วันที่ 7 มค. 2550 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่พรรคถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยนายองอาจมองว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะก่อให้เกิดผลในการปฏิบัติที่เป็นจริงได้ในสังคมไทยนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนด้วย เพราะหัวใจสำคัญส่วนหนึ่งของกระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้นจึงได้ฝากถึงคณะที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง คณะสสร. ที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ว่าให้เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการที่จะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ขึ้นมา และการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเข้ามาสู่คณะผู้ดำเนินการในการยกร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ควรมีการกำหนดกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ชัดเจน เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น จะก่อให้เกิดความเข้าใจต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ และจะทำให้เกิดการยอมรับกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ระเบิดในขณะนี้ นายองอาจ มองว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้ลงมือวางระเบิดครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นระเบิดที่ส่งผลรุนแรงแห่งอำนาจมากกว่าความรุนแรงด้วยแรงระเบิดในตัวของมันเองหลายเท่า โดยแรงระเบิดดังกล่าวส่งผลรุนแรงถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เป็นแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายไม่เฉพาะต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น แต่เป็นแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน และประเทศชาติโดยรวมอย่างมากอีกด้วย ที่สำคัญคือแรงระเบิดครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลลดลง แต่ยังกระทบถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินชีวิตตามปกติของประชาชนก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นหน้าที่สำคัญเฉพาะหน้าของรัฐบาลขณะนี้ก็คือการทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตตามปกติของประชาชนกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด
โดยนายองอาจ เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมาได้นั้น รัฐบาลต้องทำ 2 เรื่องอย่างจริงจังคือ 1. ความปลอดภัย 2. ใครวางระเบิด ซึ่งในเรื่องของความปลอดภัยนั้น รัฐบาลจะต้องมีมาตรการสร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนให้ประชาชนอุ่นใจมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ระเบิดต้องระมัดระวังไม่ให้ไปซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก ที่สำคัญที่สุดก็คือควรมีมาตรการเชิงรุกมากกว่ามาตรการปกติทั่วไป โดยนายองอาจแสดงความเห็นว่า มาตรการในขณะนี้นอกจากจะนำเอามาตรการเก่า ๆ ที่เคยมีการเตรียมการของเจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติกันเอาไว้แล้วนั้นมาใช้ ยังไม่เพียงพอ และควรหามาตรการเชิงรุกด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อมาช่วยสร้างความมั่นใจต่อประชาชนให้มากขึ้น ส่วนข้อ 2 คนไทยโดยทั่วไปทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ แต่รัฐบาลมีภาระหน้าที่และมีความรับผิดชอบที่จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ประเด็นเรื่อง “ใครวางระเบิด” นั้นปรากฎเป็นจริงให้ได้มากที่สุด ให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะหากรัฐบาลสามารถจัดการกับประเด็นนี้ได้ ความเชื่อมั่นในรัฐบาลจะกลับคืนมา
นอกเหนือจากระเบิดที่ได้วางไปแล้ว หรือได้พยายามข่มขู่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่รัฐบาล และคมช. พึงระมัดระวังในการดำเนินการนับจากนี้ไปคือ ระเบิดเวลาทางอำนาจ โดยนายองอาจเชื่อว่า ระเบิดดังกล่าวจะถูกตั้งขึ้น เมื่อประเมินสถานการณ์จากการเคลื่อนไหว และการปฏิบัติการณ์ในช่วง 2 — 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการดำเนินการหลายอย่างที่กระทำต่อรัฐบาลและคมช. ต้องถือได้ว่าเป็นการกระทำอย่างมีขบวนการ มีขั้นตอน และมีเป้าประสงค์ให้เกิดผลของการกระทำนั้นอย่างชัดเจน โดยปรากฎการณ์ทางอำนาจที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของผู้อำนาจในบ้านเมืองของเรา ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องและถ้าการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจสามารถใช้ชีวิตของประชาชน และความเสียหายต่อบ้านเมืองมาเพื่อประโยชน์ของตนเองได้แล้วนั้น ทำให้มองเห็นได้ว่า การต่อสู้เพื่ออำนาจในครั้งนี้อาจจะส่งผลก่อให้เกิดความรุนแรงที่มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“การดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบจริงจัง และควรดำเนินการให้เกิดผลในการยุติความรุนแรงในทางปฏิบัติการได้อย่างชัดเจนมากกว่าให้เกิดผลเพียงคำพูดเท่านั้น และผมเชื่อว่าถ้าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยุติลงได้ และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ 1 ปีที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ สามารถดำเนินการได้ตามนั้น ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าปัญหาต่าง ๆ จะสามารถคลี่คลายลงไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” นายองอาจกล่าว
หลังจากมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นมาแล้วนั้น นายองอาจเห็นว่า ประชาชนไม่ควรขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากขวัญเสียกับเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ก่อเหตุจะยิ่งได้ใจ และจะยิ่งดำเนินการก่อให้เกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีส่วนเร่งปฏิบัติการรุนแรงขึ้นอีก เพราะเห็นว่าการกระทำของตนนั้นได้ผล ที่สามารถทำให้ประชาชนขวัญเสีย และทำลายความน่าเชื่อของรัฐบาลลงไปได้อีกด้วย
ในโอกาสนี้นายองอาจจึงขอเสนอให้รัฐบาล ดำเนินการประสานผ่านเครือข่ายประชาชนทั่วประเทศ จัดตั้ง “องค์กรประชาชนมั่นคงเข้มแข็ง” ขึ้น เพื่อช่วยกันต่อกรกับผู้ที่ไม่หวังดีกับบ้านเมืองในการก่อให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยองค์กรประชาชนมั่นคงเข้มแข็งนั้นจะมีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยทำให้ความเลวร้ายต่าง ๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย โดยนายองอาจชี้ถึงเหตุผลในการจัดตั้งองค์กรดังกล่าวคือ 1. เพื่อให้ประชาชนรวมตัวกันสร้างมาตรการป้องกันการก่อเหตุตามชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ 2. สร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นกับประชาชนโดยการสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ทีเกิดขึ้น ไม่ให้เกิดอาการขวัญเสีย หรือขวัญหนี ดีฝ่อ เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นมา และพร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--
สำหรับเรื่องที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ระเบิดในขณะนี้ นายองอาจ มองว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้ลงมือวางระเบิดครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นระเบิดที่ส่งผลรุนแรงแห่งอำนาจมากกว่าความรุนแรงด้วยแรงระเบิดในตัวของมันเองหลายเท่า โดยแรงระเบิดดังกล่าวส่งผลรุนแรงถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เป็นแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายไม่เฉพาะต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น แต่เป็นแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน และประเทศชาติโดยรวมอย่างมากอีกด้วย ที่สำคัญคือแรงระเบิดครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลลดลง แต่ยังกระทบถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินชีวิตตามปกติของประชาชนก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นหน้าที่สำคัญเฉพาะหน้าของรัฐบาลขณะนี้ก็คือการทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตตามปกติของประชาชนกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด
โดยนายองอาจ เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมาได้นั้น รัฐบาลต้องทำ 2 เรื่องอย่างจริงจังคือ 1. ความปลอดภัย 2. ใครวางระเบิด ซึ่งในเรื่องของความปลอดภัยนั้น รัฐบาลจะต้องมีมาตรการสร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนให้ประชาชนอุ่นใจมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ระเบิดต้องระมัดระวังไม่ให้ไปซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก ที่สำคัญที่สุดก็คือควรมีมาตรการเชิงรุกมากกว่ามาตรการปกติทั่วไป โดยนายองอาจแสดงความเห็นว่า มาตรการในขณะนี้นอกจากจะนำเอามาตรการเก่า ๆ ที่เคยมีการเตรียมการของเจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติกันเอาไว้แล้วนั้นมาใช้ ยังไม่เพียงพอ และควรหามาตรการเชิงรุกด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อมาช่วยสร้างความมั่นใจต่อประชาชนให้มากขึ้น ส่วนข้อ 2 คนไทยโดยทั่วไปทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ แต่รัฐบาลมีภาระหน้าที่และมีความรับผิดชอบที่จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ประเด็นเรื่อง “ใครวางระเบิด” นั้นปรากฎเป็นจริงให้ได้มากที่สุด ให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะหากรัฐบาลสามารถจัดการกับประเด็นนี้ได้ ความเชื่อมั่นในรัฐบาลจะกลับคืนมา
นอกเหนือจากระเบิดที่ได้วางไปแล้ว หรือได้พยายามข่มขู่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่รัฐบาล และคมช. พึงระมัดระวังในการดำเนินการนับจากนี้ไปคือ ระเบิดเวลาทางอำนาจ โดยนายองอาจเชื่อว่า ระเบิดดังกล่าวจะถูกตั้งขึ้น เมื่อประเมินสถานการณ์จากการเคลื่อนไหว และการปฏิบัติการณ์ในช่วง 2 — 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการดำเนินการหลายอย่างที่กระทำต่อรัฐบาลและคมช. ต้องถือได้ว่าเป็นการกระทำอย่างมีขบวนการ มีขั้นตอน และมีเป้าประสงค์ให้เกิดผลของการกระทำนั้นอย่างชัดเจน โดยปรากฎการณ์ทางอำนาจที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของผู้อำนาจในบ้านเมืองของเรา ยังดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องและถ้าการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจสามารถใช้ชีวิตของประชาชน และความเสียหายต่อบ้านเมืองมาเพื่อประโยชน์ของตนเองได้แล้วนั้น ทำให้มองเห็นได้ว่า การต่อสู้เพื่ออำนาจในครั้งนี้อาจจะส่งผลก่อให้เกิดความรุนแรงที่มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“การดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบจริงจัง และควรดำเนินการให้เกิดผลในการยุติความรุนแรงในทางปฏิบัติการได้อย่างชัดเจนมากกว่าให้เกิดผลเพียงคำพูดเท่านั้น และผมเชื่อว่าถ้าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยุติลงได้ และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ 1 ปีที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ สามารถดำเนินการได้ตามนั้น ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าปัญหาต่าง ๆ จะสามารถคลี่คลายลงไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” นายองอาจกล่าว
หลังจากมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นมาแล้วนั้น นายองอาจเห็นว่า ประชาชนไม่ควรขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากขวัญเสียกับเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ก่อเหตุจะยิ่งได้ใจ และจะยิ่งดำเนินการก่อให้เกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีส่วนเร่งปฏิบัติการรุนแรงขึ้นอีก เพราะเห็นว่าการกระทำของตนนั้นได้ผล ที่สามารถทำให้ประชาชนขวัญเสีย และทำลายความน่าเชื่อของรัฐบาลลงไปได้อีกด้วย
ในโอกาสนี้นายองอาจจึงขอเสนอให้รัฐบาล ดำเนินการประสานผ่านเครือข่ายประชาชนทั่วประเทศ จัดตั้ง “องค์กรประชาชนมั่นคงเข้มแข็ง” ขึ้น เพื่อช่วยกันต่อกรกับผู้ที่ไม่หวังดีกับบ้านเมืองในการก่อให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยองค์กรประชาชนมั่นคงเข้มแข็งนั้นจะมีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยทำให้ความเลวร้ายต่าง ๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย โดยนายองอาจชี้ถึงเหตุผลในการจัดตั้งองค์กรดังกล่าวคือ 1. เพื่อให้ประชาชนรวมตัวกันสร้างมาตรการป้องกันการก่อเหตุตามชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ 2. สร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นกับประชาชนโดยการสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ทีเกิดขึ้น ไม่ให้เกิดอาการขวัญเสีย หรือขวัญหนี ดีฝ่อ เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นมา และพร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--