คุณถาม : สินค้าใดของไทยที่มีศักยภาพในกลุ่มประเทศเอเชียกลาง
EXIM ตอบ : กลุ่มประเทศเอเชียกลาง (Central Asia Countries) ประกอบด้วย 5 ประเทศ คือ คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน
เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งล้วนเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งแยกตัวเป็นอิสระ และมีเอกราชในการปกครองตนเองภายหลัง
การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตเมื่อปลายปี 2534
กลุ่มประเทศเอเชียกลางจัดเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจของไทย เนื่องจากมีประชากรรวมกันถึง 56.2 ล้านคน โดยอุซเบกิสถาน
มีประชากรมากที่สุดถึง 25 ล้านคน รองลงมา คือ คาซัคสถาน (14.9 ล้านคน) ทาจิกิสถาน (6.2 ล้านคน) คีร์กิซสถาน (4.7
ล้านคน) และเติร์กเมนิสถาน (5.4 ล้านคน) ทั้งนี้ ประชากรในกลุ่มประเทศเอเชียกลางมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีราว 493
ดอลลาร์สหรัฐ โดยคาซัคสถานมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี สูงที่สุดถึง 1,225 ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมา คือ เติร์กเมนิสถาน (553
ดอลลาร์สหรัฐ) คีร์กิซสถาน (275 ดอลลาร์สหรัฐ) อุซเบกิสถาน (252 ดอลลาร์สหรัฐ) และทาจิกิสถาน (160 ดอลลาร์สหรัฐ)
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2544 ไทยส่งสินค้าออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียกลางจำนวน 189.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 87.9%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาซัคสถาน คีร์กิซสถาน และอุซเบกิสถานนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ทาจิกิสถานและเติร์กเมนิ
สถานนำเข้าจากไทยลดลง
สำหรับสินค้าของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียกลาง พอสรุปได้ดังนี้
คุณถาม : ปัจจุบันประเทศใดนำเข้าเครื่องหนังมากที่สุดในโลก
EXIM ตอบ : สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่นำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังมากที่สุดในโลก โดยมีรองเท้าหนังเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่นำเข้ามากที่สุด
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และมีมูลค่านำเข้ามากถึง 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่ง
แรกของปี 2544 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2543)แหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่
จีน (มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ถึงกว่าร้อยละ 50) อิตาลี (ร้อยละ 10) บราซิล (ร้อยละ 6) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 5)
และไทย (ร้อยละ 4)
ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยที่มีมูลค่าส่งออกสูงในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ กระเป๋าเดินทาง รองเท้าหนัง รวมทั้งถุงมือหนัง ของเล่น
สำหรับสัตว์เลี้ยง กระเป๋าถือ และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอื่นๆ เช่น ปลอกเบาะเฟอร์นิเจอร์ กล่องใส่เครื่องประดับ เป็นต้น
แม้สหรัฐฯ จะนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากไทยมากเป็นอันดับ 5 แต่ส่วนแบ่งตลาดของไทยยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศคู่
แข่งสำคัญ โดยเฉพาะเครื่องหนังในตลาดระดับล่างเนื่องจากไทยมีต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น จีน อินโดนีเซีย
และบราซิล ขณะที่ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในตลาดระดับบนไทยก็ยังเสียเปรียบคู่แข่ง เช่น อิตาลี ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์และการเป็นเจ้าของตราสินค้าที่มีชื่อเสียงของโลก ประกอบกับการที่อิตาลียังเป็นแหล่งผลิตหนังฟอกคุณภาพดีที่ใช้เป็น
วัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่สำคัญแห่งหนึ่งด้วย
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดทั้งในสหรัฐฯ และตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบ
การไทยควรให้ความสำคัญกับการผลิตเครื่องหนังคุณภาพดีเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดระดับล่าง ด้วยการเร่งพัฒนารูปแบบ
ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการสร้างตราสินค้าของ
ไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของนานาประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทย นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรเร่งส่งเสริมและพัฒนาการผลิตหนังฟอกที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้มีคุณภาพสูงขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ เพื่อลด
การนำเข้าและช่วยลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการอีกด้วย
คุณถาม : เครื่องหมาย CE ที่ติดอยู่บนสินค้าต่างๆ คืออะไร
EXIM ตอบ : เครื่องหมาย CE (Conformite' Europe'enne) คือ เครื่องหมายที่สหภาพยุโรป (European Union: EU) เป็นผู้ริเริ่มนำ
มาใช้ โดยกำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าติดเครื่องหมาย CE ลงบนสินค้าต่างๆ ที่จำหน่ายในกลุ่ม EU เพื่อแสดงว่าสินค้านั้นมีคุณสมบัติและ
ความปลอดภัยตามมาตรฐานที่ EU กำหนดไว้ในแต่ละประเภท ซึ่ง EU กำหนดให้สินค้าเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องคำนึง
ถึงความปลอดภัยค่อนข้างสูงต้องติดเครื่องหมาย CE ก่อนวางจำหน่ายได้ในกลุ่ม EU และประเทศในกลุ่ม EU ต้องยอมให้สินค้าที่
ติดเครื่องหมาย CE สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีภายในกลุ่ม EU โดยไม่สามารถนำมาตรฐานที่แต่ละประเทศกำหนดมา
ปฏิเสธการเคลื่อนย้ายสินค้านั้นได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่ให้การรับรองสินค้านั้น (third party) สามารถติด
เครื่องหมาย CE ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้หน่วยงานใน EU เป็นผู้รับรอง ยกเว้นสินค้าที่มีความเสี่ยงว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย
ต่อผู้บริโภคสูง จึงจำเป็นจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานใน EU ที่กำกับดูแลสินค้าดังกล่าวโดยเฉพาะก่อนอนุญาตให้วาง
จำหน่ายในกลุ่ม EU อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเครื่องหมาย CE ต้องรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการ
ใช้สินค้าดังกล่าวด้วย
ข้อมูลจาก : ฝ่ายวิชาการและแผนงาน
--Exim News ปีที่ 8 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนเมษายน 2545--
-อน-
EXIM ตอบ : กลุ่มประเทศเอเชียกลาง (Central Asia Countries) ประกอบด้วย 5 ประเทศ คือ คาซัคสถาน คีร์กิซสถาน ทาจิกิสถาน
เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งล้วนเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งแยกตัวเป็นอิสระ และมีเอกราชในการปกครองตนเองภายหลัง
การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตเมื่อปลายปี 2534
กลุ่มประเทศเอเชียกลางจัดเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจของไทย เนื่องจากมีประชากรรวมกันถึง 56.2 ล้านคน โดยอุซเบกิสถาน
มีประชากรมากที่สุดถึง 25 ล้านคน รองลงมา คือ คาซัคสถาน (14.9 ล้านคน) ทาจิกิสถาน (6.2 ล้านคน) คีร์กิซสถาน (4.7
ล้านคน) และเติร์กเมนิสถาน (5.4 ล้านคน) ทั้งนี้ ประชากรในกลุ่มประเทศเอเชียกลางมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีราว 493
ดอลลาร์สหรัฐ โดยคาซัคสถานมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี สูงที่สุดถึง 1,225 ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมา คือ เติร์กเมนิสถาน (553
ดอลลาร์สหรัฐ) คีร์กิซสถาน (275 ดอลลาร์สหรัฐ) อุซเบกิสถาน (252 ดอลลาร์สหรัฐ) และทาจิกิสถาน (160 ดอลลาร์สหรัฐ)
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2544 ไทยส่งสินค้าออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียกลางจำนวน 189.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 87.9%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาซัคสถาน คีร์กิซสถาน และอุซเบกิสถานนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ทาจิกิสถานและเติร์กเมนิ
สถานนำเข้าจากไทยลดลง
สำหรับสินค้าของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียกลาง พอสรุปได้ดังนี้
คุณถาม : ปัจจุบันประเทศใดนำเข้าเครื่องหนังมากที่สุดในโลก
EXIM ตอบ : สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่นำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังมากที่สุดในโลก โดยมีรองเท้าหนังเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่นำเข้ามากที่สุด
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และมีมูลค่านำเข้ามากถึง 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่ง
แรกของปี 2544 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2543)แหล่งนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่
จีน (มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ถึงกว่าร้อยละ 50) อิตาลี (ร้อยละ 10) บราซิล (ร้อยละ 6) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 5)
และไทย (ร้อยละ 4)
ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยที่มีมูลค่าส่งออกสูงในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ กระเป๋าเดินทาง รองเท้าหนัง รวมทั้งถุงมือหนัง ของเล่น
สำหรับสัตว์เลี้ยง กระเป๋าถือ และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอื่นๆ เช่น ปลอกเบาะเฟอร์นิเจอร์ กล่องใส่เครื่องประดับ เป็นต้น
แม้สหรัฐฯ จะนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากไทยมากเป็นอันดับ 5 แต่ส่วนแบ่งตลาดของไทยยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศคู่
แข่งสำคัญ โดยเฉพาะเครื่องหนังในตลาดระดับล่างเนื่องจากไทยมีต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น จีน อินโดนีเซีย
และบราซิล ขณะที่ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในตลาดระดับบนไทยก็ยังเสียเปรียบคู่แข่ง เช่น อิตาลี ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์และการเป็นเจ้าของตราสินค้าที่มีชื่อเสียงของโลก ประกอบกับการที่อิตาลียังเป็นแหล่งผลิตหนังฟอกคุณภาพดีที่ใช้เป็น
วัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่สำคัญแห่งหนึ่งด้วย
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดทั้งในสหรัฐฯ และตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบ
การไทยควรให้ความสำคัญกับการผลิตเครื่องหนังคุณภาพดีเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดระดับล่าง ด้วยการเร่งพัฒนารูปแบบ
ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการสร้างตราสินค้าของ
ไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของนานาประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทย นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรเร่งส่งเสริมและพัฒนาการผลิตหนังฟอกที่ใช้เป็นวัตถุดิบให้มีคุณภาพสูงขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ เพื่อลด
การนำเข้าและช่วยลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการอีกด้วย
คุณถาม : เครื่องหมาย CE ที่ติดอยู่บนสินค้าต่างๆ คืออะไร
EXIM ตอบ : เครื่องหมาย CE (Conformite' Europe'enne) คือ เครื่องหมายที่สหภาพยุโรป (European Union: EU) เป็นผู้ริเริ่มนำ
มาใช้ โดยกำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าติดเครื่องหมาย CE ลงบนสินค้าต่างๆ ที่จำหน่ายในกลุ่ม EU เพื่อแสดงว่าสินค้านั้นมีคุณสมบัติและ
ความปลอดภัยตามมาตรฐานที่ EU กำหนดไว้ในแต่ละประเภท ซึ่ง EU กำหนดให้สินค้าเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องคำนึง
ถึงความปลอดภัยค่อนข้างสูงต้องติดเครื่องหมาย CE ก่อนวางจำหน่ายได้ในกลุ่ม EU และประเทศในกลุ่ม EU ต้องยอมให้สินค้าที่
ติดเครื่องหมาย CE สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีภายในกลุ่ม EU โดยไม่สามารถนำมาตรฐานที่แต่ละประเทศกำหนดมา
ปฏิเสธการเคลื่อนย้ายสินค้านั้นได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่ให้การรับรองสินค้านั้น (third party) สามารถติด
เครื่องหมาย CE ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้หน่วยงานใน EU เป็นผู้รับรอง ยกเว้นสินค้าที่มีความเสี่ยงว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย
ต่อผู้บริโภคสูง จึงจำเป็นจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานใน EU ที่กำกับดูแลสินค้าดังกล่าวโดยเฉพาะก่อนอนุญาตให้วาง
จำหน่ายในกลุ่ม EU อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเครื่องหมาย CE ต้องรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการ
ใช้สินค้าดังกล่าวด้วย
ข้อมูลจาก : ฝ่ายวิชาการและแผนงาน
--Exim News ปีที่ 8 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนเมษายน 2545--
-อน-