หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนา ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคฯ ที่จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 27-29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขานรับ 3 แผนปฏิบัติการหัวหิน สู่พันธะกิจเชียงราย โดยประชุมระดมความคิดจาก ส.ส.ของพรรคทั้ง 130 คน และกรรมการบริหารอีก 49 คน เพื่อกำหนดกรอบการทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเน้นการศึกษาและการกระจายอำนาจเป็นธงนำ และได้ประกาศถึงกระบวนทัศน์ความต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย แต่กลับมีท่าทีของรัฐบาลว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นสำนวนโวหาร พร้อมท้าให้แสดงจุดยืนด้วยการประกาศเลิกนโยบายประชานิยมที่พรรคไทยรักไทยทำไว้ทั้งหมดเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหนนั้น
ในช่วงเช้าของวันนี้ (30 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงเรื่องดังกล่าว ว่า นับตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์มีแผนปฏิบัติการหัวหินจนถึงพันธะกิจที่จ.เชียงราย จะเห็นว่ารัฐบาลเริ่มออกอาการหวั่นไหวมากขึ้น คือเริ่มจะดิสเครดิตการเคลื่อนไหวของพรรคฯมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลมองการเคลื่อนไหวพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคการเมืองใดก็ตามเป็นการทำงานตามปกติของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลเองก็เรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่นทำงานอย่างสร้างสรรค์ รัฐบาลก็ต้องมีทัศนคติในเชิงสร้างสรรค์ต่อพรรคการเมืองอื่นด้วย
นายองอาจ กล่าวว่า นายกฯไม่ควรท้าให้ใครยกเลิกนโยบายของรัฐบาล รู้สึกว่านายกฯจะใช้อารมณ์ในการนำเสนอความคิดเห็นนี้ขึ้นมา จึงอยากให้นายกฯใจเย็นมากกว่านี้ เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะมีความคิดเหมือนอย่างที่นายกฯเสนอ เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคหากเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องดูว่างานเก่าหรือนโยบายเดิมที่รัฐบาลชุดเดิมทำไว้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ถ้ามีข้อเสียมาก แน่นอนต้องยกเลิก แต่ถ้ายังสามารถปรับปรุงได้ก็สามารถแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่ถ้านโยบายหรือเรื่องอะไรที่รัฐบาลเก่าทำไว้ดีอยู่แล้วใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็คงจะต้องสนับสนุนให้ทำต่อ ซึ่งรัฐบาลในอดีตก็ยึดถือแนวทางนี้ตลอด แม้แต่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดำเนินตามแนวทางนี้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าก่อนหน้าที่พรรคไทยรักไทยมาเป็นรัฐบาลได้วิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎหมายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฉบับ 11 ฉบับที่ออกสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกฎหมายขายชาติ แต่พอพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้ยกเลิกกฎหมายนี้แต่อย่างใด ยังใช้กฎหมายนี้ในการบริหารแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตามปกติ
นายองอาจ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่าการเสนอทางเลือกให้ประชาชนพิจารณานั้น จะต้องเสนอทางเลือกที่มีข้อมูลและเนื้อหาและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่สามารถเอาสำนวนโวหารและการคุยโม้โอ้อวดไปนำเสนอต่อประชาชนได้ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ซึ่งพันธะกิจเชียงรายเป็นการประกาศเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานอย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้คิดที่จะล้มพรรคการเมืองใด เพียงแต่เป็นการเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งให้ประชาชนพิจารณา
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าจะเดินหน้าทำการเมืองโดยการใช้ข้อมูลและผลงานทางวิชาการในการศึกษาวิจัยมาเป็นข้อมูลในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายสาธารณะของเราต่อไปโดยไม่สนใจคำปรามาสหรือคำเยาะเย้ยถากถางจากการทำงานของเราแต่อย่างไร เชื่อมั่นว่าเราจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสังคมให้ประชาชนได้พิจารณาตัดสินใจได้
ส่วนที่รัฐบาลออกมาบอกว่าฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหลักของรัฐบาลในข้อเสียเพียง 2-3 เปอร์เซ็น นั้น นายองอาจกล่าวว่า ขณะนี้ไม่ได้มีเพียงฝ่ายค้านเท่านั้นที่เริ่มออกมาชี้ถึงข้อบกพร่องหรือนโยบายที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติในระยะยาว เพราะเริ่มมีหลายกลุ่มออกมาพูดเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งนักวิชาการ เอ็นจีโอ และรวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลหลายองค์กร เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติหรือจะเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งออกมาชี้ให้เห็นความบกพร่องของกองทุนหมู่บ้าน อย่างไรก็ตามอยากในรัฐบาลเข้าใจการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายค้าน การวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างไปของฝ่ายค้านหรือฝ่ายอื่นในสังคมนั้น เฉพาะฝ่ายค้านถือว่าเป็นหน้าที่ตามปกติของการทำงานในระบอบประชาธิปไตย เราคงไม่มีหน้าที่หลักในการที่จะออกมาชื่นชมผลงานของรัฐบาลเพราะรัฐบาลมี โฆษกรัฐบาล รัฐมนตรี ส.ส.อีก 300 กว่าคนที่พร้อมที่จะออกมาชื่นชมการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้ว
“การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตยก็เพื่อที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล มีหน้าที่หาข้อเสียข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข เพราะฉะนั้นการที่นายกฯบอกว่าฝ่ายค้านมองจุดเล็กๆ นั้นเรายืนยันว่าข้อบกพร่องไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นก็ตามเป็นภาระของเราที่จะต้องบอกสิ่งเหล่านี้ให้สังคมรับทราบ ซึ่งถ้ารัฐบาลเปิดใจกว้างก็ควรนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับปรุงแก้ไข ทั้งรัฐบาลและนายกฯควรรับฟังความเห็นที่แตกต่างซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นการกวนน้ำให้ขุ่นแต่อย่างใด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ - 30/6/2546--จบ--
-นค-
ในช่วงเช้าของวันนี้ (30 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงเรื่องดังกล่าว ว่า นับตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์มีแผนปฏิบัติการหัวหินจนถึงพันธะกิจที่จ.เชียงราย จะเห็นว่ารัฐบาลเริ่มออกอาการหวั่นไหวมากขึ้น คือเริ่มจะดิสเครดิตการเคลื่อนไหวของพรรคฯมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลมองการเคลื่อนไหวพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคการเมืองใดก็ตามเป็นการทำงานตามปกติของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลเองก็เรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่นทำงานอย่างสร้างสรรค์ รัฐบาลก็ต้องมีทัศนคติในเชิงสร้างสรรค์ต่อพรรคการเมืองอื่นด้วย
นายองอาจ กล่าวว่า นายกฯไม่ควรท้าให้ใครยกเลิกนโยบายของรัฐบาล รู้สึกว่านายกฯจะใช้อารมณ์ในการนำเสนอความคิดเห็นนี้ขึ้นมา จึงอยากให้นายกฯใจเย็นมากกว่านี้ เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะมีความคิดเหมือนอย่างที่นายกฯเสนอ เพราะพรรคการเมืองทุกพรรคหากเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องดูว่างานเก่าหรือนโยบายเดิมที่รัฐบาลชุดเดิมทำไว้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ถ้ามีข้อเสียมาก แน่นอนต้องยกเลิก แต่ถ้ายังสามารถปรับปรุงได้ก็สามารถแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่ถ้านโยบายหรือเรื่องอะไรที่รัฐบาลเก่าทำไว้ดีอยู่แล้วใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็คงจะต้องสนับสนุนให้ทำต่อ ซึ่งรัฐบาลในอดีตก็ยึดถือแนวทางนี้ตลอด แม้แต่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดำเนินตามแนวทางนี้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าก่อนหน้าที่พรรคไทยรักไทยมาเป็นรัฐบาลได้วิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎหมายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฉบับ 11 ฉบับที่ออกสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกฎหมายขายชาติ แต่พอพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้ยกเลิกกฎหมายนี้แต่อย่างใด ยังใช้กฎหมายนี้ในการบริหารแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตามปกติ
นายองอาจ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่าการเสนอทางเลือกให้ประชาชนพิจารณานั้น จะต้องเสนอทางเลือกที่มีข้อมูลและเนื้อหาและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่สามารถเอาสำนวนโวหารและการคุยโม้โอ้อวดไปนำเสนอต่อประชาชนได้ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ซึ่งพันธะกิจเชียงรายเป็นการประกาศเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานอย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้คิดที่จะล้มพรรคการเมืองใด เพียงแต่เป็นการเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งให้ประชาชนพิจารณา
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าจะเดินหน้าทำการเมืองโดยการใช้ข้อมูลและผลงานทางวิชาการในการศึกษาวิจัยมาเป็นข้อมูลในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายสาธารณะของเราต่อไปโดยไม่สนใจคำปรามาสหรือคำเยาะเย้ยถากถางจากการทำงานของเราแต่อย่างไร เชื่อมั่นว่าเราจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสังคมให้ประชาชนได้พิจารณาตัดสินใจได้
ส่วนที่รัฐบาลออกมาบอกว่าฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหลักของรัฐบาลในข้อเสียเพียง 2-3 เปอร์เซ็น นั้น นายองอาจกล่าวว่า ขณะนี้ไม่ได้มีเพียงฝ่ายค้านเท่านั้นที่เริ่มออกมาชี้ถึงข้อบกพร่องหรือนโยบายที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติในระยะยาว เพราะเริ่มมีหลายกลุ่มออกมาพูดเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งนักวิชาการ เอ็นจีโอ และรวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลหลายองค์กร เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติหรือจะเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งออกมาชี้ให้เห็นความบกพร่องของกองทุนหมู่บ้าน อย่างไรก็ตามอยากในรัฐบาลเข้าใจการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายค้าน การวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างไปของฝ่ายค้านหรือฝ่ายอื่นในสังคมนั้น เฉพาะฝ่ายค้านถือว่าเป็นหน้าที่ตามปกติของการทำงานในระบอบประชาธิปไตย เราคงไม่มีหน้าที่หลักในการที่จะออกมาชื่นชมผลงานของรัฐบาลเพราะรัฐบาลมี โฆษกรัฐบาล รัฐมนตรี ส.ส.อีก 300 กว่าคนที่พร้อมที่จะออกมาชื่นชมการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้ว
“การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตยก็เพื่อที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล มีหน้าที่หาข้อเสียข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข เพราะฉะนั้นการที่นายกฯบอกว่าฝ่ายค้านมองจุดเล็กๆ นั้นเรายืนยันว่าข้อบกพร่องไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นก็ตามเป็นภาระของเราที่จะต้องบอกสิ่งเหล่านี้ให้สังคมรับทราบ ซึ่งถ้ารัฐบาลเปิดใจกว้างก็ควรนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับปรุงแก้ไข ทั้งรัฐบาลและนายกฯควรรับฟังความเห็นที่แตกต่างซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นการกวนน้ำให้ขุ่นแต่อย่างใด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ - 30/6/2546--จบ--
-นค-