วันนี้(1พ.ค.50) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทนายความว่าคดียุบพรรค แถลงถึงกรณีมีรายงานข่าวระบุว่าอัยการสูงสุด(อสส.)ได้ส่งคำแถลงปิดคดีให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบทุกพรรคและห้ามกรรมการบริหารพรรคเป็นกรรมการบริหารพรรคใหม่ 5 ปี และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก 5 ปี พร้อมทั้งชี้แจงคำแถลงการณ์ปิดคดีของพรรคที่มีการระบุอัยการสูงสุดใช้เวลาพิจารณาเพียง 1 วัน และก่อนสรุปนายพชร ยุติธรรมดำรง อสส.เข้าหารือกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า จากการที่ตนเป็นอัยการสูงสุดมา 19 ปี เห็นว่าสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานที่มีพระคุณต่อตนอย่างล้นเหลือ ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่เห็นว่าการทำงานขององค์กรของรัฐทุกองค์กรจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งนั้น และเราไม่มีสาเหตุโกรธเคืองเป็นการส่วนตัวกับอัยการสูงสุดไม่ว่าพรรคหรือคณะทำงาน ดังนั้นการดำเนินการยื่นคำร้องขอปิดสำนวนเราจึงไม่มีอคติกับอัยการสูงสุดโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคและนายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าคณะทนายว่าคดี ระมัดระวังมากเกี่ยวกับการเขียนคำให้การและแถลงปิดคดี รวมทั้งนำพยานทุกปากมาไต่สวนคดี ให้ระมัดระวังและตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและเป็นธรรม
นายถาวร กล่าวว่า คำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ออส.ยื่นให้ยุบพรรคนั้นมีทั้งหมด 19 หน้า โดยระบุว่าขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ 4 ข้อหา จากเดิม 8 ข้อหาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ส่งมานั้น โดยอสส.ได้ระบุให้ความเป็นธรรมกับพรรคประชาธิปัตย์ และอ้างว่าเป็นการให้บุญให้คุณกับพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะประเด็นที่ไม่ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ คือ การที่หัวหน้าได้ปราศรัยและออกแถลงการณ์ขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตามมาตรา 7 เป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย แม้ว่าออส.ได้ศึกษาและหาช่องทางเอาผิดหัวหน้าพรรค แต่ก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความพยามเอาผิดกรณีที่พรรคไม่ส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นสิทธิของพรรคการเมืองที่จะส่งหรือไม่ส่งสมาชิกพรรคลงรับเลือกตั้งก็ได้ จึงไม่ผิดกฎหมาย รวมทั้งยังมีข้อหาการจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ให้ส่งผู้สมัครส.ส.ในเขตจังหวัดภาคใต้เป็นการแจ้งข้อกล่าวหามาลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐาน และสุดท้ายการกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางนางฐัติมา ภาวรี หน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นการกระทำความผิดฐานก่อให้เกิดการทำลายความมั่นคงแห่งรัฐ ปรากฎว่าเมื่อไปตรวจสำนวนที่กกต.และสถานีตำรวจที่จ.สุราษฎร์ธานีพบว่าคำให้การของนางฐัติมาระบุว่าไม่มีการหน่วงเหนี่ยวกักขังข่มขู่ ดังนั้น 4 ข้อกล่าวหาที่ไม่มีการร้องให้ยุบพรรค เพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้กระทำผิดและไม่มีหลักฐาน ดังนั้นอสส.อย่ามาร้องเอาบุญคุณกับพรรค เพราะไม่เคยได้กระทำความผิด
นายถาวร กล่าวว่า สำหรับ 4 ข้อหาที่ อสส.ร้องของให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทีได้มีการนำพยานเข้าสู่กระบวนการไต่สวน และหลังจากนั้นได้มีการแถลงการปิดคดี ประการแรก อสส.แก้ตัวว่าสำนวนส่งให้วันที่ 26 มิ.ย.2549 วันรุ่งขึ้นเวลา 09.00 เศษ คณะทำงานของ อสส.ได้แถลงข่าวว่าพยานหลักฐานฟังได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำความผิดต่อความมั่นคง ทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงร้องขอให้มีการยุบพรรค โดยมีเอกสารเกือบ 1,500 หน้า เทวดาที่ไหนก็อ่านได้หมด การอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์นั้นต้องใช้ความรอบครอบ ละเอีย และให้ความเป็นธรรม ซึ่งทั้ง 1,500 หน้าไม่มีทางที่จะให้กรรมการทุกคนได้อ่านและวินิจฉัยจนครบ ดังนั้นสิ่งที่ปรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี
“การพิจารณาอัยการสูงสุดในการพิจาณราเอกสารกว่าพันเกิดจากอคติ ด้วยการอ่านเอกสารเพียงชั่วข้ามคืน ไม่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ในเอกสารของอัยการสูงสุดยังยืนยันว่าผมกระทำความผิดฐานออกไปปลิวและปราศัยให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งโดยกาในช่องไม่เลือกใคร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและระบุว่าเป็นสิทธิ์ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ และมีมติเอกฉันท์ว่าผมไม่ผิด แต่อัยการสูงสุดยังนำมาบรรยายลงในคำร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขัดกับหลักฐานของกกต.ที่อัยการสูงสุดรับไปอ่าน อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีอคติแล้วจะเรียกว่าอย่างไร” นายถาวร
ส่วนกรณีที่ อัยการสูงสุดได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นนายถาวร กล่าวว่า ขอยืนยันว่าก่อนที่นายพชร ยุติธรรมดำรง ก่อนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งอัยการสุงสุด อยู่ในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด อยู่ในโผรายชื่อลำดับที่ 3 ซึ่งความจริงแล้ววัฒนธรรมและทำเนียมประเพณีในการแต่งตั้งอัยกรสูงสุดนั้นแม้ว่าจะมีการลงคะแนนของกรรมการในอัยการสูงสุดก็ตาม แต่คณะกรรมการอัยการนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะไม่เคยเอารองอาวุโสอันดับ 3 ขึ้นเป็นอัยการสูงสุด แต่ในยุคของ นายพชร มีการข้ามคนอื่นมาถึงขนาดนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ อาวุโสสูงสุดได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรม และจะต้องลาออก เพราะไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งอัยการสูงสุดได้
“เรื่องนี้ในวงการอัยการได้มีการกล่าวขานกันมากว่าการแต่งตั้งอัยการสูงสุดแม้จะมีการลงมติจากกรรมการแต่ยังมีการล็อบบี้ ถ้าใครบอกว่าไม่มีการบล็อบบี้ให้มาเถียงกับผมได้ ดังนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งของนายพชร เป็นการเข้าสู่ตำแหน่งที่ทุกคนจับตามองว่าไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นการล็อบบี้คณะกรรมการอัยการบางคนจนกระทั่งได้รับการเลือกตั้ง และมีการกล่าวขานกันมากกว่าท่านรับใช้ระบอบทักษิณ เมื่ออัยการสุงสุดได้รับสำนวนจาก กกต.มีอยู่วันหนึ่งเกิดรายงานข่าวจากสื่อมวลชนว่า อัยการสูงสุดได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น 2-3 วันนายกรัฐมนตรีนัดประชุมข้าราชการ ซี 10-11 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการตั้งคำถามให้หน้าม้าคนหนึ่งเอาใจระบอบทักษิณ และหน้าม้าที่ลูกขึ้นตอบและเอาใจระบอบทักษิณคือ ท่านอัยการสูงสุด ซึ่งยังมีภาพอยู่ในสื่อผมยังได้บันทึกเอาไว้ด้วย ดังนั้นข้อระแวงในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้รักษาความยุติธรรม จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะผู้เป็นสมาชิกพรรคที่ถูกยืนให้ยุบพรรค หรือการยื่นคำร้องที่เป็นเท็จ โดยการพิจารณาอย่างเร่งร้อน เร่งรีบ รุกลี้รุกลน ดังนั้นเราจึงต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาร้องที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ” นายถาวร กล่าว
รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดระบุว่าได้มีการพิจารณาสำนวนการยุบพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน ว่า อยากให้อัยการสูงสุดนำเอกสารชุดนี้มาเปิดเผยให้สาธารณและสื่อมวลชนได้รับทราบ เพราะช่วงตั้งแต่วันไต่สวนและส่งพยานหลักฐานให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น อัยการสูงสุดไม่ได้ส่งสำนวนที่ระบุว่าได้มีการพิจารณาสำนวนมาก่อนให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การกล่าวอ้างลอยๆ ว่าได้มีการพิจารณาสำนวนมาก่อนเป็นการแก้เกี้ยวเพื่อให้เห็นว่าตัวเอง ได้ให้ความเอาใจใส่เรื่องนี้มาก่อน ทั้งยังเอาสำนวนจากที่อื่นมาพิจาณาประกอบ ที่มาจากวงเสวนา สภากาแฟ มาพิจารณากับสำนวนของกกต. เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วประชาชนจะพึ่งใคร ถือว่าอัยการสูงสุดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การทำงานของอัยการไม่ใช่คู่คีดีกับทุกพรรคที่จะถูกยุบ แต่อัยการเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
“ผมขอเตือยนายพชร ที่จะเหลืออายุการทำงานเพียงไม่กี่เดือนว่า ขณะนี้นายใหญ่ของท่านได้หลบลี้ไปอยู่ต่างประเทศ จึงขอให้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่และให้ทบทวนในสิ่งที่เคยปฏิบัติไว้ คำร้องที่ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นเท็จยังปรากฎอยู่ อย่าคิดว่าประชาธิปัตย์จะทำอะไรท่านไม่ได้ หากคำแถลงปิดคดีของพรรคเป็นความผิดขอให้ท่านได้ดำเนินการกับพรรปได้เลย และผมในฐานะที่เป็นคนเขียนแถลงการณ์ของพรรคได้ใช้ความระมัดระวังและเคารพของทุกฝ่ายตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดี” นายพชร กล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องกลับนายพชรหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า พรรคอยู่ในระหว่งการพิจารณา เพราะไม่เช่นนั้นเป็นเยี่ยงอย่างกับอัยการสูงสุด เมื่อฝ่ายการเมืองเข้ามามีอำนาจ การที่ข้าราชการเข้าไปยึดเกาะโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรมแล้วยังคงลอยนวล จะกลายเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป แต่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์อาฆาตมาดร้าย แต่อยากให้อัยการทำตัวเป็นหลักยึดให้กับบ้านเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2550--จบ--
นายถาวร กล่าวว่า คำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ออส.ยื่นให้ยุบพรรคนั้นมีทั้งหมด 19 หน้า โดยระบุว่าขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ 4 ข้อหา จากเดิม 8 ข้อหาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ส่งมานั้น โดยอสส.ได้ระบุให้ความเป็นธรรมกับพรรคประชาธิปัตย์ และอ้างว่าเป็นการให้บุญให้คุณกับพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะประเด็นที่ไม่ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ คือ การที่หัวหน้าได้ปราศรัยและออกแถลงการณ์ขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ตามมาตรา 7 เป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย แม้ว่าออส.ได้ศึกษาและหาช่องทางเอาผิดหัวหน้าพรรค แต่ก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความพยามเอาผิดกรณีที่พรรคไม่ส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นสิทธิของพรรคการเมืองที่จะส่งหรือไม่ส่งสมาชิกพรรคลงรับเลือกตั้งก็ได้ จึงไม่ผิดกฎหมาย รวมทั้งยังมีข้อหาการจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ให้ส่งผู้สมัครส.ส.ในเขตจังหวัดภาคใต้เป็นการแจ้งข้อกล่าวหามาลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐาน และสุดท้ายการกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางนางฐัติมา ภาวรี หน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นการกระทำความผิดฐานก่อให้เกิดการทำลายความมั่นคงแห่งรัฐ ปรากฎว่าเมื่อไปตรวจสำนวนที่กกต.และสถานีตำรวจที่จ.สุราษฎร์ธานีพบว่าคำให้การของนางฐัติมาระบุว่าไม่มีการหน่วงเหนี่ยวกักขังข่มขู่ ดังนั้น 4 ข้อกล่าวหาที่ไม่มีการร้องให้ยุบพรรค เพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้กระทำผิดและไม่มีหลักฐาน ดังนั้นอสส.อย่ามาร้องเอาบุญคุณกับพรรค เพราะไม่เคยได้กระทำความผิด
นายถาวร กล่าวว่า สำหรับ 4 ข้อหาที่ อสส.ร้องของให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทีได้มีการนำพยานเข้าสู่กระบวนการไต่สวน และหลังจากนั้นได้มีการแถลงการปิดคดี ประการแรก อสส.แก้ตัวว่าสำนวนส่งให้วันที่ 26 มิ.ย.2549 วันรุ่งขึ้นเวลา 09.00 เศษ คณะทำงานของ อสส.ได้แถลงข่าวว่าพยานหลักฐานฟังได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำความผิดต่อความมั่นคง ทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงร้องขอให้มีการยุบพรรค โดยมีเอกสารเกือบ 1,500 หน้า เทวดาที่ไหนก็อ่านได้หมด การอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์นั้นต้องใช้ความรอบครอบ ละเอีย และให้ความเป็นธรรม ซึ่งทั้ง 1,500 หน้าไม่มีทางที่จะให้กรรมการทุกคนได้อ่านและวินิจฉัยจนครบ ดังนั้นสิ่งที่ปรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี
“การพิจารณาอัยการสูงสุดในการพิจาณราเอกสารกว่าพันเกิดจากอคติ ด้วยการอ่านเอกสารเพียงชั่วข้ามคืน ไม่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ในเอกสารของอัยการสูงสุดยังยืนยันว่าผมกระทำความผิดฐานออกไปปลิวและปราศัยให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งโดยกาในช่องไม่เลือกใคร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและระบุว่าเป็นสิทธิ์ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ และมีมติเอกฉันท์ว่าผมไม่ผิด แต่อัยการสูงสุดยังนำมาบรรยายลงในคำร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขัดกับหลักฐานของกกต.ที่อัยการสูงสุดรับไปอ่าน อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีอคติแล้วจะเรียกว่าอย่างไร” นายถาวร
ส่วนกรณีที่ อัยการสูงสุดได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นนายถาวร กล่าวว่า ขอยืนยันว่าก่อนที่นายพชร ยุติธรรมดำรง ก่อนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งอัยการสุงสุด อยู่ในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด อยู่ในโผรายชื่อลำดับที่ 3 ซึ่งความจริงแล้ววัฒนธรรมและทำเนียมประเพณีในการแต่งตั้งอัยกรสูงสุดนั้นแม้ว่าจะมีการลงคะแนนของกรรมการในอัยการสูงสุดก็ตาม แต่คณะกรรมการอัยการนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะไม่เคยเอารองอาวุโสอันดับ 3 ขึ้นเป็นอัยการสูงสุด แต่ในยุคของ นายพชร มีการข้ามคนอื่นมาถึงขนาดนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ อาวุโสสูงสุดได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรม และจะต้องลาออก เพราะไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งอัยการสูงสุดได้
“เรื่องนี้ในวงการอัยการได้มีการกล่าวขานกันมากว่าการแต่งตั้งอัยการสูงสุดแม้จะมีการลงมติจากกรรมการแต่ยังมีการล็อบบี้ ถ้าใครบอกว่าไม่มีการบล็อบบี้ให้มาเถียงกับผมได้ ดังนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งของนายพชร เป็นการเข้าสู่ตำแหน่งที่ทุกคนจับตามองว่าไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นการล็อบบี้คณะกรรมการอัยการบางคนจนกระทั่งได้รับการเลือกตั้ง และมีการกล่าวขานกันมากกว่าท่านรับใช้ระบอบทักษิณ เมื่ออัยการสุงสุดได้รับสำนวนจาก กกต.มีอยู่วันหนึ่งเกิดรายงานข่าวจากสื่อมวลชนว่า อัยการสูงสุดได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น 2-3 วันนายกรัฐมนตรีนัดประชุมข้าราชการ ซี 10-11 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการตั้งคำถามให้หน้าม้าคนหนึ่งเอาใจระบอบทักษิณ และหน้าม้าที่ลูกขึ้นตอบและเอาใจระบอบทักษิณคือ ท่านอัยการสูงสุด ซึ่งยังมีภาพอยู่ในสื่อผมยังได้บันทึกเอาไว้ด้วย ดังนั้นข้อระแวงในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้รักษาความยุติธรรม จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะผู้เป็นสมาชิกพรรคที่ถูกยืนให้ยุบพรรค หรือการยื่นคำร้องที่เป็นเท็จ โดยการพิจารณาอย่างเร่งร้อน เร่งรีบ รุกลี้รุกลน ดังนั้นเราจึงต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาร้องที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ” นายถาวร กล่าว
รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดระบุว่าได้มีการพิจารณาสำนวนการยุบพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน ว่า อยากให้อัยการสูงสุดนำเอกสารชุดนี้มาเปิดเผยให้สาธารณและสื่อมวลชนได้รับทราบ เพราะช่วงตั้งแต่วันไต่สวนและส่งพยานหลักฐานให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น อัยการสูงสุดไม่ได้ส่งสำนวนที่ระบุว่าได้มีการพิจารณาสำนวนมาก่อนให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การกล่าวอ้างลอยๆ ว่าได้มีการพิจารณาสำนวนมาก่อนเป็นการแก้เกี้ยวเพื่อให้เห็นว่าตัวเอง ได้ให้ความเอาใจใส่เรื่องนี้มาก่อน ทั้งยังเอาสำนวนจากที่อื่นมาพิจาณาประกอบ ที่มาจากวงเสวนา สภากาแฟ มาพิจารณากับสำนวนของกกต. เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วประชาชนจะพึ่งใคร ถือว่าอัยการสูงสุดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การทำงานของอัยการไม่ใช่คู่คีดีกับทุกพรรคที่จะถูกยุบ แต่อัยการเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
“ผมขอเตือยนายพชร ที่จะเหลืออายุการทำงานเพียงไม่กี่เดือนว่า ขณะนี้นายใหญ่ของท่านได้หลบลี้ไปอยู่ต่างประเทศ จึงขอให้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่และให้ทบทวนในสิ่งที่เคยปฏิบัติไว้ คำร้องที่ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นเท็จยังปรากฎอยู่ อย่าคิดว่าประชาธิปัตย์จะทำอะไรท่านไม่ได้ หากคำแถลงปิดคดีของพรรคเป็นความผิดขอให้ท่านได้ดำเนินการกับพรรปได้เลย และผมในฐานะที่เป็นคนเขียนแถลงการณ์ของพรรคได้ใช้ความระมัดระวังและเคารพของทุกฝ่ายตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดี” นายพชร กล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องกลับนายพชรหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า พรรคอยู่ในระหว่งการพิจารณา เพราะไม่เช่นนั้นเป็นเยี่ยงอย่างกับอัยการสูงสุด เมื่อฝ่ายการเมืองเข้ามามีอำนาจ การที่ข้าราชการเข้าไปยึดเกาะโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรมแล้วยังคงลอยนวล จะกลายเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป แต่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์อาฆาตมาดร้าย แต่อยากให้อัยการทำตัวเป็นหลักยึดให้กับบ้านเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2550--จบ--