การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้โดยมีแผนงานและกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันอย่างดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเมื่อปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์แล้วจะสามารถบรรลุเป้าประสงค์ได้ เพื่อให้การดำเนินการบรรลุเป้าประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยังต้องใช้กลไกอื่นมาช่วย ซึ่งกลไกที่สำคัญที่เลือกมาใช้นี้ ได้แก่ กลไกการบ่มเพาะอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม กลไกในการพัฒนาฝีมือแรงงาน และกลไกการจัดการองค์กรด้านการฝึกอบรมแรงงาน ซึ่งอาจกล่าวพอสังเขปดังต่อไปนี้
1) กลไกการบ่มเพาะอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม
จากการศึกษาบทเรียนการพัฒนาอุตสาหกรรมในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จนั้น พบว่า อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงการผลิตทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (forward & backward linkage) อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดนั้น ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีปัญหาและมีความอ่อนแออยู่มาก จากการสำรวจพบว่า อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมต้องประสบกับการขาดทุนในแต่ละปีมากถึงร้อยละ 35 ฉะนั้น เพื่อให้อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมเกิดความเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศโดยรวมเข้มแข็งตามไปด้วยนั้น ต้องพัฒนาโดยอาศัยกลไกการเพาะอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนี้
พัฒนาความร่วมมือระหว่างรัฐกับองค์กรสาธารณะเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานงานการเสนอแนะนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรม ให้ความช่วยเหลือการเพิ่มผลิตภาพ การบริหารการจัดการ และการเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลการตลาดและข้อมูลอื่นๆที่จำเป็นต่อธุรกิจ โดยมี องค์กรสาธารณะที่มุ่งดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของสมาชิกส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยที่องค์กรสาธารณะจำเป็นต้องมีสำนักงานเลขานุการ(Secretariat)ที่เข้มแข็ง สามารถเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล ติดตามผลเปรียบเทียบกับเป้าหมาย และมีการประเมินผลเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมต่อไป
จัดให้มีสิ่งจูงใจที่จะทำให้เกิดการรวมตัวเป็นสมาคม เช่น กำหนดเป็นเงื่อนไขให้ SME ต้องเป็นสมาชิกขององค์กรสาธารณะที่เหมาะสม จึงจะมีสิทธิรับการส่งเสริมการลงทุน หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ควรเปิดโอกาสให้ SME สามารถรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้มากขึ้น เช่น ลดเงื่อนไขขนาดของกิจการ (เงินลงทุน) จาก 1 ล้านบาท เป็น 5 แสนบาท เป็นต้น
มุ่งให้ SEM ส่วนใหญ่เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรมหอการค้า ฯลฯ เพื่อที่สมาชิกจะได้รับประโยชน์ในด้านข้อมูลการค้าต่างประเทศ การมีองค์กรเป็นตัวแทนในการประสานงานกับภาครัฐและพรรคการเมืองเพื่อผลักดันให้เกิดผลในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย ภาษี หรือสิทธิประโยชน์ ทำให้ธุรกิจไม่ถูกทอดทิ้งและมีโอกาสได้รับรู้และได้รับการสนับสนุนเพื่อปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที และในระยะยาว อุตสาหกรรมนั้น ๆ จะมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
การพัฒนาธุรกิจสัมพันธ์ (linkage) ระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทย่อยเพื่อแนะนำ SME ในการจัดการการผลิต โดยอาจมีองค์กรเอกชนเข้ามาช่วยแนะนำในเรื่องการลดต้นทุน เนื่องจาก SME ต้องสามารถลดราคาขายและช่วยพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อช่วยบริษัทแม่ให้แข่งขันได้ รวมทั้งช่วยสนับสนุนด้านการเงิน เช่น สั่งซื้ออย่างสม่ำเสมอ
สนับสนุนการรวมตัว เช่น ในรูปสหกรณ์เพื่อให้มีขนาดที่เหมาะสมเชิงเศรษฐกิจ (economies of scale) ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า การตรวจสอบคุณภาพสินค้าเพื่อส่งออก การกระจายสินค้า การจัดซื้อหรือผลิต การบำบัดน้ำเสีย/ของเสียรวม การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในนามกลุ่มโดยใช้สถานที่ส่วนรวมค้ำประกัน การใช้ชื่อสินค้า brand ร่วม เช่น กลุ่มเซรามิกส์ การใช้ระบบสวัสดิการร่วม ทั้งนี้ รัฐอาจพิจารณาลดภาษีบางประเภทให้สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวด้วย
ให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ โดย รัฐมีสถาบันการเงินที่ให้บริการเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ และให้สถาบันการเงินพาณิชย์ขยายบริการสินเชื่อมาสนับสนุน SME ด้วย โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐ และความมั่นใจในแต่ละสาขาอุตสาหกรรมที่ได้มีการศึกษาประเมินศักยภาพแล้ว
ให้บรรษัทของรัฐหรือสถาบันอิสระร่วมลงทุนในรูปของ venture capital ใน SME ที่มีเทคโนโลยีหรือ SME เป้าหมาย โดยมุ่งให้สามารถนำ SME เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อกิจการได้รับการพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้ว
2) กลไกการพัฒนาฝีมือแรงงาน
เนื่องจากในปัจจุบันแรงงานของประเทศไทยมีความไม่สมดุลของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมระหว่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operators) ซึ่งส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) เป็นผู้มีระดับการศึกษาเพียง 4 ปี เป็นแรงงานแบบไร้ฝีมือหรือกึ่งฝีมือ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด กลุ่มระดับช่างเทคนิค (Technicians) เป็นแรงงานที่มีการศึกษาด้านวิชาชีพระดับอาชีวศึกษา (ปวช./ปวส./ปวท.) และกลุ่มระดับวิศวกร (Engineers) เป็นผู้มีระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
สำหรับแนวทางยกระดับฝีมือแรงงานนั้น ต้องมุ่งลดจำนวนแรงงานระดับผู้ปฏิบัติงานลง และเพิ่มแรงงานระดับช่างเทคนิคให้มากที่สุดเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง สำหรับระดับวิศวกรนั้น ในระดับการผลิตจะมีความจำเป็นต้องใช้ไม่มากนัก ซึ่งแนวทางการปรับระดับแรงงาน หากพิจารณาตามรูปแล้วคือการปรับความไม่สมดุลของแรงงานตามแนวเส้น a ไปสู่ความสมดุลตามแนวเส้น b
3) การจัดการองค์กร ด้านการฝึกอบรมแรงงาน
การยกระดับฝีมือแรงงานนั้น ต้องเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ และสถาบันเฉพาะทาง/เฉพาะสาขา โดยในหน่วยงานของรัฐนั้น ต้องมีการแบ่งงานกัน และมีแนวทาง ความร่วมมือกันอย่างชัดเจน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ผลิตแรงงานฝีมือระดับต้นตามรูปแบบการจัดการศึกษาในระบบระดับอาชีวศึกษา และการพัฒนาฝีมือแรงงานที่อยู่นอกระบบการศึกษานั้น ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาฝีมือแรงงานตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับกลาง (ช่างเทคนิค) สำหรับการพัฒนาฝีมือแรงงานระดับสูงหรือวิศวกรนั้น ให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมและสถาบันเฉพาะทาง/เฉพาะสาขา รับผิดชอบดำเนินการผลิตแรงงาน ฝีมือระดับกลางและสูง ที่เป็นความต้องการเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม
สำหรับกลไกที่ใช้ยกระดับผู้ปฏิบัติงานไปสู่ระดับช่างเทคนิค โดยไม่ต้องเข้าสู่การศึกษาในระบบตามปกติ สามารถดำเนินการโดยการจัดให้มีการทดสอบระดับฝีมือการปฏิบัติงานระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง และออกใบรับรองฝีมือให้ ซึ่งแรงงานที่ผ่านการทดสอบและได้รับใบรับรองฝีมือ ก็จะได้รับค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกนี้จะเป็นสิ่งจูงใจให้แรงงานมีความตั้งใจปฏิบัติงาน ไม่เปลี่ยนงานบ่อย อันจะทำให้ผลิตภาพการผลิตของโรงงานเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มค่าจ้างแรงงานที่มีเหตุผลและไม่เป็นภาระต่อนายจ้าง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม โทร. 0-2644-8604, 0-2202-4375--
1) กลไกการบ่มเพาะอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม
จากการศึกษาบทเรียนการพัฒนาอุตสาหกรรมในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จนั้น พบว่า อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงการผลิตทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (forward & backward linkage) อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดนั้น ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีปัญหาและมีความอ่อนแออยู่มาก จากการสำรวจพบว่า อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมต้องประสบกับการขาดทุนในแต่ละปีมากถึงร้อยละ 35 ฉะนั้น เพื่อให้อุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อมเกิดความเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศโดยรวมเข้มแข็งตามไปด้วยนั้น ต้องพัฒนาโดยอาศัยกลไกการเพาะอุตสาหกรรมสนับสนุนขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนี้
พัฒนาความร่วมมือระหว่างรัฐกับองค์กรสาธารณะเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานงานการเสนอแนะนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรม ให้ความช่วยเหลือการเพิ่มผลิตภาพ การบริหารการจัดการ และการเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลการตลาดและข้อมูลอื่นๆที่จำเป็นต่อธุรกิจ โดยมี องค์กรสาธารณะที่มุ่งดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของสมาชิกส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยที่องค์กรสาธารณะจำเป็นต้องมีสำนักงานเลขานุการ(Secretariat)ที่เข้มแข็ง สามารถเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล ติดตามผลเปรียบเทียบกับเป้าหมาย และมีการประเมินผลเพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมต่อไป
จัดให้มีสิ่งจูงใจที่จะทำให้เกิดการรวมตัวเป็นสมาคม เช่น กำหนดเป็นเงื่อนไขให้ SME ต้องเป็นสมาชิกขององค์กรสาธารณะที่เหมาะสม จึงจะมีสิทธิรับการส่งเสริมการลงทุน หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ควรเปิดโอกาสให้ SME สามารถรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้มากขึ้น เช่น ลดเงื่อนไขขนาดของกิจการ (เงินลงทุน) จาก 1 ล้านบาท เป็น 5 แสนบาท เป็นต้น
มุ่งให้ SEM ส่วนใหญ่เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรมหอการค้า ฯลฯ เพื่อที่สมาชิกจะได้รับประโยชน์ในด้านข้อมูลการค้าต่างประเทศ การมีองค์กรเป็นตัวแทนในการประสานงานกับภาครัฐและพรรคการเมืองเพื่อผลักดันให้เกิดผลในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย ภาษี หรือสิทธิประโยชน์ ทำให้ธุรกิจไม่ถูกทอดทิ้งและมีโอกาสได้รับรู้และได้รับการสนับสนุนเพื่อปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที และในระยะยาว อุตสาหกรรมนั้น ๆ จะมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
การพัฒนาธุรกิจสัมพันธ์ (linkage) ระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทย่อยเพื่อแนะนำ SME ในการจัดการการผลิต โดยอาจมีองค์กรเอกชนเข้ามาช่วยแนะนำในเรื่องการลดต้นทุน เนื่องจาก SME ต้องสามารถลดราคาขายและช่วยพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อช่วยบริษัทแม่ให้แข่งขันได้ รวมทั้งช่วยสนับสนุนด้านการเงิน เช่น สั่งซื้ออย่างสม่ำเสมอ
สนับสนุนการรวมตัว เช่น ในรูปสหกรณ์เพื่อให้มีขนาดที่เหมาะสมเชิงเศรษฐกิจ (economies of scale) ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า การตรวจสอบคุณภาพสินค้าเพื่อส่งออก การกระจายสินค้า การจัดซื้อหรือผลิต การบำบัดน้ำเสีย/ของเสียรวม การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในนามกลุ่มโดยใช้สถานที่ส่วนรวมค้ำประกัน การใช้ชื่อสินค้า brand ร่วม เช่น กลุ่มเซรามิกส์ การใช้ระบบสวัสดิการร่วม ทั้งนี้ รัฐอาจพิจารณาลดภาษีบางประเภทให้สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวด้วย
ให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้ โดย รัฐมีสถาบันการเงินที่ให้บริการเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ และให้สถาบันการเงินพาณิชย์ขยายบริการสินเชื่อมาสนับสนุน SME ด้วย โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐ และความมั่นใจในแต่ละสาขาอุตสาหกรรมที่ได้มีการศึกษาประเมินศักยภาพแล้ว
ให้บรรษัทของรัฐหรือสถาบันอิสระร่วมลงทุนในรูปของ venture capital ใน SME ที่มีเทคโนโลยีหรือ SME เป้าหมาย โดยมุ่งให้สามารถนำ SME เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อกิจการได้รับการพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้ว
2) กลไกการพัฒนาฝีมือแรงงาน
เนื่องจากในปัจจุบันแรงงานของประเทศไทยมีความไม่สมดุลของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมระหว่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operators) ซึ่งส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) เป็นผู้มีระดับการศึกษาเพียง 4 ปี เป็นแรงงานแบบไร้ฝีมือหรือกึ่งฝีมือ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด กลุ่มระดับช่างเทคนิค (Technicians) เป็นแรงงานที่มีการศึกษาด้านวิชาชีพระดับอาชีวศึกษา (ปวช./ปวส./ปวท.) และกลุ่มระดับวิศวกร (Engineers) เป็นผู้มีระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
สำหรับแนวทางยกระดับฝีมือแรงงานนั้น ต้องมุ่งลดจำนวนแรงงานระดับผู้ปฏิบัติงานลง และเพิ่มแรงงานระดับช่างเทคนิคให้มากที่สุดเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง สำหรับระดับวิศวกรนั้น ในระดับการผลิตจะมีความจำเป็นต้องใช้ไม่มากนัก ซึ่งแนวทางการปรับระดับแรงงาน หากพิจารณาตามรูปแล้วคือการปรับความไม่สมดุลของแรงงานตามแนวเส้น a ไปสู่ความสมดุลตามแนวเส้น b
3) การจัดการองค์กร ด้านการฝึกอบรมแรงงาน
การยกระดับฝีมือแรงงานนั้น ต้องเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ และสถาบันเฉพาะทาง/เฉพาะสาขา โดยในหน่วยงานของรัฐนั้น ต้องมีการแบ่งงานกัน และมีแนวทาง ความร่วมมือกันอย่างชัดเจน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ผลิตแรงงานฝีมือระดับต้นตามรูปแบบการจัดการศึกษาในระบบระดับอาชีวศึกษา และการพัฒนาฝีมือแรงงานที่อยู่นอกระบบการศึกษานั้น ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาฝีมือแรงงานตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับกลาง (ช่างเทคนิค) สำหรับการพัฒนาฝีมือแรงงานระดับสูงหรือวิศวกรนั้น ให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมและสถาบันเฉพาะทาง/เฉพาะสาขา รับผิดชอบดำเนินการผลิตแรงงาน ฝีมือระดับกลางและสูง ที่เป็นความต้องการเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม
สำหรับกลไกที่ใช้ยกระดับผู้ปฏิบัติงานไปสู่ระดับช่างเทคนิค โดยไม่ต้องเข้าสู่การศึกษาในระบบตามปกติ สามารถดำเนินการโดยการจัดให้มีการทดสอบระดับฝีมือการปฏิบัติงานระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง และออกใบรับรองฝีมือให้ ซึ่งแรงงานที่ผ่านการทดสอบและได้รับใบรับรองฝีมือ ก็จะได้รับค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกนี้จะเป็นสิ่งจูงใจให้แรงงานมีความตั้งใจปฏิบัติงาน ไม่เปลี่ยนงานบ่อย อันจะทำให้ผลิตภาพการผลิตของโรงงานเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มค่าจ้างแรงงานที่มีเหตุผลและไม่เป็นภาระต่อนายจ้าง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม โทร. 0-2644-8604, 0-2202-4375--