วันที่ 7 มค. 50 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีนักวิชาการได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องกรณียุบพรรคของตุลาการรัฐธรรมนูญว่า ไม่ควรยุบพรรคทั้ง 2 พรรค แต่ควรพิจารณาลงโทษที่ตัวบุคคลนั้น ในเรื่องนี้นายเทพไท เห็นว่า เป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในดุลพินิจของตุลาการรัฐธรรมนูญ และคิดว่าตุลาการรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง การที่จะมาเรียกร้องให้พิจารณาลงโทษเฉพาะตัวบุคคลย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากความผิดนั้นเกี่ยวกับตัวพรรคการเมืองจริง ๆ
สำหรับการที่มีสมาชิกพรรคไทยรักไทยให้สัมภาษณ์ว่าการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเป็นปัญหาต่อคดียุบพรรคได้ เพราะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่เป็นศาลในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ แต่ทำในฐานะคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรถถังนั้น นายเทพไทกล่าวว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ มีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์ที่จะพิจารณาคดียุบพรรคได้ เพราะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ลงพระปรมาภิไธย ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ จึงมีความชอบธรรม และมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะพิจารณาคดีนี้
ส่วนที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยกล่าวพาดพิงถึงกรณีการเลือกตั้งที่ จ.ตรัง ว่าเป็นจังหวัดที่มีถนนลูกรังและไม่มีไฟฟ้าใช้มากที่สุด และมีความพยายามที่จะโยงให้เห็นว่า จังหวัดตรังเป็นจังหวัดของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล ในเรื่องนี้นายเทพไทขอชี้แจงให้ทราบว่า นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นสส.จังหวัดตรังก็จริง แต่ท่านได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกจังหวัดที่อยู่ในประเทศไทย ท่านไม่ได้เลือกปฏิบัติเหมือนกับนายกรัฐมนตรีบางคนที่บอกว่า จังหวัดใดเลือกพรรคตนเอง แล้วจะพัฒนาจังหวัดนั้นก่อน
“ข้อมูลที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยกล่าวอ้างว่าเป็นสถิติของหน่วยงานราชการนั้น ว่าจังหวัดตรังล้าหลังในการพัฒนา ไม่ทราบว่าสมาชิกคนนั้นเอาข้อมูลมาจากหน่วยงานไหน ส่วนที่พาดพิงว่าเมื่อมีการเลือกตั้งชาวบ้านบอกว่า พรรคโน้นให้ 500 บาท พรรคของตนเองไม่ซื้อเสียง เขาจึงไม่เลือกนั้น พรรคประชาธิปัตย์อยู่คู่กับจังหวัดตรังมายาวนานและไม่เคยมีเรื่องการซื้อเสียงแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ทุกครั้งที่เลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้แหวกม่านสีม่วง และม่านสีเทา มาได้เสมอ จึงอยากย้อนถามกลับสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่กล่าวอ้างพรรคประชาธิปัตย์ซื้อเสียงนั้น อยากจะถามว่าเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคไหนกันแน่ที่ซื้อเสียง และซื้อเสียงแล้วชาวบ้านรู้ทันเขาไม่เลือก แล้วมาใส่ร้ายว่าพรรคอื่นซื้อเสียงนั้น ขอให้ไปพิจารณาพฤติกรรมของพรรคตนเองเสียก่อนจะดีกว่า” นายเทพไทกล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--
สำหรับการที่มีสมาชิกพรรคไทยรักไทยให้สัมภาษณ์ว่าการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเป็นปัญหาต่อคดียุบพรรคได้ เพราะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่เป็นศาลในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ แต่ทำในฐานะคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรถถังนั้น นายเทพไทกล่าวว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญมีสิทธิ์ มีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์ที่จะพิจารณาคดียุบพรรคได้ เพราะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ลงพระปรมาภิไธย ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ จึงมีความชอบธรรม และมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะพิจารณาคดีนี้
ส่วนที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยกล่าวพาดพิงถึงกรณีการเลือกตั้งที่ จ.ตรัง ว่าเป็นจังหวัดที่มีถนนลูกรังและไม่มีไฟฟ้าใช้มากที่สุด และมีความพยายามที่จะโยงให้เห็นว่า จังหวัดตรังเป็นจังหวัดของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล ในเรื่องนี้นายเทพไทขอชี้แจงให้ทราบว่า นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นสส.จังหวัดตรังก็จริง แต่ท่านได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกจังหวัดที่อยู่ในประเทศไทย ท่านไม่ได้เลือกปฏิบัติเหมือนกับนายกรัฐมนตรีบางคนที่บอกว่า จังหวัดใดเลือกพรรคตนเอง แล้วจะพัฒนาจังหวัดนั้นก่อน
“ข้อมูลที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยกล่าวอ้างว่าเป็นสถิติของหน่วยงานราชการนั้น ว่าจังหวัดตรังล้าหลังในการพัฒนา ไม่ทราบว่าสมาชิกคนนั้นเอาข้อมูลมาจากหน่วยงานไหน ส่วนที่พาดพิงว่าเมื่อมีการเลือกตั้งชาวบ้านบอกว่า พรรคโน้นให้ 500 บาท พรรคของตนเองไม่ซื้อเสียง เขาจึงไม่เลือกนั้น พรรคประชาธิปัตย์อยู่คู่กับจังหวัดตรังมายาวนานและไม่เคยมีเรื่องการซื้อเสียงแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ทุกครั้งที่เลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้แหวกม่านสีม่วง และม่านสีเทา มาได้เสมอ จึงอยากย้อนถามกลับสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่กล่าวอ้างพรรคประชาธิปัตย์ซื้อเสียงนั้น อยากจะถามว่าเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคไหนกันแน่ที่ซื้อเสียง และซื้อเสียงแล้วชาวบ้านรู้ทันเขาไม่เลือก แล้วมาใส่ร้ายว่าพรรคอื่นซื้อเสียงนั้น ขอให้ไปพิจารณาพฤติกรรมของพรรคตนเองเสียก่อนจะดีกว่า” นายเทพไทกล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 7 ม.ค. 2550--จบ--