สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates : UAE) เป็นตลาดขนาดเล็ก โดยมีประชากรเพียง 5 ล้านคน แต่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตดีอย่างต่อเนื่องชาว UAE ส่วนใหญ่จึงมีฐานะดีและกำลังซื้อสูง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี 30,370 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากกาตาร์ ทั้งนี้ UAE มีรายได้หลักมาจากน้ำมัน ดังนั้น รัฐบาลจึงพยายามลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน ด้วยการดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึง
ธุรกิจในภาคบริการและการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย อีกทั้งยังมีแผนจะเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ครบครัน เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพที่จะเข้าไปลงทุนใน UAE ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอาทิ ร้านอาหารไทยและธุรกิจสปาไทย อันเป็นผลจากการที่ภาคการท่องเที่ยวของ UAE กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าภายในปี 2558 UAE จะมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 รวมทั้งธุรกิจก่อสร้าง ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยมีเกร็ดการลงทุนที่น่าสนใจในแต่ละธุรกิจดังนี้
ร้านอาหารไทย ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใน UAE โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นชาว UAE ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งแรงงานไทยและแรงงานชาวเอเชียที่ทำงานอยู่ใน UAE ซึ่งคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารไทยบ้างแล้ว ก็นับเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ปัจจุบันร้านอาหารไทยใน UAE มีมากถึง 43 ร้าน แต่ส่วนใหญ่เป็นของชาวต่างชาติ ดังนั้น การขยายธุรกิจร้านอาหารไทยใน UAE จึงยังมีโอกาสอีกมาก โดยการเปิดธุรกิจร้านอาหารใน UAE นั้น นักลงทุนต่างชาติต้องร่วมลงทุนกับนักลงทุน UAE ในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของทั้งหมด ร้านอาหารไทยที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในโรงแรม ซึ่งผู้บริโภคนิยมไปรับประทานเนื่องในโอกาสพิเศษ หรือเป็นการเลี้ยงรับรองแขกธุรกิจมากกว่าเป็นการรับประทานอาหารมื้อค่ำธรรมดา และบางส่วนตั้งอยู่ตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าซึ่งลูกค้าหลัก
เป็นกลุ่มแม่บ้านหรือคนทำงานที่เน้นความสะดวกเป็นสำคัญ
สำหรับเมนูอาหารที่กลุ่มลูกค้าชาวอาหรับพื้นเมืองของ UAE นิยมรับประทานมักเป็นอาหารทะเลปรุงแบบไม่เผ็ดและอาหารทะเลย่าง ส่วนลูกค้าชาวอาหรับอื่นๆ นิยมรับประทานอาหารที่มีรสชาติไม่เผ็ด เช่น ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลาหรือกุ้งเปรี้ยวหวาน และกุ้งสะเต๊ะ เป็นต้น นอกจากนี้ เมนูอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food) ก็กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากชาว UAE ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น
ธุรกิจสปาไทย ปัจจุบันการดูแลสุขภาพและเสริมความงามแบบตะวันออกกำลังได้รับความนิยมทั้งจากชาว UAE และชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงทั้งที่เข้าไปทำงานและท่องเที่ยวใน UAE โดยเฉพาะการนวดสปาและนวดแผนไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กำลังเป็นที่นิยมในหลายๆ เมืองของ UAE เช่น กรุงอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองดูไบซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่าสำคัญ ธุรกิจสปาส่วนใหญ่มักเปิดให้บริการตามโรงแรมใหญ่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก และมีแนวโน้มที่จะเปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพิ่มขึ้น เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยการให้บริการสปาใน UAE ต้องแบ่งห้องอย่างเป็นสัดเป็นส่วนระหว่างผู้มาใช้บริการชายและหญิง ต้องจัดให้ผู้ให้บริการและผู้มาใช้บริการเป็นเพศเดียวกัน เนื่องจากชาว UAE เคร่งครัดในเรื่องการรักษาระยะห่างระหว่างชายและหญิงมาก ทำให้การเปิดดำเนินธุรกิจสปาใน UAE ยังมีความเข้มงวดมากและต้องขอใบอนุญาตเพื่อทำธุรกิจนี้ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าไปเปิดสปาใน UAE จึงควรศึกษากฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบก่อน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การก่อสร้าง ปัจจุบัน UAE มีโครงการก่อสร้างต่าง ๆ รวมถึงที่กำลังก่อสร้างและมีแผนจะก่อสร้างใหม่ในอนาคตเป็นมูลค่ารวมกว่า 294 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ และเกือบ 60% อยู่ในรัฐดูไบ ในจำนวนนี้มีหลายโครงการตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลของรัฐดูไบ อาทิ โครงการ The Palm Islands เป็นการสร้างเกาะเทียมเลียนแบบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกจำนวน 3 เกาะ ซึ่งจะพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงแรมและที่พักอาศัยหรูหรา
รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ โครงการ The World Islands เป็นการสร้างเกาะขึ้นประมาณ 250-300 เกาะ เรียงกันเป็นรูปแผนที่โลก และโครงการ Dubai Waterfront เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยเป็นการสร้างเมืองขึ้นใหม่ อันประกอบด้วยชุมชนถึง 250 แห่ง เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย รีสอร์ต และเขตธุรกิจสำคัญ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2550--
-พห-
ธุรกิจในภาคบริการและการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย อีกทั้งยังมีแผนจะเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ครบครัน เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพที่จะเข้าไปลงทุนใน UAE ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอาทิ ร้านอาหารไทยและธุรกิจสปาไทย อันเป็นผลจากการที่ภาคการท่องเที่ยวของ UAE กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าภายในปี 2558 UAE จะมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 รวมทั้งธุรกิจก่อสร้าง ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยมีเกร็ดการลงทุนที่น่าสนใจในแต่ละธุรกิจดังนี้
ร้านอาหารไทย ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใน UAE โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นชาว UAE ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งแรงงานไทยและแรงงานชาวเอเชียที่ทำงานอยู่ใน UAE ซึ่งคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารไทยบ้างแล้ว ก็นับเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ปัจจุบันร้านอาหารไทยใน UAE มีมากถึง 43 ร้าน แต่ส่วนใหญ่เป็นของชาวต่างชาติ ดังนั้น การขยายธุรกิจร้านอาหารไทยใน UAE จึงยังมีโอกาสอีกมาก โดยการเปิดธุรกิจร้านอาหารใน UAE นั้น นักลงทุนต่างชาติต้องร่วมลงทุนกับนักลงทุน UAE ในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของทั้งหมด ร้านอาหารไทยที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในโรงแรม ซึ่งผู้บริโภคนิยมไปรับประทานเนื่องในโอกาสพิเศษ หรือเป็นการเลี้ยงรับรองแขกธุรกิจมากกว่าเป็นการรับประทานอาหารมื้อค่ำธรรมดา และบางส่วนตั้งอยู่ตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าซึ่งลูกค้าหลัก
เป็นกลุ่มแม่บ้านหรือคนทำงานที่เน้นความสะดวกเป็นสำคัญ
สำหรับเมนูอาหารที่กลุ่มลูกค้าชาวอาหรับพื้นเมืองของ UAE นิยมรับประทานมักเป็นอาหารทะเลปรุงแบบไม่เผ็ดและอาหารทะเลย่าง ส่วนลูกค้าชาวอาหรับอื่นๆ นิยมรับประทานอาหารที่มีรสชาติไม่เผ็ด เช่น ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลาหรือกุ้งเปรี้ยวหวาน และกุ้งสะเต๊ะ เป็นต้น นอกจากนี้ เมนูอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food) ก็กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากชาว UAE ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น
ธุรกิจสปาไทย ปัจจุบันการดูแลสุขภาพและเสริมความงามแบบตะวันออกกำลังได้รับความนิยมทั้งจากชาว UAE และชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงทั้งที่เข้าไปทำงานและท่องเที่ยวใน UAE โดยเฉพาะการนวดสปาและนวดแผนไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กำลังเป็นที่นิยมในหลายๆ เมืองของ UAE เช่น กรุงอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองดูไบซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่าสำคัญ ธุรกิจสปาส่วนใหญ่มักเปิดให้บริการตามโรงแรมใหญ่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก และมีแนวโน้มที่จะเปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพิ่มขึ้น เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยการให้บริการสปาใน UAE ต้องแบ่งห้องอย่างเป็นสัดเป็นส่วนระหว่างผู้มาใช้บริการชายและหญิง ต้องจัดให้ผู้ให้บริการและผู้มาใช้บริการเป็นเพศเดียวกัน เนื่องจากชาว UAE เคร่งครัดในเรื่องการรักษาระยะห่างระหว่างชายและหญิงมาก ทำให้การเปิดดำเนินธุรกิจสปาใน UAE ยังมีความเข้มงวดมากและต้องขอใบอนุญาตเพื่อทำธุรกิจนี้ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าไปเปิดสปาใน UAE จึงควรศึกษากฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบก่อน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การก่อสร้าง ปัจจุบัน UAE มีโครงการก่อสร้างต่าง ๆ รวมถึงที่กำลังก่อสร้างและมีแผนจะก่อสร้างใหม่ในอนาคตเป็นมูลค่ารวมกว่า 294 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ และเกือบ 60% อยู่ในรัฐดูไบ ในจำนวนนี้มีหลายโครงการตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลของรัฐดูไบ อาทิ โครงการ The Palm Islands เป็นการสร้างเกาะเทียมเลียนแบบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกจำนวน 3 เกาะ ซึ่งจะพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงแรมและที่พักอาศัยหรูหรา
รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ โครงการ The World Islands เป็นการสร้างเกาะขึ้นประมาณ 250-300 เกาะ เรียงกันเป็นรูปแผนที่โลก และโครงการ Dubai Waterfront เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยเป็นการสร้างเมืองขึ้นใหม่ อันประกอบด้วยชุมชนถึง 250 แห่ง เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย รีสอร์ต และเขตธุรกิจสำคัญ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2550--
-พห-