นายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง กรณีที่มีข่าวว่าองค์กรสำรองอาหารของอินโดนีเซีย(บูล็อก) จะมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ในการซื้อข้าวจากไทยว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่าการขายข้าวนั้นต้องทำอย่างรอบคอบ ตามปกติแล้วการซื้อขายข้าวต้องผ่านกรมการค้าต่างประเทศ แต่ที่ผ่าน อตก.ที่รัฐบาลทำนั้น ตนไม่แน่ใจว่าทำได้อย่างไร วิธีการอย่างไรที่เขาเปลี่ยนระเบียบใหม่ ซึ่งถ้าเปลี่ยนจริงมันก็ต้องผ่าน ครม. ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นกระแสข่าว ยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จึงยังไม่อยากรบเร้า แต่ถ้าบูล็อกจะยกเลิกสัญญาจริงเป็นแง่หนึ่งที่รัฐบาลจะต้องนำไปเป็นบทเรียนว่าต้องรอบคอบกว่านี้
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า การขายข้าวคงจะพูดเรื่องของการขายได้ แต่เรื่องของการปฏิบัติต้องเป็นไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องของการขาย ซึ่งผู้ที่เจรจาจะต้องเป็นกรมการค้าต่างประเทศ ของกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีนี้ถ้าทำไม่โปร่งใสในลักษณะของการขายโดยรัฐต่อรัฐ แต่ว่าคนที่จะมาส่งมอบข้าวให้รัฐ ก็จะต้องทำโดยเปิดเผย ไม่ใช่ไปบล็อกหรือว่าเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะของพรรคฝ่ายค้าน มีหน้าที่ติเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ แต่ถ้ารัฐบาลทำไปแล้วมีปัญหาตามมา จะมาหาว่าฝ่ายค้านไม่เตือน ไม่ได้--จบ--
-สส-
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า การขายข้าวคงจะพูดเรื่องของการขายได้ แต่เรื่องของการปฏิบัติต้องเป็นไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องของการขาย ซึ่งผู้ที่เจรจาจะต้องเป็นกรมการค้าต่างประเทศ ของกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีนี้ถ้าทำไม่โปร่งใสในลักษณะของการขายโดยรัฐต่อรัฐ แต่ว่าคนที่จะมาส่งมอบข้าวให้รัฐ ก็จะต้องทำโดยเปิดเผย ไม่ใช่ไปบล็อกหรือว่าเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะของพรรคฝ่ายค้าน มีหน้าที่ติเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ แต่ถ้ารัฐบาลทำไปแล้วมีปัญหาตามมา จะมาหาว่าฝ่ายค้านไม่เตือน ไม่ได้--จบ--
-สส-