โอกาสของธุรกิจอาหารในโรมาเนียและบัลแกเรียหลังเข้าเป็นสมาชิก EU

โรมาเนียและบัลแกเรียเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (European Union : EU) ลำดับที่ 26 และ 27 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 ส่งผลให้ EU ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลกมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 27 ประเทศ จากเดิม 25 ประเทศ อีกทั้งยังทำให้ EU มีประชากรเพิ่มขึ้นอีกกว่า 30 ล้านคน รวมเป็น 490 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 14,470 พันล้านยูโร ทั้งนี้ การเข้าร่วมเป็นสมาชิก EU ของโรมาเนียและบัลแกเรีย ทำให้ทั้งสองประเทศต้องปรับเปลี่ยนกฎระเบียบและมาตรการทั้งด้านการค้าและการลงทุนให้ สอดคล้องกับ EU ซึ่งเอื้อต่อโอกาสการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ดังนี้
โอกาสด้านการลงทุน
* ร้านอาหารและภัตตาคาร มีโอกาสขยายการลงทุนได้อีกมาก เนื่องจากการเข้าเป็นสมาชิก EU ทำให้การเดินทางเข้าประเทศโรมาเนียและบัลแกเรียของสมาชิก EU สะดวกขึ้น เมื่อประกอบกับโรมาเนียและบัลแกเรียเป็นประเทศที่มีทัศนียภาพสวยงาม และมีค่าครองชีพไม่สูงนัก ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวยุโรปตะวันตกจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในโรมาเนียและบัลแกเรียมากขึ้น อันเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เอื้อต่อการทำธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าเป็นสมาชิก EU ทำให้คาดว่าชาวโรมาเนียและบัลแกเรียจะมีรายได้ดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิก EU และการได้รับเงินอุดหนุนจาก EU ภายใต้นโยบายเกษตรร่วม ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ชาวโรมาเนียและบัลแกเรียมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น การรับประทานอาหารนอกบ้านในร้านอาหารและภัตตาคารจึงเป็นแนวโน้มใหม่เช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่ประชากรมีรายได้สูงขึ้น
* อุตสาหกรรมผลิตอาหาร ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของโรมาเนียและบัลแกเรียส่วนใหญ่ยังผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานตามที่ EU กำหนด โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) ซึ่งครอบคลุม ทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่วัตถุดิบไปจนแปรรูปเป็นอาหารสำเร็จรูป รวมถึงการเก็บรักษา การขนส่ง และการจำหน่ายปลีกซึ่งต้องสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาในทุกขั้นตอนได้ ความเข้มงวดดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการบางส่วน โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีเงินทุนน้อย ประสบปัญหาในการปรับปรุงมาตรฐานการผลิต และอาจต้องเลิกกิจการในที่สุด เมื่อประกอบกับโรมาเนียและบัลแกเรียต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์การลงทุนในประเทศให้เปิดกว้างมากขึ้นตามระเบียบของ EU อาทิ การยกเว้นภาษีที่ดิน และภาษีเงินได้ จึงเอื้อต่อการลงทุนของผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมอาหารจากประเทศสมาชิกอื่นใน EU และประเทศนอกกลุ่ม
โอกาสด้านการค้า
* การส่งออกสินค้าอาหารมีแนวโน้มขยายตัวสูง เนื่องจากเมื่อทั้งสองประเทศเข้าเป็นสมาชิก EU จะต้องปรับลดอัตราภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากประเทศในกลุ่ม EU และประเทศนอกกลุ่ม EU ซึ่งอยู่ในระดับสูง (อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของบัลแกเรียเดิมอยู่ที่ร้อยละ 12 ขณะที่โรมาเนียอยู่ที่ร้อยละ 18.4) ให้เป็นอัตราเดียวกันกับอัตราภาษีนำเข้าที่ EU เรียกเก็บ (อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของ EU ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 6.3) อาทิ บัลแกเรียซึ่งเดิมเรียกเก็บภาษีนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งจากไทยในอัตราร้อยละ 20-25 ต้องปรับลดอัตราภาษีนำเข้าให้เหลือเท่ากับที่ EU เรียกเก็บจากไทยในอัตราร้อยละ 4.2
ทั้งนี้ โอกาสที่เปิดกว้างทั้งด้านการค้าและการลงทุนหลังจากโรมาเนียและบัลแกเรียเข้าเป็นสมาชิก EU คาดว่าจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกสินค้าอาหารของไทยที่สามารถปรับปรุงการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดของ EU โดยเฉพาะการส่งออกอาหารทะเลคาดว่าจะมีโอกาสขยายตัวสูงเนื่องจากโรมาเนียเละบัลแกเรียไม่มีพื้นที่ติดทะเล นอกจากนี้ ร้านอาหารไทยเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีแนวโน้มขยายตัวดี และมีโอกาสเข้าไปลงทุนได้สะดวกมากขึ้นแล้ว ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเพียงแห่งเดียวในกรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงของประเทศโรมาเนีย ขณะที่ในประเทศบัลแกเรียยังไม่มีร้านอาหารไทย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กุมภาพันธ์ 2550--
-พห-