กรุงเทพฯ--5 ก.พ.--ปชป.
ยุทธศาสตร์การปราศรัยหาเสียงพรรคปชป.เน้นหลักการปราศรัยให้ประชาชนเห็นถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า จะมีผลที่ทำให้ฝ่ายค้านมีความเข้มแข็งมากขึ้น มากกว่าไปเพิ่มคะแนนเสียงของรัฐบาล ส่วนบรรยากาศในการปราศรัยประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศ การปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ในเขตในการเลือกตั้งซ่อมที่มีอยู่ 4 จุด คือ กรุงเทพมหานคร เขต 26 เขตมีนบุรี ส่วนที่จ.มหาสารคาม ,จ.ลพบุรี และจ.สิงห์บุรีซึ่งบรรยากาศในการปราศรัยทั้ง 4 จุด เป็นไปด้วยความคึกคัก และมีผู้สมัครของพรรค ส.ส.ของพรรค รวมถึงประชาชนผู้ที่สนับสนุนมารับการฟังปราศรัยการอย่างคึกคักในทุกที่ โดยที่ จ.มหาสารคาม นำทีมการปราศรัย โดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรค นายสุทัศน์ เงินหมื่น รองหัวหน้าพรรค รวมถึง ส.ส. ในภาคอีสาน และ ส.ส. อีกหลายจังหวัดไปช่วยกัน ในการปราศรัยหาเสียงในครั้งนี้
ส่วนที่ จ.สิงห์บุรี ,จ. ลพบุรี นำทีมโดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กรรมการบริหารพรรค และมี ส.ส. ที่ไปรวมการปราศรัยอีกหลายท่าน
ส่วนที่กรุงเทพฯ ได้มีการปราศรัยในช่วงเย็น ที่ตลาดมีนบุรี ซึ่งในการปราศรัยครั้งนี้ ได้มีผู้ที่ร่วมฟังการปราศรัยอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีสื่อมวลชนไปรอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก
โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองหัวหน้าพรรค ได้กล่าวถึงแนวทางการทำการเมืองของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคว่า เป็นแนวทางการเมือง ที่ทำให้การเมืองเกิดความปั่นป่วน เพราะมีการรวมพรรค และนำเอา ส.ส. เข้าไปอยู่ในสังกัดกันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นเผด็จการในสภาได้ในอนาคต รวมถึงมีนโยบายหลายอย่างที่เวลาหาเสียงก็ใช้วิธีการตลาดในการประชาสัมพันธ์ และในที่สุดเมื่อทำไม่ได้เกิดปัญหาขึ้นชาวบ้านก็บ่นกันมาก เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งชาวบ้านก็บ่นกันว่ากลายเป็นโครงการ 30 บาทตายทุกโรค เป็นต้น
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค ได้ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจใส่ในพื้นที่ของผู้สมัครของพรรค ไม่ว่าจะเป็นนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เขต 4 พญาไท นายสมัย เจริญช่าง เขต 26 มีนบุรี ว่าเป็นนักการเมืองที่คลุกคลีในพื้นที่ และประกาศตัวเป็นนักการเมืองอาชีพ คือไม่ว่าจะได้เป็น ส.ส. หรือไม่ ก็จะทำงานในพื้นที่ตลอดเวลา รวมทั้งการเป็นนักการเมืองอาชีพ ต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดไปแล้ว และไม่ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม นักการเมืองคนนั้นก็ต้องทำการเมืองต่อไป ไม่เหมือนกับบางคนที่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็จะหายไป พอตัวเองจะได้เป็นรัฐบาลก็กลับมาเป็นนักการเมืองอีก
ซึ่งในการปราศรัยในครั้งนี้ยุทธศาสตร์หลักในการปราศรัยจะเน้นไปที่ให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะแตกต่างกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่ในการเลือกตั้งครั้ง นี้จะไม่มีผลที่จะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีผลที่จะทำให้ฝ่ายค้านเข้มแข็งขึ้น ถ้าหากว่าประชานหันมาให้การสนับสนุนกับฝ่ายค้านซึ่งประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับการปราศรัยในครั้งต่อไป ก็จะมีการปราศรัยวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ จ. เพชรบูรณ์ และในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ จ.จันทบุรี--จบ--
-สส-
ยุทธศาสตร์การปราศรัยหาเสียงพรรคปชป.เน้นหลักการปราศรัยให้ประชาชนเห็นถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า จะมีผลที่ทำให้ฝ่ายค้านมีความเข้มแข็งมากขึ้น มากกว่าไปเพิ่มคะแนนเสียงของรัฐบาล ส่วนบรรยากาศในการปราศรัยประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศ การปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ในเขตในการเลือกตั้งซ่อมที่มีอยู่ 4 จุด คือ กรุงเทพมหานคร เขต 26 เขตมีนบุรี ส่วนที่จ.มหาสารคาม ,จ.ลพบุรี และจ.สิงห์บุรีซึ่งบรรยากาศในการปราศรัยทั้ง 4 จุด เป็นไปด้วยความคึกคัก และมีผู้สมัครของพรรค ส.ส.ของพรรค รวมถึงประชาชนผู้ที่สนับสนุนมารับการฟังปราศรัยการอย่างคึกคักในทุกที่ โดยที่ จ.มหาสารคาม นำทีมการปราศรัย โดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรค นายสุทัศน์ เงินหมื่น รองหัวหน้าพรรค รวมถึง ส.ส. ในภาคอีสาน และ ส.ส. อีกหลายจังหวัดไปช่วยกัน ในการปราศรัยหาเสียงในครั้งนี้
ส่วนที่ จ.สิงห์บุรี ,จ. ลพบุรี นำทีมโดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กรรมการบริหารพรรค และมี ส.ส. ที่ไปรวมการปราศรัยอีกหลายท่าน
ส่วนที่กรุงเทพฯ ได้มีการปราศรัยในช่วงเย็น ที่ตลาดมีนบุรี ซึ่งในการปราศรัยครั้งนี้ ได้มีผู้ที่ร่วมฟังการปราศรัยอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีสื่อมวลชนไปรอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก
โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองหัวหน้าพรรค ได้กล่าวถึงแนวทางการทำการเมืองของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคว่า เป็นแนวทางการเมือง ที่ทำให้การเมืองเกิดความปั่นป่วน เพราะมีการรวมพรรค และนำเอา ส.ส. เข้าไปอยู่ในสังกัดกันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นเผด็จการในสภาได้ในอนาคต รวมถึงมีนโยบายหลายอย่างที่เวลาหาเสียงก็ใช้วิธีการตลาดในการประชาสัมพันธ์ และในที่สุดเมื่อทำไม่ได้เกิดปัญหาขึ้นชาวบ้านก็บ่นกันมาก เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งชาวบ้านก็บ่นกันว่ากลายเป็นโครงการ 30 บาทตายทุกโรค เป็นต้น
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค ได้ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจใส่ในพื้นที่ของผู้สมัครของพรรค ไม่ว่าจะเป็นนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เขต 4 พญาไท นายสมัย เจริญช่าง เขต 26 มีนบุรี ว่าเป็นนักการเมืองที่คลุกคลีในพื้นที่ และประกาศตัวเป็นนักการเมืองอาชีพ คือไม่ว่าจะได้เป็น ส.ส. หรือไม่ ก็จะทำงานในพื้นที่ตลอดเวลา รวมทั้งการเป็นนักการเมืองอาชีพ ต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดไปแล้ว และไม่ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม นักการเมืองคนนั้นก็ต้องทำการเมืองต่อไป ไม่เหมือนกับบางคนที่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็จะหายไป พอตัวเองจะได้เป็นรัฐบาลก็กลับมาเป็นนักการเมืองอีก
ซึ่งในการปราศรัยในครั้งนี้ยุทธศาสตร์หลักในการปราศรัยจะเน้นไปที่ให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะแตกต่างกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่ในการเลือกตั้งครั้ง นี้จะไม่มีผลที่จะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีผลที่จะทำให้ฝ่ายค้านเข้มแข็งขึ้น ถ้าหากว่าประชานหันมาให้การสนับสนุนกับฝ่ายค้านซึ่งประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับการปราศรัยในครั้งต่อไป ก็จะมีการปราศรัยวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ จ. เพชรบูรณ์ และในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ จ.จันทบุรี--จบ--
-สส-