในไตรมาสแรก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นตำแหน่งงานใหม่ในภาคอุตสาหกรรมบริการ ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสิงคโปร์
ขยายตัวร้อยละ 12.8 เทียบต่อปีในไตรมาส 2 สูงสุดในรอบ 2 ปี จากการขับเคลื่อนของภาคการผลิตและการก่อสร้างที่เฟื่องฟู ด้านบริการ
จัดการกองทุนและธนาคารต่าง ๆ ก็มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานสำหรับธนาคารเอกชนในสิงคโปร์
ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่าตลาดแรงงานที่ตึงตัวและการขึ้นค่าจ้างแรงงานจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลัง
ของปีนี้ โดยรัฐบาลสิงคโปร์แถลงเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีได้พุ่งขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบปีในเดือน มิ.ย. และอีก 2 วันต่อจาก
นั้น ธ.กลางสิงคโปร์กล่าวว่าจะให้ความระมัดระวังเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ของ ก.แรงงานกล่าวว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในทุกภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบริการมีการเพิ่มขึ้นสูง
ถึง 33,600 อัตรา ตามด้วยภาคการผลิต 16,600 อัตรา และภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง 11,400 อัตรา เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า
จาก 5,400 อัตรา ในไตรมาสก่อน จากโครงการขนาดใหญ่ที่รวมถึงบ่อนกาสิโน 2 แห่ง และการพัฒนาที่พักอาศัยใหม่อีกหลายโครงการ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 1 ส.ค. 50 31 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.807 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5914/33.9223 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38514 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 859.76/22.74 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.56 70.06 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.19*/25.74** 29.19*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 27 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ประมวลความคิดเห็นต่อมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทพร้อมเผยแพร่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยถึงการติดตามมาตรการที่ออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท 6 มาตรการว่า ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ธปท.จะประมวลความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการ
ที่ประกาศไปแล้ว โดยจะรวบรวมจากศูนย์ฮอตไลน์ และเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. http://www.bot.or.th ภายใต้หัวข้อ “เรื่องเด่น”
และโทรศัพท์ 0-2283-6000 ทั้งนี้ ยืนยันว่า ในการติดตามค่าเงินบาท ธปท.มีเครื่องมือในการดูแล สามารถติดตามค่าเงินบาทได้แบบวินาทีต่อวินาที
รวมถึงภาวะเงินไหลเข้าและไหลออกระหว่างประเทศด้วย และค่าเงินบาทวันนี้ถือว่าค่อนข้างนิ่งแล้ว (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. การประชุมสภาผู้ว่าการ SEACEN มีความเห็นตรงกันในแนวทางแก้ไขปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้าย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงผลการหารือระหว่างผู้ว่าการธนาคารกลาง 16 ประเทศในการประชุมสภาผู้ว่าการ SEACEN ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง
วันที่ 27-28 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ผู้ว่าการ ธ.กลางของประเทศต่างๆ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า แม้ทุกประเทศจะประสบกับความผันผวนของ
ตลาดการเงิน อันเนื่องมาจากภาวะเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ทุกประเทศก็ไม่มีความกังวลว่าจะทำให้เกิดเป็นวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนปี 40 เนื่องจาก
พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งขึ้นจากช่วงวิกฤติ นอกจากนี้ ได้หารือร่วมกันถึงการรับมือกับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย
โดยเห็นตรงกันว่าทุกประเทศจะต้องดูแลภาพรวมเศรษฐกิจให้มีพื้นฐานมั่นคง แข็งแรง และยืดหยุ่นพอที่จะรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้น อีกทั้ง
ต้องดูแลการเคลื่อนไหวของเงินทุนในระยะสั้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องหาแนวร่วมภายนอก เช่น ความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน รวมถึง
การประสานความร่วมมือและแนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางในภูมิภาค ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อตกลงที่จะช่วยเหลือให้กู้ยืมเงินในช่วง
ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งประสบปัญหาการโจมตีค่าเงิน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือเพิ่มเติม และบางเรื่องจำเป็นต้องตกลงกันในระดับรัฐบาล
(โลกวันนี้)
3. เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 50 มีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ
ธปท. กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ว่า อุปสงค์ในประเทศมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว
จากระยะเดียวกันปีก่อน 5.8% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 75.2% ลดลงจาก 76% การ
บริโภคภาคเอกชนเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ยังไม่เร่งตัวมากนัก โดยขยายตัว 1.2% เทียบกับไตรมาสแรกที่ติดลบ 1.7% ส่วนการลงทุนภาคเอกชน
ติดลบ 2.7% ปรับตัวดีขึ้นจากที่ติดลบ 3.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงจากไตรมาสแรก โดยอยู่ที่ 1.9% และ 0.8%
ตามลำดับ เทียบกับไตรมาสแรกที่ 2.4% และ 1.4% ตามลำดับ เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานลดลง (โลกวันนี้, ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ,
โพสต์ทูเดย์)
4. ผลการสำรวจจากสำนักข่าวต่างประเทศพบว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน ก.ค.50 อาจลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี สำนักข่าว
บลูมเบิร์ก เผยแพร่ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มตัวอย่าง 14 คน ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน ก.ค.50 อาจแตะ
ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือน พ.ค. และ มิ.ย.
ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% ผลจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงปัญหาทางการเมือง ส่งผลให้การใช้จ่ายภายในประเทศ
ซบเซา(กรุงเทพธุรกิจ)
5. ธ.กรุงเทพได้รับยกย่องเป็นธนาคารยอดเยี่ยมประจำปี 2550 จากนิตยสารยูโรมันนี่ นายบดินทร์ อูนากูล ผู้ช่วยกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับยกย่องจากนิตยสารยูโรมันนี่ ให้เป็นธนาคารยอดเยี่ยมแห่งปี
ของประเทศไทยประจำปี 2550 โดยระบุว่าเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ให้บริการทางด้าน
การเงินครอบคลุมทุกด้านทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงทุกกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนในเดือน ก.ค. จะลดลงแต่ยังคงมีโอกาสที่ธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของยูโรโซนคาดว่า ในเดือน ก.ค. อัตราเงินเฟ้อของ 13 ประเทศ
ที่ใช้เงินสกุลยูโรจะอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ลดลงจากร้อยละ 1.9 ในเดือน มิ.ย. (เทียบต่อปี) ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวมิได้ระบุรายละเอียด
แต่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการที่ระดับราคาลดลงน่าจะเป็นผลมาจากราคาอาหารและพลังงานลดลง อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า
อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.4 ในไตรมาสที่ 4 ก่อนที่จะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ในต้นปีหน้า
เนื่องจากจะไม่มีผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเทียบตัวเลขรายปีแล้ว ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปพยายามที่จะรักษาระดับเงินเฟ้อ
ให้ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงร้อยละ 2.0 ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อเดือน มิ.ย. ธ.กลางยุโรปได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0 เพิ่มขึ้นโดย
ลำดับจากร้อยละ 2.0 ในปี 48 เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากการขยายตัวอย่างมากของเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดคาดว่า ธ.กลางยุโรป
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือน ก.ย. หรือเดือน ต.ค. รวมทั้งอาจปรับเพิ่มอีกในเดือน ธ.ค. หากเศรษฐกิจเติบโต
อย่างต่อเนื่อง (รอยเตอร์)
2. สหภาพยุโรปจะเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กและเหล็กกล้าของจีน รายงานจากบรัสเซล เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 50
The European Confederation of Iron and Steel Industries (Eurofer) เปิดเผยว่า ในเดือนนี้จะร้องขอให้นาย Peter
Mandelson กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรปให้เริ่มตรวจสอบการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กและเหล็กกล้าจากจีน แม้ว่าการส่งออกสินค้าดังกล่าว
จากจีนจะชะลอลงแล้วก็ตาม และหากตรวจพบจะเสนอมาตรการลงโทษโดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมกับสินค้าดังกล่าวที่นำเข้าจากจีน ทั้งนี้จีน
ได้จัดเก็บภาษีเพียงเล็กน้อยจากสินค้าส่งออกรวมทั้งผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิดเพื่อลดการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับยุโรป และ สรอ. ซึ่ง Eurofer
เห็นว่าเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าจีนทุ่มตลาดสินค้าเหล็กกล้าในตลาดสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้คาดว่าในปี 50 จีนส่งออกสินค้าเหล็กกล้าไป EU
เพิ่มขึ้นจากปี 49 มากกว่า 10 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 49 ซึ่งในการพบปะกันกับทางการจีนเมื่อเดือนที่แล้ว นาย Peter
Mandelson ได้ยกประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับความวิตกในสินค้าเหล็กกล้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและมีการพูดคุยกันเพื่อที่จะหามาตรการชะลอ
การส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของเหล็กกล้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งสรอ. กล่าวหาว่าจีนสนับสนุนผู้ผลิตทำให้สินค้าจากจีนได้เปรียบสินค้าจาก
ประเทศอื่นๆ (รอยเตอร์)
3. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.50
ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้ แถลงว่าจากข้อมูลเบื้องต้นยอดการส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่า
30.93 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นไปตามผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ และสูงขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3
ช่วยเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีแม้ว่าเงินวอนจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม ขณะที่การนำเข้า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 29.37 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่สูงขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 9.3 ทำให้ยอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น 1.56 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 3.76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน มิ.ย.
ทั้งนี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจหลักประเทศแรกในภูมิภาคที่รายงานตัวเลขการค้าในแต่ละเดือน โดยมีจีนและ สรอ. เป็น
ประเทศคู่ค้าหลักของเกาหลีใต้ที่มียอดการสั่งซื้อสินค้ารวมกันคิดเป็น 2 ใน 5 ของยอดการส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้ ขณะที่มีสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์และยานพาหนะเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 45 ของการส่งออกทั้งหมด อนึ่ง เมื่อเดือนก่อน ก.พาณิชย์
ของเกาหลีใต้ได้ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของการส่งออกสำหรับปี 50 เป็นร้อยละ 12.8 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 10.6
โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวดี เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.4 (รอยเตอร์)
4. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 31 ก.ค.50
ก.แรงงานของสิงคโปร์ เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นว่า อัตราการว่างงานที่ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงเหลือร้อยละ 2.4
จากร้อยละ 2.9 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 44 ขณะที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น 61,900 อัตรา เทียบกับ
ที่เพิ่มขึ้น 49,400 อัตรา ในไตรมาสแรก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นตำแหน่งงานใหม่ในภาคอุตสาหกรรมบริการ ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสิงคโปร์
ขยายตัวร้อยละ 12.8 เทียบต่อปีในไตรมาส 2 สูงสุดในรอบ 2 ปี จากการขับเคลื่อนของภาคการผลิตและการก่อสร้างที่เฟื่องฟู ด้านบริการ
จัดการกองทุนและธนาคารต่าง ๆ ก็มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานสำหรับธนาคารเอกชนในสิงคโปร์
ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่าตลาดแรงงานที่ตึงตัวและการขึ้นค่าจ้างแรงงานจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลัง
ของปีนี้ โดยรัฐบาลสิงคโปร์แถลงเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีได้พุ่งขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบปีในเดือน มิ.ย. และอีก 2 วันต่อจาก
นั้น ธ.กลางสิงคโปร์กล่าวว่าจะให้ความระมัดระวังเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ของ ก.แรงงานกล่าวว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในทุกภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมบริการมีการเพิ่มขึ้นสูง
ถึง 33,600 อัตรา ตามด้วยภาคการผลิต 16,600 อัตรา และภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง 11,400 อัตรา เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า
จาก 5,400 อัตรา ในไตรมาสก่อน จากโครงการขนาดใหญ่ที่รวมถึงบ่อนกาสิโน 2 แห่ง และการพัฒนาที่พักอาศัยใหม่อีกหลายโครงการ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 1 ส.ค. 50 31 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.807 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.5914/33.9223 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.38514 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 859.76/22.74 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 69.56 70.06 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.19*/25.74** 29.19*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 27 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--