ตามที่มีสื่อมวลชนรายงานข่าวว่า ธปท. แก้ไข พรบ. เงินตราเพื่อเป็นการรวมบัญชีของทุนสำรองเงินตรา (คลังหลวง) และบัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร (ธปท.) เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ ธปท.สามารถล้างขาดทุนสะสม นั้น ธปท.ขอเรียนชี้แจงว่ารายงานข่าวดังกล่าวไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริงแต่ประการใด
เพื่อให้สาธารณชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไข พรบ. เงินตรา ธปท.ขอยืนยันว่าในร่างแก้ไข พรบ. เงินตรา ไม่มีข้อความที่กำหนดให้มีการรวมบัญชีของทุนสำรองเงินตรา (คลังหลวง) และบัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร (ธปท.) เข้าด้วยกันเพื่อล้างขาดทุนสะสมของ ธปท. ดังนั้นภายหลังการแก้ พรบ. ดังกล่าวแล้ว ผลการขาดทุนก็ยังคงอยู่ที่บัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร ธปท. ตามเดิม
การแก้ไข พรบ. เงินตรา มีหลักการและสาระที่สำคัญ คือ เพื่อให้การบริหารจัดการสินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตรามีประสิทธิภาพมากขึ้นและสอดคล้องกับพัฒนาการของตลาดการเงินโลก และเพื่อให้การบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตรามีความเหมาะสมกับภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยการปรับปรุงวิธีการบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตราตาม พรบ. เงินตราฉบับใหม่ ให้บันทึกผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี และให้บันทึกกำไรหรือขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษ ทั้งนี้เพื่อให้การแสดงผลกำไรขาดทุนในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมีความถูกต้องแท้จริงในแต่ละขณะ และแสดงประสิทธิภาพการบริหารจัดการของ ธปท. ได้อย่างถูกต้อง
ในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว นอกจากการบังคับให้ ธปท. ต้องแยกสินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตราไว้ต่างหากจากสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่ปฏิบัติเช่นเดิมแล้ว ยังเพิ่มเงื่อนไข หรือกรอบให้ ธปท. ต้องบริหารจัดการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง และผลประโยชน์ตอบแทน ของสินทรัพย์ ตลอดจนความเสี่ยงในการบริหารจัดการเป็นสำคัญ ธปท. จึงไม่อาจใช้เงินทุนสำรองเงินตราไปบริหารจัดการ เช่น การทำธุรกรรมซื้อขายล่วงหน้า (Swap, Forward) อย่างไม่มีข้อจำกัด ใด ๆ นอกจากนี้ ธปท. ก็เป็นหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของ สตง. ดังนั้น การแก้ไขกฎหมาย จึงเป็นการเพิ่มระบบที่จะจำกัดขอบเขตการบริหารจัดการสินทรัพย์ และระบบตรวจสอบให้รัดกุมยิ่งขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
เพื่อให้สาธารณชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไข พรบ. เงินตรา ธปท.ขอยืนยันว่าในร่างแก้ไข พรบ. เงินตรา ไม่มีข้อความที่กำหนดให้มีการรวมบัญชีของทุนสำรองเงินตรา (คลังหลวง) และบัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร (ธปท.) เข้าด้วยกันเพื่อล้างขาดทุนสะสมของ ธปท. ดังนั้นภายหลังการแก้ พรบ. ดังกล่าวแล้ว ผลการขาดทุนก็ยังคงอยู่ที่บัญชีของฝ่ายกิจการธนาคาร ธปท. ตามเดิม
การแก้ไข พรบ. เงินตรา มีหลักการและสาระที่สำคัญ คือ เพื่อให้การบริหารจัดการสินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตรามีประสิทธิภาพมากขึ้นและสอดคล้องกับพัฒนาการของตลาดการเงินโลก และเพื่อให้การบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตรามีความเหมาะสมกับภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยการปรับปรุงวิธีการบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตราตาม พรบ. เงินตราฉบับใหม่ ให้บันทึกผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี และให้บันทึกกำไรหรือขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษ ทั้งนี้เพื่อให้การแสดงผลกำไรขาดทุนในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมีความถูกต้องแท้จริงในแต่ละขณะ และแสดงประสิทธิภาพการบริหารจัดการของ ธปท. ได้อย่างถูกต้อง
ในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว นอกจากการบังคับให้ ธปท. ต้องแยกสินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตราไว้ต่างหากจากสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่ปฏิบัติเช่นเดิมแล้ว ยังเพิ่มเงื่อนไข หรือกรอบให้ ธปท. ต้องบริหารจัดการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง และผลประโยชน์ตอบแทน ของสินทรัพย์ ตลอดจนความเสี่ยงในการบริหารจัดการเป็นสำคัญ ธปท. จึงไม่อาจใช้เงินทุนสำรองเงินตราไปบริหารจัดการ เช่น การทำธุรกรรมซื้อขายล่วงหน้า (Swap, Forward) อย่างไม่มีข้อจำกัด ใด ๆ นอกจากนี้ ธปท. ก็เป็นหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของ สตง. ดังนั้น การแก้ไขกฎหมาย จึงเป็นการเพิ่มระบบที่จะจำกัดขอบเขตการบริหารจัดการสินทรัพย์ และระบบตรวจสอบให้รัดกุมยิ่งขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--