เศรษฐกิจยังคงขยายตัวดีในเดือนสิงหาคม ในภาคการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวสูงทั้งในหมวดอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศและที่ผลิตเพื่อการส่งออก รายได้จากการขายพืชผลของเกษตรกรขยายตัวสูงใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า ตามราคาพืชผลหลักที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าการขยายตัวของผลผลิตเกษตรจะชะลอลงบ้าง ภาคบริการก็ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน
อุปสงค์ในประเทศยังคงได้รับแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดีและมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของรายได้ในภาคเกษตร การปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการขยายตัวของปริมาณสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงในทั้งหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดก่อสร้าง ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่อภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งผลประกอบการของภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเร่งตัวมากในเดือนนี้ สำหรับมูลค่าการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ทั้งนี้ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก แต่ราคายังคงลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อต่ำ แม้จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่อัตราการว่างงานก็ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศมีความแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่อง เงินสำรองทางการเพิ่มขึ้น และหนี้ต่างประเทศลดลงตามลำดับ
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 11.4 ส่วนหนึ่งเพราะฐานปีก่อนต่ำ ประกอบกับมีปัจจัยชั่วคราว เช่น การเร่งผลิตสะสมสต๊อกในหมวดยาสูบไว้เพื่อจำหน่ายในเดือนกันยายนที่จะมีการหยุดการผลิตบางส่วน อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกันก็มีปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ส่งผลให้การผลิตขยายตัวดีในทุกหมวดอุตสาหกรรม ยกเว้นหมวดอาหารที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบบางชนิดและปัญหาสารเคมีตกค้างในกุ้ง หมวดอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงในเดือนนี้คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากการขยายตัวของการส่งออกแผงวงจรรวม หมวดยานยนต์โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์พาณิชย์และรถจักรยานยนต์ ส่วนหนึ่งเพราะการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์เหล็กและปูนซิเมนต์ตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจก่อสร้าง
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่สูงมากในเดือนนี้ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงถึงร้อยละ 61.2
สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 7.2 โดยมีหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหมวดเครื่องดื่มเป็นตัวนำ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 58.5
2. การใช้จ่ายในประเทศ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 107.4 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 3.7 แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อย เครื่องชี้ส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่อง ที่สำคัญได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์และรถยนต์นั่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.8 ในเดือนกรกฎาคมมาอยู่ที่ระดับ 55.4 ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 37.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้างยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง
3. ภาคการคลัง การเหลื่อมการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดกลางปี 2545 และการโอนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 5.1 พันล้านบาทตามนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่งผลให้รายได้รัฐบาลในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 14.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม ภาษีอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายการข้างต้น เช่น ภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้า ยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูง ส่วนรายจ่ายรัฐบาลลดลงร้อยละ 9.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยอัตราการเบิกจ่ายในเดือนนี้เท่ากับร้อยละ 5.9 ลดลงจากเดือนก่อนๆ ส่วนหนึ่งเพราะการชะลอตัวของการเบิกจ่ายในหมวดรายจ่ายดอกเบี้ยและเงินโอนให้ส่วนท้องถิ่น ทำให้ในเดือนสิงหาคมรัฐบาลเกินดุลเงินสด 2.0 พันล้านบาท
สำหรับช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ (เงินสด) ได้จำนวน 755 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดกลางปี 2545 ที่จะนำส่งบัญชีเงินคงคลังในเดือนกันยายน หากรวมภาษีงวดดังกล่าวอีกประมาณ 40 พันล้านบาท ยอดการจัดเก็บรายได้จะสูงขึ้นเป็น 795 พันล้านบาท เทียบกับเป้าหมายจัดเก็บทั้งปี 809 พันล้านบาท สำหรับอัตราการเบิกจ่ายของรัฐบาลในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 79.3 เทียบกับร้อยละ 78.9 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดที่ไม่ใช่อาหารร้อยละ 0.9 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเช่าบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้นบ้างจากช่วงก่อนหน้า ขณะที่ราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.5 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 ในเดือนนี้
ดัชนีราคาผู้ผลิต ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.6 ตามราคาสินค้าในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 3.0 และ 0.4 ตามลำดับ
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 และ 0.6 ตามลำดับ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
5. ภาคต่างประเทศ ในเดือนสิงหาคมการส่งออกและการนำเข้ายังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสูงกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นครั้งแรกในรอบ 21 เดือนและขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.1 ตามปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ต่อสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยกเว้นคอมพิวเตอร์ และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกในระยะต่อไปยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะเครื่องชี้อุปสงค์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เริ่มมีแนวโน้มชะลอลง ส่วนมูลค่าการนำเข้าในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนทุกหมวดสินค้า และโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 (สูงที่สุดในรอบ 17 เดือน) สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ อย่างไรก็ดี มูลค่าการนำเข้ายังคงต่ำกว่ามูลค่าการส่งออก ดุลการค้าจึงเกินดุล 238 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลบริการฯ เกินดุลสูงขึ้น เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดี และเป็นช่วงตกงวดรับผลประโยชน์จากเงินลงทุนของภาคทางการ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 867 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงินเกินดุล 591 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยในเดือนนี้มีการชำระหนี้ IMF Package 289 ล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงินในเดือนสิงหาคมอยู่ในเกณฑ์สูง เนื่องจากสถาบันการเงินเตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับการชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ทำให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.67 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นสิงหาคม 2545 มียอดคงค้าง 4,657.9 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม มียอดคงค้าง 5,411.4 พันล้านบาท (ข้อมูลเบื้องต้น) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ในขณะที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยมียอดคงค้าง 5,323.3 พันล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีบัตรเงินฝาก (NCD) ของสถาบันการเงินครบกำหนดไถ่ถอนและผู้ได้รับเงินได้นำเงินที่ครบกำหนดนั้นไปฝากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งมีการเพิ่มขึ้นของเงินฝากของลูกค้าเพื่อรอตัดบัญชีชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติอีกจำนวนหนึ่งด้วย
7. อัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนตัวตามค่าเงินในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเพราะความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน แต่เมื่อ FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ย fed funds ไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี ประกอบกับตลาดยังมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ได้ปรับลดลงและทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นในช่วงกลางเดือน สำหรับช่วงปลายเดือน ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีกครั้ง ส่งผลให้โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทอยู่ที่ 42.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจาก 41.20 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับความเคลื่อนไหวในช่วง 1-20 กันยายน 2545 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินเยน หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นออกมากล่าวว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและอาจช่วยลดภาวะเงินฝืดได้
(ยังมีต่อ)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/30 กันยายน 2545--
-ยก-
อุปสงค์ในประเทศยังคงได้รับแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดีและมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของรายได้ในภาคเกษตร การปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการขยายตัวของปริมาณสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงในทั้งหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดก่อสร้าง ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่อภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งผลประกอบการของภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเร่งตัวมากในเดือนนี้ สำหรับมูลค่าการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าเกษตร ทั้งนี้ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก แต่ราคายังคงลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อต่ำ แม้จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่อัตราการว่างงานก็ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศมีความแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่อง เงินสำรองทางการเพิ่มขึ้น และหนี้ต่างประเทศลดลงตามลำดับ
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 11.4 ส่วนหนึ่งเพราะฐานปีก่อนต่ำ ประกอบกับมีปัจจัยชั่วคราว เช่น การเร่งผลิตสะสมสต๊อกในหมวดยาสูบไว้เพื่อจำหน่ายในเดือนกันยายนที่จะมีการหยุดการผลิตบางส่วน อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกันก็มีปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ส่งผลให้การผลิตขยายตัวดีในทุกหมวดอุตสาหกรรม ยกเว้นหมวดอาหารที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบบางชนิดและปัญหาสารเคมีตกค้างในกุ้ง หมวดอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงในเดือนนี้คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากการขยายตัวของการส่งออกแผงวงจรรวม หมวดยานยนต์โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์พาณิชย์และรถจักรยานยนต์ ส่วนหนึ่งเพราะการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์เหล็กและปูนซิเมนต์ตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจก่อสร้าง
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่สูงมากในเดือนนี้ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงถึงร้อยละ 61.2
สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 7.2 โดยมีหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหมวดเครื่องดื่มเป็นตัวนำ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 58.5
2. การใช้จ่ายในประเทศ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 107.4 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 3.7 แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อย เครื่องชี้ส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่อง ที่สำคัญได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์และรถยนต์นั่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.8 ในเดือนกรกฎาคมมาอยู่ที่ระดับ 55.4 ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 37.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้างยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง
3. ภาคการคลัง การเหลื่อมการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดกลางปี 2545 และการโอนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 5.1 พันล้านบาทตามนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่งผลให้รายได้รัฐบาลในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 14.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม ภาษีอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายการข้างต้น เช่น ภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้า ยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูง ส่วนรายจ่ายรัฐบาลลดลงร้อยละ 9.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยอัตราการเบิกจ่ายในเดือนนี้เท่ากับร้อยละ 5.9 ลดลงจากเดือนก่อนๆ ส่วนหนึ่งเพราะการชะลอตัวของการเบิกจ่ายในหมวดรายจ่ายดอกเบี้ยและเงินโอนให้ส่วนท้องถิ่น ทำให้ในเดือนสิงหาคมรัฐบาลเกินดุลเงินสด 2.0 พันล้านบาท
สำหรับช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ (เงินสด) ได้จำนวน 755 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดกลางปี 2545 ที่จะนำส่งบัญชีเงินคงคลังในเดือนกันยายน หากรวมภาษีงวดดังกล่าวอีกประมาณ 40 พันล้านบาท ยอดการจัดเก็บรายได้จะสูงขึ้นเป็น 795 พันล้านบาท เทียบกับเป้าหมายจัดเก็บทั้งปี 809 พันล้านบาท สำหรับอัตราการเบิกจ่ายของรัฐบาลในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 79.3 เทียบกับร้อยละ 78.9 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดที่ไม่ใช่อาหารร้อยละ 0.9 ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเช่าบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้นบ้างจากช่วงก่อนหน้า ขณะที่ราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.5 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.3 ในเดือนนี้
ดัชนีราคาผู้ผลิต ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.6 ตามราคาสินค้าในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 3.0 และ 0.4 ตามลำดับ
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.4 และ 0.6 ตามลำดับ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
5. ภาคต่างประเทศ ในเดือนสิงหาคมการส่งออกและการนำเข้ายังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสูงกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นครั้งแรกในรอบ 21 เดือนและขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.1 ตามปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ต่อสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยกเว้นคอมพิวเตอร์ และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกในระยะต่อไปยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะเครื่องชี้อุปสงค์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เริ่มมีแนวโน้มชะลอลง ส่วนมูลค่าการนำเข้าในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนทุกหมวดสินค้า และโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 (สูงที่สุดในรอบ 17 เดือน) สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ อย่างไรก็ดี มูลค่าการนำเข้ายังคงต่ำกว่ามูลค่าการส่งออก ดุลการค้าจึงเกินดุล 238 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลบริการฯ เกินดุลสูงขึ้น เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดี และเป็นช่วงตกงวดรับผลประโยชน์จากเงินลงทุนของภาคทางการ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 867 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงินเกินดุล 591 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยในเดือนนี้มีการชำระหนี้ IMF Package 289 ล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงินในเดือนสิงหาคมอยู่ในเกณฑ์สูง เนื่องจากสถาบันการเงินเตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับการชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ทำให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.67 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นสิงหาคม 2545 มียอดคงค้าง 4,657.9 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม มียอดคงค้าง 5,411.4 พันล้านบาท (ข้อมูลเบื้องต้น) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ในขณะที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยมียอดคงค้าง 5,323.3 พันล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีบัตรเงินฝาก (NCD) ของสถาบันการเงินครบกำหนดไถ่ถอนและผู้ได้รับเงินได้นำเงินที่ครบกำหนดนั้นไปฝากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งมีการเพิ่มขึ้นของเงินฝากของลูกค้าเพื่อรอตัดบัญชีชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติอีกจำนวนหนึ่งด้วย
7. อัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนตัวตามค่าเงินในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเพราะความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน แต่เมื่อ FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ย fed funds ไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี ประกอบกับตลาดยังมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ได้ปรับลดลงและทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นในช่วงกลางเดือน สำหรับช่วงปลายเดือน ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีกครั้ง ส่งผลให้โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทอยู่ที่ 42.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจาก 41.20 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับความเคลื่อนไหวในช่วง 1-20 กันยายน 2545 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินเยน หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นออกมากล่าวว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและอาจช่วยลดภาวะเงินฝืดได้
(ยังมีต่อ)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/30 กันยายน 2545--
-ยก-