แท็ก
ศาลรัฐธรรมนูญ
องอาจ โต้กลับ ให้ เสนาะ กลับไปอ่านรัฐธรรมนูญ กรณีที่นายเสนาะระบุว่า ฝ่ายค้านต้องการทำลายความตั้งใจดีของรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการ เพราะสามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายได้ตั้งแต่แรกแต่ไม่ทำ ระบุ รัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่าต้องผ่านความเห็นสองสภาจึงจะยื่นตีความได้ ยืนยัน เรื่องยังไม่น่าจบเพราะรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้เสียงข้างน้อยได้มีโอกาสที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและท้วงติง ในประเด็นที่คิดว่าจะมีผลกระทบเมื่อกฎหมายบังคับใช้ ถึงแม้ว่าเสียงข้างมากจะผ่านสภาไปแล้วก็ตาม
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. กล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษา พรรคไทยรักไทย ให้ความเห็นในเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ว่า ที่ประธานที่ปรึกษาของพรรคไทยรักไทยออกมาระบุว่า ฝ่ายค้านสามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายได้ตั้งแต่แรกแต่ไม่ทำนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งคำกล่าวนี้แสดงว่าประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญในมาตรา 262 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ จำนวนสมาชิกทั้งหมด จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นที่ร่าง พ.ร.บ. หรือข้อความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ก็ต่อเมื่อ ร่างพ.ร.บ.ใดก็ตามที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ทางพรรคฝ่ายค้านไม่มีทางเลือกอื่น จะต้องรอให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองสภาเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายค้าน ได้พูดถึงประเด็นนี้และให้แสดงความคิดเห็นท้วงติงเรื่องนี้มาตลอด เริ่มตั้งแต่วาระรับหลักการถึงขั้นวาระพิจารณาในคณะกรรมาธิการ แต่ทางเสียงข้างมากคือรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้ คิดว่ามีเสียงข้างมากก็พยายามดึงดันให้ผ่านไปให้ได้
นายองอาจ กล่าวว่า ที่นายเสนาะกล่าวว่า เรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว เพราะกฎหมายผ่านสภาไปแล้วนั้น ก็ไม่น่าใช่ เพราะสาเหตุที่ฝ่ายค้านเห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ คือ ในกฎหมายอาจจะมีข้อความที่มีความจำเป็นจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความโดยเฉพาะในมาตรา 49,50 ดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่กฎหมายสูงสุด คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้สามารถยื่นตีความได้ถึงแม้ว่าเสียงข้างมากจะผ่านสภาไปแล้วก็ตาม ก็เพื่อให้เสียงข้างน้อยได้มีโอกาสที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและท้วงติง โดยเฉพาะการทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะที่เป็นตัวแทนประชาชนให้กฎหมายออกมามีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ที่สุด รัฐธรรมนูญจึงได้ตรากฎหมายไว้เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาในประเด็นที่ฝ่ายค้านคิดว่าจะมีผลกระทบเมื่อกฎหมายบังคับใช้
นายองอาจ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่ฝ่ายค้านจะเล่นเกมการเมืองในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องการทำให้กฎหมายเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ดี ไม่ว่าฝ่ายค้านจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ กฎหมายฉบับนี้ก็จะต้องออกมาบังคับใช้อย่างแน่นอน เพียงแต่ถ้าถ้าฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็อาจจะล่าช้าออกไปบ้างแต่ก็แลกกับกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ ซึ่งก็ไม่ได้ส่งกระทบใดๆ ต่อการปฏิรูประบบราชการ เพราะรัฐบาลเองก็พูดชัดเจนว่าการปฏิรูประบบราชการไม่ได้สำเร็จเพียงแค่เฉพาะกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ จะต้องใช้ระยะเวลา เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากฎหมายนี้จะไม่ออกมาบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากฝ่ายค้านจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการปฏิรูประบบราชการ
“การที่ฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจะเป็นเรื่องยากของฝ่ายค้านเสียอีก เพราะประเด็นในข้อกฎหมายนั้นเป็นประเด็นยากที่สาธารณชนจะเข้าใจถ่องแท้ จึงถูกรัฐบาลโยนบาปให้ว่าเป็นตัวถ่วงการปฏิรูประบบราชการ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าฝ่ายค้านนิ่งเฉย ปล่อยให้กฎหมายผ่านโดยมีข้อสังเกตว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลเสียกับประชาชน” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ที่นายเสนาะยังระบุอีกว่า การออกมาดำเนินการของฝ่ายค้านเป็นการทำเพื่อความสะใจนั้น ตนยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะที่ประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ได้พิจารณาเรื่องนี้และถกเถียงกันอย่างกว้างขวางแล้วเห็นว่าควรยึดหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อพรรคมีมติเช่นนั้น แสดงว่าไม่ได้มาจากความคิดเห็นของบางคน แต่เป็นความคิดเห็นที่ปรึกษาหารือกันรอบด้านแล้ว นอกจากนั้นที่บอกว่าเป็นการทำลายความตั้งใจดีของรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการ ตนขอเรียนว่าถ้าหากนายเสนาะพิจารณาดีๆก็จะเห็นว่า ฝ่ายค้านเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีและไม่ได้ทำลายความตั้งใจดีของใคร ซึ่งครั้งที่กฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการฉบับแรก คือ พ.ร.บ.ระเบียบบริการราชการแผ่นดินจะขอความเห็นจากสภาให้ผ่านร่างกฎหมาย เราก็สนับสนุนให้มีการผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่พบสาระสำคัญใดที่จะต้องยื่นตีความ--จบ--
-สส-
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. กล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษา พรรคไทยรักไทย ให้ความเห็นในเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ว่า ที่ประธานที่ปรึกษาของพรรคไทยรักไทยออกมาระบุว่า ฝ่ายค้านสามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายได้ตั้งแต่แรกแต่ไม่ทำนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งคำกล่าวนี้แสดงว่าประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญในมาตรา 262 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ จำนวนสมาชิกทั้งหมด จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นที่ร่าง พ.ร.บ. หรือข้อความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ก็ต่อเมื่อ ร่างพ.ร.บ.ใดก็ตามที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ทางพรรคฝ่ายค้านไม่มีทางเลือกอื่น จะต้องรอให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองสภาเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายค้าน ได้พูดถึงประเด็นนี้และให้แสดงความคิดเห็นท้วงติงเรื่องนี้มาตลอด เริ่มตั้งแต่วาระรับหลักการถึงขั้นวาระพิจารณาในคณะกรรมาธิการ แต่ทางเสียงข้างมากคือรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้ คิดว่ามีเสียงข้างมากก็พยายามดึงดันให้ผ่านไปให้ได้
นายองอาจ กล่าวว่า ที่นายเสนาะกล่าวว่า เรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว เพราะกฎหมายผ่านสภาไปแล้วนั้น ก็ไม่น่าใช่ เพราะสาเหตุที่ฝ่ายค้านเห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ คือ ในกฎหมายอาจจะมีข้อความที่มีความจำเป็นจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความโดยเฉพาะในมาตรา 49,50 ดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่กฎหมายสูงสุด คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้สามารถยื่นตีความได้ถึงแม้ว่าเสียงข้างมากจะผ่านสภาไปแล้วก็ตาม ก็เพื่อให้เสียงข้างน้อยได้มีโอกาสที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและท้วงติง โดยเฉพาะการทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะที่เป็นตัวแทนประชาชนให้กฎหมายออกมามีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ที่สุด รัฐธรรมนูญจึงได้ตรากฎหมายไว้เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาในประเด็นที่ฝ่ายค้านคิดว่าจะมีผลกระทบเมื่อกฎหมายบังคับใช้
นายองอาจ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่ฝ่ายค้านจะเล่นเกมการเมืองในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องการทำให้กฎหมายเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ดี ไม่ว่าฝ่ายค้านจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ กฎหมายฉบับนี้ก็จะต้องออกมาบังคับใช้อย่างแน่นอน เพียงแต่ถ้าถ้าฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็อาจจะล่าช้าออกไปบ้างแต่ก็แลกกับกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ ซึ่งก็ไม่ได้ส่งกระทบใดๆ ต่อการปฏิรูประบบราชการ เพราะรัฐบาลเองก็พูดชัดเจนว่าการปฏิรูประบบราชการไม่ได้สำเร็จเพียงแค่เฉพาะกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ จะต้องใช้ระยะเวลา เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากฎหมายนี้จะไม่ออกมาบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากฝ่ายค้านจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการปฏิรูประบบราชการ
“การที่ฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจะเป็นเรื่องยากของฝ่ายค้านเสียอีก เพราะประเด็นในข้อกฎหมายนั้นเป็นประเด็นยากที่สาธารณชนจะเข้าใจถ่องแท้ จึงถูกรัฐบาลโยนบาปให้ว่าเป็นตัวถ่วงการปฏิรูประบบราชการ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าฝ่ายค้านนิ่งเฉย ปล่อยให้กฎหมายผ่านโดยมีข้อสังเกตว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลเสียกับประชาชน” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ที่นายเสนาะยังระบุอีกว่า การออกมาดำเนินการของฝ่ายค้านเป็นการทำเพื่อความสะใจนั้น ตนยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะที่ประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ได้พิจารณาเรื่องนี้และถกเถียงกันอย่างกว้างขวางแล้วเห็นว่าควรยึดหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อพรรคมีมติเช่นนั้น แสดงว่าไม่ได้มาจากความคิดเห็นของบางคน แต่เป็นความคิดเห็นที่ปรึกษาหารือกันรอบด้านแล้ว นอกจากนั้นที่บอกว่าเป็นการทำลายความตั้งใจดีของรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการ ตนขอเรียนว่าถ้าหากนายเสนาะพิจารณาดีๆก็จะเห็นว่า ฝ่ายค้านเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีและไม่ได้ทำลายความตั้งใจดีของใคร ซึ่งครั้งที่กฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการฉบับแรก คือ พ.ร.บ.ระเบียบบริการราชการแผ่นดินจะขอความเห็นจากสภาให้ผ่านร่างกฎหมาย เราก็สนับสนุนให้มีการผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่พบสาระสำคัญใดที่จะต้องยื่นตีความ--จบ--
-สส-