เมื่อเวลา 07.30น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “สี่แยกข่าวไอทีวี” ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงรุก หากได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความคิด และจับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ เช่น เมื่อตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอเรื่องทีมเศรษฐกิจ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีอายุยาวนาน ประชาชนอาจจะมองภาพประชาธิปัตย์เป็นอนุรักษ์นิยมได้ แต่การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 เม.ย.จะบอกกับประชาชนได้ว่า บนรากฐานที่มั่นคง พรรคฯ จะสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการสังคมได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการผลักดันของตน เช่น เมื่อตนเข้ามาในสมัยแรก ตนได้ทำเรื่องกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งขณะนี้ก็ได้นำมาใช้แล้ว หรือจะเป็นแนวคิดเรื่อง ปปช. แม้กระทั่งเรื่องการศึกษา และเรื่องกระจายอำนาจ การทำงานของตนอยู่บนพื้นฐานของความก้าวหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม สำหรับการแข่งขันที่เกิดขึ้นในพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะงานหลักของพรรคไม่ใช่การแข่งขันกันเอง แต่เป็นการต่อสู้ภายนอกหลังวันที่ 20 เม.ย. และพรรคจะต้องเร่งเสนอทางเลือกให้กับประชาชน
กรณีการไปกราบแม่ถ้วนที่จังหวัดตรัง ตนได้กระทำเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่การตีความของแต่ละคน ไม่มีความหมายอะไร ส่วนที่มีการมองว่าตนคือทายาททางการเมืองของนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันนั้น ตนคิดว่าในประชาธิปัตย์มีทายาททางการเมืองไม่ได้ หากมีได้คงไม่มีการแข่งขันกันแบบนี้ และหลังจากการเลือกตั้งได้มีการพูดคุยกันระหว่างผู้สมัครว่า หากใครได้รับคัดเลือกทุกคนจะต้องร่วมมือกันทำงาน ร่วมกันคิดว่าจะนำพาพรรคไปอย่างไร อย่างไรก็ตาม ตนเป็นคนหนึ่ง ที่พร้อมทำงานร่วมกับผู้สนับสนุน โดยมีแนวคิดแนวทางเป็นที่ตั้ง ไม่มีการวางว่าใครจะดำรงตำแหน่งอะไร ตนต้องการเห็นการมีส่วนร่วมในพรรค ตรงนี้คือสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ทำให้ประชาชนมั่นใจในความเป็นเอกภาพของพรรค
ต่อข้อกังขาของประชาชนที่ว่า หากได้รับเลือกเป็นหัวหน้า จะทำงานร่วมกับพรรคไทยรักไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองในยุคปฏิรูปมีแนวโน้มเข้าสู่ระบบ การเมือง 2 ขั้ว ตนคิดว่า ขณะนี้ประเทศมีพรรครัฐบาลที่มีขนาดใหญ่ สังคมจึงคาดหวังให้ประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ ซึ่งตนคิดว่าทั้งประชาธิปัตย์ และไทยรักไทย จะต้องเป็นทางเลือกที่แตกต่างกันของประชาชน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาต่อสู้กันโดยไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติ และไม่ใช่ว่าประชาธิปัตย์จะทำประโยชน์ให้กับประเทศได้ก็ต่อเมื่อไปรวมกับพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การที่ตนสมัครเป็นหัวหน้าพรรคฯ ตนได้ประเมินถึงความพร้อมของตนแล้วว่า ตนมีความพร้อมที่จะแข่งขันในระดับนายกฯ ได้ แต่ทั้งนี้ต้องขอโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองหลังได้รับเลือกก่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ - 18/4/2546--จบ--
-นค-
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในหลายเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการผลักดันของตน เช่น เมื่อตนเข้ามาในสมัยแรก ตนได้ทำเรื่องกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งขณะนี้ก็ได้นำมาใช้แล้ว หรือจะเป็นแนวคิดเรื่อง ปปช. แม้กระทั่งเรื่องการศึกษา และเรื่องกระจายอำนาจ การทำงานของตนอยู่บนพื้นฐานของความก้าวหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม สำหรับการแข่งขันที่เกิดขึ้นในพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะงานหลักของพรรคไม่ใช่การแข่งขันกันเอง แต่เป็นการต่อสู้ภายนอกหลังวันที่ 20 เม.ย. และพรรคจะต้องเร่งเสนอทางเลือกให้กับประชาชน
กรณีการไปกราบแม่ถ้วนที่จังหวัดตรัง ตนได้กระทำเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่การตีความของแต่ละคน ไม่มีความหมายอะไร ส่วนที่มีการมองว่าตนคือทายาททางการเมืองของนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันนั้น ตนคิดว่าในประชาธิปัตย์มีทายาททางการเมืองไม่ได้ หากมีได้คงไม่มีการแข่งขันกันแบบนี้ และหลังจากการเลือกตั้งได้มีการพูดคุยกันระหว่างผู้สมัครว่า หากใครได้รับคัดเลือกทุกคนจะต้องร่วมมือกันทำงาน ร่วมกันคิดว่าจะนำพาพรรคไปอย่างไร อย่างไรก็ตาม ตนเป็นคนหนึ่ง ที่พร้อมทำงานร่วมกับผู้สนับสนุน โดยมีแนวคิดแนวทางเป็นที่ตั้ง ไม่มีการวางว่าใครจะดำรงตำแหน่งอะไร ตนต้องการเห็นการมีส่วนร่วมในพรรค ตรงนี้คือสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ทำให้ประชาชนมั่นใจในความเป็นเอกภาพของพรรค
ต่อข้อกังขาของประชาชนที่ว่า หากได้รับเลือกเป็นหัวหน้า จะทำงานร่วมกับพรรคไทยรักไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองในยุคปฏิรูปมีแนวโน้มเข้าสู่ระบบ การเมือง 2 ขั้ว ตนคิดว่า ขณะนี้ประเทศมีพรรครัฐบาลที่มีขนาดใหญ่ สังคมจึงคาดหวังให้ประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ ซึ่งตนคิดว่าทั้งประชาธิปัตย์ และไทยรักไทย จะต้องเป็นทางเลือกที่แตกต่างกันของประชาชน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาต่อสู้กันโดยไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติ และไม่ใช่ว่าประชาธิปัตย์จะทำประโยชน์ให้กับประเทศได้ก็ต่อเมื่อไปรวมกับพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การที่ตนสมัครเป็นหัวหน้าพรรคฯ ตนได้ประเมินถึงความพร้อมของตนแล้วว่า ตนมีความพร้อมที่จะแข่งขันในระดับนายกฯ ได้ แต่ทั้งนี้ต้องขอโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองหลังได้รับเลือกก่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ - 18/4/2546--จบ--
-นค-