กระทรวงการคลังขอเรียนว่า Japan Credit Rating Agency (JCR) ได้ประกาศแถลงข่าวผลการวิเคราะห์เครดิตของประเทศไทย ในวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2546 โดย JCR ได้จัดระดับเครดิตของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Domestic Currency Long Term Senior Debts) ในระดับ A โดยมีแนวโน้มของเครดิตในระดับที่เป็นบวก (Positive Outlook) ซึ่งถือเป็นการจัดระดับเครดิตของตราสารหนี้สกุลเงินบาทของไทยเป็นครั้งแรกของสถาบันนี้ และได้ยืนยันระดับเครดิตพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Bonds) สำหรับพันธบัตรสกุลเงินเยนของรัฐบาลไทย จำนวน 4 รุ่น (Yen Bond Series 17-20) ที่ระดับ BBB+ พร้อมทั้งปรับแนวโน้มของเครดิต (Outlook) จากระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable) เป็น ระดับที่เป็นบวก (Positive) ซึ่ง JCR ได้ให้เหตุผลของการปรับเพิ่มระดับเครดิตดังกล่าวข้างต้นโดยสรุป ดังนี้
1. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีการปรับตัวดีขึ้นมาก โดยสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก อันเป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย (Robust economic Recovery) การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี รวมถึงการสิ้นสุดระยะเวลาการลดหย่อนภาษีให้แก่ภาคธุรกิจซึ่งประสบภาวะขาดทุนจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยคาดว่า ฐานะการคลังของรัฐบาล เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างของภาคสถาบันการเงินของกองทุน FIDF แล้ว จะสามารถเข้าสู่จุดสมดุลได้เร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2551 (ค.ศ. 2008) ประมาณ 1-2 ปี
2. หนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันมีระดับที่ค่อนข้างสูง คาดว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้อย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง (Medium Term) หนี้สาธารณะต่อ GDP คาดว่าจะอยู่ในระดับคงที่ โดยถึงแม้ว่าจะมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากภาระผูกพันของกองทุน FIDF แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า จะเป็นตัวช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าว ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะที่เป็นภาระผูกพันจากกองทุน FIDF ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 50 ของ GDP ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 35 ของ GDP
สำหรับภาระผูกพันนอกงบประมาณ (Off-Budget Expenditures) โดยเฉพาะในส่วนที่เกิดจากการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐนั้น อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลังแก่รัฐบาลอยู่บ้าง แต่ JCR เชื่อว่าภาระผูกพันดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ (Manageable Level) สำหรับในภาคสถาบันการเงินนั้น JCR เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยยังคงประสบปัญหาในการแก้ไขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan) ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของภาคธุรกิจเอกชน และมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยในการเร่งรัดแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยให้การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบสถาบันการเงินไทยในระยะต่อไปเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. ในภาคต่างประเทศ JCR เห็นว่า ภายหลังจาก 6 ปีของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ประเทศไทยสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี และมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่อาจจะเกิดขึ้น (External Shock) สัดส่วนการค้าและบริการ (Total goods and service trade) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 136 ของ GDP ในปี 2545 จากเดิมที่น้อยกว่าร้อยละ 90 ในช่วงก่อนวิกฤติ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องถึง 6 ปีติดต่อกัน และในปี 2546 ก็คาดว่าจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึงร้อยละ 5 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 39.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ คิดเป็น 3.2 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งความแข็งแกร่งของภาคต่างประเทศดังกล่าว ช่วยให้ประเทศไทยสามารถชำระคืนหนี้ต่างประเทศได้ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน และถือเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
กระทรวงการคลังเห็นว่า การปรับระดับเครดิตโดย JCR ครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ดีอีกครั้ง ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินและนักลงทุนต่างประเทศ ในความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การที่ JCR ได้จัดระดับเครดิตของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Domestic Currency Long Term Senior Debts) เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท โดยถือเป็นการจัดระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทของไทยเป็นครั้งแรกของสถาบันนี้ และได้รับการจัดระดับเครดิตที่สูงถึง Single A โดยมีแนวโน้มของเครดิตในระดับที่เป็นบวก (Positive Outlook) ถือเป็นเครื่องชี้ที่สำคัญ ซึ่งแสดงถึงความสนใจของนักลงทุนและสถาบันการเงินของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนในพันธบัตรเงินบาทของรัฐบาลไทย ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค (Asian Bond Market) ต่อไป
ประวัติของบริษัท Japan Credit Rating Agency (JCR)
JCR เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอกชน ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2528 (ค.ศ. 1985) โดยมีสถาบันการเงินชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต รวมทั้งสถาบันวิจัยอิสระ ร่วมเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท จึงทำให้มีบริษัทมีโครงสร้างเป็นเอกชนที่มีความเป็นอิสระทางวิชาชีพสูง (Independent Private Company) ปัจจุบัน JCR ได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ใหญ่และได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น โดย JCR ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ออกตราสารมาแล้วมากกว่า 773 ราย และเป็น non-Japanese 67 ราย รวมทั้งเป็นผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัทและสถาบันการเงินของญี่ปุ่นถึงร้อยละ 64 นอกจากนี้ JCR ยังเป็นบริษัทญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียวที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารโลก (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย (Asian Development Bank : ADB), European Bank for Reconstruction and Development (EBRD), Inter-American Development Bank (IDB) และ African Development Bank (AfDB) ปัจจุบัน JCR มีพนักงาน จำนวน 84 คน โดยพนักงานกว่าครึ่งเป็นผู้วิเคราะห์ที่มีทักษะการวิเคราะห์เครดิตระดับสูง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา JCR ได้รับการยอมรับในเรื่องการจัดอันดับเครดิตที่เชื่อถือได้และมีความมั่นคง บริษัทซึ่ง JCR ได้จัดอันดับเครดิตให้อยู่ในช่วง AAA หรือ AA แทบจะไม่มีการถูกบันทึกเรื่องการผิดนัดชำระหนี้เลย (Default Ratio was zero) ส่วนบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในช่วง A หรือ BBB มีการผิดนัดชำระหนี้ประมาณร้อยละ 0.1 และบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในช่วง BB หรือต่ำกว่า มีการผิดนัดชำระหนี้ประมาณร้อยละ 3.4 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวแสดงถึงคุณภาพในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ
JCR มีความเชี่ยวชาญในการจัดอันดับตราสารหลายประเภท ทั้ง Samurai Bonds ตราสารหนี้ของรัฐบาล และเอกชน โดยการจัดอันดับของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนและผู้ออกตราสารหนี้อย่างกว้างขวาง จนได้รับการจัดให้เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ยอดเยี่ยมสำหรับตลาดตราสารหนี้ของประเทศญี่ปุ่น (Excellent Credit Rating Agency Based on All Aspects) ในการจัดอันดับโดย Japan Center for International Finance (JCIF) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระของญี่ปุ่น โดยได้รับคะแนนที่สูงกว่าบริษัทจัดอันดับชั้นนำรายอื่นของโลก เช่น Standard & Poor's และ Moody's Investors Service
นอกจากนี้ JCR ยังได้เป็นผู้ริเริ่มการจัดตั้งสมาคมบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเอเชีย (Association of Credit Rating Agencies in Asia : ACRAA) ขึ้น และมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับและมาตรฐานในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย โดยปัจจุบัน ACRAA มี บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 15 แห่ง จาก 10 ประเทศของภูมิภาคเอเชียร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย (Thai Rating & Information Services : TRIS ร่วมเป็นสมาชิกใน ACRAA)
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 81/2546 19 พฤศจิกายน 2546--
-รก-
1. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีการปรับตัวดีขึ้นมาก โดยสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก อันเป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย (Robust economic Recovery) การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี รวมถึงการสิ้นสุดระยะเวลาการลดหย่อนภาษีให้แก่ภาคธุรกิจซึ่งประสบภาวะขาดทุนจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยคาดว่า ฐานะการคลังของรัฐบาล เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างของภาคสถาบันการเงินของกองทุน FIDF แล้ว จะสามารถเข้าสู่จุดสมดุลได้เร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2551 (ค.ศ. 2008) ประมาณ 1-2 ปี
2. หนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันมีระดับที่ค่อนข้างสูง คาดว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้อย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง (Medium Term) หนี้สาธารณะต่อ GDP คาดว่าจะอยู่ในระดับคงที่ โดยถึงแม้ว่าจะมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากภาระผูกพันของกองทุน FIDF แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า จะเป็นตัวช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าว ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะที่เป็นภาระผูกพันจากกองทุน FIDF ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 50 ของ GDP ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 35 ของ GDP
สำหรับภาระผูกพันนอกงบประมาณ (Off-Budget Expenditures) โดยเฉพาะในส่วนที่เกิดจากการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐนั้น อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลังแก่รัฐบาลอยู่บ้าง แต่ JCR เชื่อว่าภาระผูกพันดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ (Manageable Level) สำหรับในภาคสถาบันการเงินนั้น JCR เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยยังคงประสบปัญหาในการแก้ไขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan) ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของภาคธุรกิจเอกชน และมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยในการเร่งรัดแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยให้การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบสถาบันการเงินไทยในระยะต่อไปเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. ในภาคต่างประเทศ JCR เห็นว่า ภายหลังจาก 6 ปีของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ประเทศไทยสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี และมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่อาจจะเกิดขึ้น (External Shock) สัดส่วนการค้าและบริการ (Total goods and service trade) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 136 ของ GDP ในปี 2545 จากเดิมที่น้อยกว่าร้อยละ 90 ในช่วงก่อนวิกฤติ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องถึง 6 ปีติดต่อกัน และในปี 2546 ก็คาดว่าจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึงร้อยละ 5 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 39.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ คิดเป็น 3.2 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งความแข็งแกร่งของภาคต่างประเทศดังกล่าว ช่วยให้ประเทศไทยสามารถชำระคืนหนี้ต่างประเทศได้ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน และถือเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
กระทรวงการคลังเห็นว่า การปรับระดับเครดิตโดย JCR ครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ดีอีกครั้ง ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินและนักลงทุนต่างประเทศ ในความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การที่ JCR ได้จัดระดับเครดิตของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Domestic Currency Long Term Senior Debts) เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท โดยถือเป็นการจัดระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทของไทยเป็นครั้งแรกของสถาบันนี้ และได้รับการจัดระดับเครดิตที่สูงถึง Single A โดยมีแนวโน้มของเครดิตในระดับที่เป็นบวก (Positive Outlook) ถือเป็นเครื่องชี้ที่สำคัญ ซึ่งแสดงถึงความสนใจของนักลงทุนและสถาบันการเงินของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนในพันธบัตรเงินบาทของรัฐบาลไทย ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค (Asian Bond Market) ต่อไป
ประวัติของบริษัท Japan Credit Rating Agency (JCR)
JCR เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอกชน ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2528 (ค.ศ. 1985) โดยมีสถาบันการเงินชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต รวมทั้งสถาบันวิจัยอิสระ ร่วมเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท จึงทำให้มีบริษัทมีโครงสร้างเป็นเอกชนที่มีความเป็นอิสระทางวิชาชีพสูง (Independent Private Company) ปัจจุบัน JCR ได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ใหญ่และได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น โดย JCR ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ออกตราสารมาแล้วมากกว่า 773 ราย และเป็น non-Japanese 67 ราย รวมทั้งเป็นผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัทและสถาบันการเงินของญี่ปุ่นถึงร้อยละ 64 นอกจากนี้ JCR ยังเป็นบริษัทญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียวที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้แก่ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารโลก (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย (Asian Development Bank : ADB), European Bank for Reconstruction and Development (EBRD), Inter-American Development Bank (IDB) และ African Development Bank (AfDB) ปัจจุบัน JCR มีพนักงาน จำนวน 84 คน โดยพนักงานกว่าครึ่งเป็นผู้วิเคราะห์ที่มีทักษะการวิเคราะห์เครดิตระดับสูง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา JCR ได้รับการยอมรับในเรื่องการจัดอันดับเครดิตที่เชื่อถือได้และมีความมั่นคง บริษัทซึ่ง JCR ได้จัดอันดับเครดิตให้อยู่ในช่วง AAA หรือ AA แทบจะไม่มีการถูกบันทึกเรื่องการผิดนัดชำระหนี้เลย (Default Ratio was zero) ส่วนบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในช่วง A หรือ BBB มีการผิดนัดชำระหนี้ประมาณร้อยละ 0.1 และบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในช่วง BB หรือต่ำกว่า มีการผิดนัดชำระหนี้ประมาณร้อยละ 3.4 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวแสดงถึงคุณภาพในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ
JCR มีความเชี่ยวชาญในการจัดอันดับตราสารหลายประเภท ทั้ง Samurai Bonds ตราสารหนี้ของรัฐบาล และเอกชน โดยการจัดอันดับของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนและผู้ออกตราสารหนี้อย่างกว้างขวาง จนได้รับการจัดให้เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ยอดเยี่ยมสำหรับตลาดตราสารหนี้ของประเทศญี่ปุ่น (Excellent Credit Rating Agency Based on All Aspects) ในการจัดอันดับโดย Japan Center for International Finance (JCIF) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระของญี่ปุ่น โดยได้รับคะแนนที่สูงกว่าบริษัทจัดอันดับชั้นนำรายอื่นของโลก เช่น Standard & Poor's และ Moody's Investors Service
นอกจากนี้ JCR ยังได้เป็นผู้ริเริ่มการจัดตั้งสมาคมบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเอเชีย (Association of Credit Rating Agencies in Asia : ACRAA) ขึ้น และมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับและมาตรฐานในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย โดยปัจจุบัน ACRAA มี บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 15 แห่ง จาก 10 ประเทศของภูมิภาคเอเชียร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย (Thai Rating & Information Services : TRIS ร่วมเป็นสมาชิกใน ACRAA)
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 81/2546 19 พฤศจิกายน 2546--
-รก-