วันนี้ (12 ธ.ค. 50) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชา ธิปัตย์ แถลงว่า กรณีที่มีข่าวเรื่องการปรับและเพิ่ม ครม. ของรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรีที่จะใช้ดุลยพินิจปรับเปลี่ยนหรือเพิ่ม บุคคลเข้าไปช่วยงานในกระทรวงต่าง ๆ ได้ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว ) พ.ศ. 2549 มาตรา 14 ได้บัญญัติว่า พระมหา กษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน ตาม ที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ที่ผ่านมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งรัฐมนตรีเพียง 26 คน และเพิ่มเติมภายหลังอีก 2 คน รวมเป็น 28 คน ซึ่งยังสามารถที่ จะแต่งตั้งเพิ่มเติมได้อีก 7 คน
ซึ่งถ้าหาก ดูความจำเป็น และภาระ หน้าที่ ของแต่ละกระทรวงแล้วถือได้ว่ายังมีรัฐมนตรีจำนวนน้อยกว่างานที่ต้อง รับผิดชอบ ประกอบกับรัฐมนตรีแต่ละคนก็เป็นผู้อาวุโส มีข้อจำกัดในการที่จะลุยงาน หนักของแต่ละกระทรวงได้ ขอสนับสนุนถ้าหากนายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะตั้งรัฐมนตรี เข้ามาช่วยงานเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีให้เหมาะสมกับงานที่รับผิดชอบใน แต่ละกระทรวง เพราะวันนี้จะหวังพึ่งข้าราชการประจำเพื่อเป็นแขนขาหรือกลไกในการ ทำงาน อาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ต้องยอมรับความจริงว่า ระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ เข้าไปครอบงำกลไกของข้าราชการแทบหมดสิ้น ข้าราชการระดับปลัด กระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของระบอบ ทักษิณทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่ถูกระบอบ ทักษิณเข้าไปแทรกแซงและใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองมาก ที่สุด 80 เปอร์เซ็นต์ของตำรวจล้วนแล้วมาจากการแต่งตั้งและสนับสนุนของ พ.ต.ท. ทักษิณแทบทั้งสิ้น จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นรัฐตำรวจ วันนี้ข้าราชการเหล่า นั้นเพิกเฉยต่อหน้าที่หรือใส่เกียร์ว่างในการทำงาน เพื่อรอคอยความเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และรัฐบาลชุดนี้มีภารกิจเพียง 1 ปี ในการ ฟื้นฟูประเทศ และวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 9 เดือนเท่านั้น ทำให้คนของระบอบ ทักษิณใส่เกียร์ว่างนับถอยหลังเพื่อรอคอยวันหมดอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ เพราะ ฉะนั้นควรจะมีรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อเข้าไปผลักดันงานด้านนโยบายและรื้อฟื้นการ ทุจริตในโครงการต่าง ๆ ส่งให้ คตส.หรือ ปปช.เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายต่อ ไป และเปลี่ยนแปลงระบบข้าราชการครั้งใหญ่ เพื่อให้ระบอบทักษิณได้หมดสิ้นจาก สังคมไทย เพื่อเป็นคำตอบให้กับเหตุผลของ คมช. ที่เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ม.ค. 2550--จบ--
ซึ่งถ้าหาก ดูความจำเป็น และภาระ หน้าที่ ของแต่ละกระทรวงแล้วถือได้ว่ายังมีรัฐมนตรีจำนวนน้อยกว่างานที่ต้อง รับผิดชอบ ประกอบกับรัฐมนตรีแต่ละคนก็เป็นผู้อาวุโส มีข้อจำกัดในการที่จะลุยงาน หนักของแต่ละกระทรวงได้ ขอสนับสนุนถ้าหากนายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะตั้งรัฐมนตรี เข้ามาช่วยงานเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีให้เหมาะสมกับงานที่รับผิดชอบใน แต่ละกระทรวง เพราะวันนี้จะหวังพึ่งข้าราชการประจำเพื่อเป็นแขนขาหรือกลไกในการ ทำงาน อาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ต้องยอมรับความจริงว่า ระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ เข้าไปครอบงำกลไกของข้าราชการแทบหมดสิ้น ข้าราชการระดับปลัด กระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของระบอบ ทักษิณทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่ถูกระบอบ ทักษิณเข้าไปแทรกแซงและใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองมาก ที่สุด 80 เปอร์เซ็นต์ของตำรวจล้วนแล้วมาจากการแต่งตั้งและสนับสนุนของ พ.ต.ท. ทักษิณแทบทั้งสิ้น จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นรัฐตำรวจ วันนี้ข้าราชการเหล่า นั้นเพิกเฉยต่อหน้าที่หรือใส่เกียร์ว่างในการทำงาน เพื่อรอคอยความเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และรัฐบาลชุดนี้มีภารกิจเพียง 1 ปี ในการ ฟื้นฟูประเทศ และวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 9 เดือนเท่านั้น ทำให้คนของระบอบ ทักษิณใส่เกียร์ว่างนับถอยหลังเพื่อรอคอยวันหมดอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ เพราะ ฉะนั้นควรจะมีรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อเข้าไปผลักดันงานด้านนโยบายและรื้อฟื้นการ ทุจริตในโครงการต่าง ๆ ส่งให้ คตส.หรือ ปปช.เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายต่อ ไป และเปลี่ยนแปลงระบบข้าราชการครั้งใหญ่ เพื่อให้ระบอบทักษิณได้หมดสิ้นจาก สังคมไทย เพื่อเป็นคำตอบให้กับเหตุผลของ คมช. ที่เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ม.ค. 2550--จบ--