เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายนยังคงขยายตัวได้ดี ตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรขยายตัวในอัตราเร่ง ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงทรงตัว ภาคการผลิตขยายตัวในระดับสูงสอดคล้องการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ
นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศในเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวสูงร้อยละ 20.9 ต่อปี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 108.3 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับ 100 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกทั้งจากการส่งออกที่ดีขึ้น และการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท Moodys' Investor Service
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักร โดยภาษีที่ จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 ต่อปี ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 ต่อปี
- การใช้จ่ายภาครัฐยังคงทรงตัว โดยรายจ่ายจากงบประมาณหักรายจ่ายชำระหนี้เดือนพฤศจิกายน หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำหดตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.3 ต่อปี
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูง ในเดือนพฤศจิกายน มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.4 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 615.0 ล้านดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 12.7 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 69.1 ในเดือนตุลาคม เทียบกับร้อยละ 65.8 ในเดือนกันยายน
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับเฉลี่ย 39.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนตุลาคมเกินดุลทั้งสิ้น 580 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 41.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤศจิกายน 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 150,770 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.2 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 169,498 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 2.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 18,728 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,634 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 57,362 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 เท่ากับ 2,918.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.72 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 22.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.39 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.42 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2546
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 20.9 ต่อปี 2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 108.3 จุด เพิ่มขึ้นจาก 104.8 จุดในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าระดับ 100 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกทั้งจากการส่งออก ที่ดีขึ้น และการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท Moodys' Investor Service 3) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนตุลาคมขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 และ 4.4 ต่อปี ตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ 4) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจาก สินค้าคงทนหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากฐานการคำนวณในปีก่อนอยู่ในระดับสูง ประกอบกับผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อรอรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะออกจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักร 1) รายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในเดือนตุลาคมที่ ขยายตัวร้อยละ 8.5 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือนตุลาคมมูลค่าและปริมาณการ นำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 และ 14.2 ต่อปี ตามลำดับ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 50.8 จุดซึ่งสูงกว่าระดับ 50.0 จุด เป็น ครั้งแรกในรอบ 7 เดือน 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 21.9 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี 5) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ต่อปี เป็นผลมาจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น
การใช้จ่ายภาครัฐยังคงทรงตัว รายจ่ายงบประมาณ หักรายจ่ายชำระหนี้เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 79.8 พันล้านบาท หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำหดตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 15.3 ต่อปี การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ขยายตัวร้อยละ 16.4 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี 2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 13.0 ต่อปี ซึ่งตัวเลขข้างต้นรวมการนำเข้าเครื่องบิน โบอิ้ง 747 จำนวน 1 ลำ ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 14.1 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุล 615.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. 4) ดัชนีราคาสินค้าส่งออกในเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 9.3 ต่อปี ขณะเดียวกันดัชนีราคาสินค้านำเข้าในเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ภาคการผลิตขยายตัวสูงขึ้นรองรับอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศที่เพิ่มขึ้น ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 12.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 21.5 ต่อปี โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิต อุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี โดยเฉพาะหมวดเหล็กและวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวตาม อุปสงค์ภายในประเทศ ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 2.4 ต่อปี ขณะเดียวกัน อัตราการใช้การผลิตเร่งตัวขึ้น โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนตุลาคมอยู่ที่ ร้อยละ 69.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 65.8 ในเดือนกันยายน
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.2 ต่อปีในเดือนตุลาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและ พลังงาน 2) อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับเฉลี่ย 39.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่าง ต่อเนื่อง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนตุลาคมเกินดุลทั้งสิ้น 580 ล้านดอลลาร์ สรอ. 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 41.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 6.3 เดือนของ มูลค่านำเข้าหรือประมาณ 3.3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนพฤศจิกายน 2546 และปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 80,959 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 9,689 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.6 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 2.8) และมีรายได้สุทธิรวม 71,463 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 8,303 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.1 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 4.6)
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤศจิกายน 2546) รายได้รวมของรัฐบาล สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 164,970 ล้านบาท สูงกว่า ประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 25,845 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 7.9) โดยมีรายได้สุทธิ 146,550 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 24,142 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.7 (สูงกว่าปีที่แล้ว ร้อยละ 8.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนพฤศจิกายน มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 86,344 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 0.4) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 74,669 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 11,674 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46- พ.ย. 46) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 169,498 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.3 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 147,797 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.4 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 21,701 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำจำนวน 141,602 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 17.0 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุนจำนวน 6,195 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 68,896 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 86,344 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 17,447 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุลอีก 24,872 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดขาดดุล 42,319 ล้านบาท
สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 150,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 21,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.2 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนรวม 169,498 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3,962 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 18,728 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,634 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 57,362 ล้านบาท สำหรับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลนั้น เป็นผลจากการชำระคืน ตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 25,000 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 71,238 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 89,770 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 18,532 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 553 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 14,605 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 4,481 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 153,396 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 174,295 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 20,899 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 1,153 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 2,640 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 19,412 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
3.3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 158,160 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,645 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,196,730 ล้านบาท (รวมงบประมาณกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุล 133,085 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 25,075 ล้านบาท จากการไถ่ถอนหุ้น3.3.2 ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบสศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 73,192 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งขาดดุล 56,423 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 1.0 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 เท่ากับ 2,918.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.72 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 22.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.39 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,639.6 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 851.0 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 427.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.42 ของ GDP (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.32 ในเดือนที่แล้ว) หนี้สาธารณะคงค้างที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุทธิ 9.6 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินลดลงสุทธิ 7.7 พันล้านบาท และหนี้ FIDF เพิ่มขึ้นสุทธิ 20.9 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 23/2546 29 ธันวาคม 2546--
-รก-
นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศในเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวสูงร้อยละ 20.9 ต่อปี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 108.3 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับ 100 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกทั้งจากการส่งออกที่ดีขึ้น และการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท Moodys' Investor Service
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักร โดยภาษีที่ จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 ต่อปี ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 ต่อปี
- การใช้จ่ายภาครัฐยังคงทรงตัว โดยรายจ่ายจากงบประมาณหักรายจ่ายชำระหนี้เดือนพฤศจิกายน หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำหดตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.3 ต่อปี
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูง ในเดือนพฤศจิกายน มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.4 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 615.0 ล้านดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 12.7 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 69.1 ในเดือนตุลาคม เทียบกับร้อยละ 65.8 ในเดือนกันยายน
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับเฉลี่ย 39.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนตุลาคมเกินดุลทั้งสิ้น 580 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 41.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤศจิกายน 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 150,770 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.2 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 169,498 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 2.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 18,728 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,634 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 57,362 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 เท่ากับ 2,918.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.72 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 22.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.39 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.42 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2546
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 20.9 ต่อปี 2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 108.3 จุด เพิ่มขึ้นจาก 104.8 จุดในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าระดับ 100 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกทั้งจากการส่งออก ที่ดีขึ้น และการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท Moodys' Investor Service 3) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนตุลาคมขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 และ 4.4 ต่อปี ตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ 4) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจาก สินค้าคงทนหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากฐานการคำนวณในปีก่อนอยู่ในระดับสูง ประกอบกับผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อรอรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะออกจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักร 1) รายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในเดือนตุลาคมที่ ขยายตัวร้อยละ 8.5 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือนตุลาคมมูลค่าและปริมาณการ นำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 และ 14.2 ต่อปี ตามลำดับ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 50.8 จุดซึ่งสูงกว่าระดับ 50.0 จุด เป็น ครั้งแรกในรอบ 7 เดือน 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 21.9 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี 5) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ต่อปี เป็นผลมาจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น
การใช้จ่ายภาครัฐยังคงทรงตัว รายจ่ายงบประมาณ หักรายจ่ายชำระหนี้เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 79.8 พันล้านบาท หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำหดตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวร้อยละ 15.3 ต่อปี การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ขยายตัวร้อยละ 16.4 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี 2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 13.0 ต่อปี ซึ่งตัวเลขข้างต้นรวมการนำเข้าเครื่องบิน โบอิ้ง 747 จำนวน 1 ลำ ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 14.1 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุล 615.0 ล้านดอลลาร์ สรอ. 4) ดัชนีราคาสินค้าส่งออกในเดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 9.3 ต่อปี ขณะเดียวกันดัชนีราคาสินค้านำเข้าในเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ภาคการผลิตขยายตัวสูงขึ้นรองรับอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศที่เพิ่มขึ้น ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 12.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 21.5 ต่อปี โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิต อุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี โดยเฉพาะหมวดเหล็กและวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวตาม อุปสงค์ภายในประเทศ ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 2.4 ต่อปี ขณะเดียวกัน อัตราการใช้การผลิตเร่งตัวขึ้น โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนตุลาคมอยู่ที่ ร้อยละ 69.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 65.8 ในเดือนกันยายน
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.2 ต่อปีในเดือนตุลาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและ พลังงาน 2) อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับเฉลี่ย 39.73 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่าง ต่อเนื่อง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนตุลาคมเกินดุลทั้งสิ้น 580 ล้านดอลลาร์ สรอ. 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 41.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 6.3 เดือนของ มูลค่านำเข้าหรือประมาณ 3.3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนพฤศจิกายน 2546 และปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 80,959 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 9,689 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.6 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 2.8) และมีรายได้สุทธิรวม 71,463 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 8,303 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.1 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 4.6)
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤศจิกายน 2546) รายได้รวมของรัฐบาล สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 164,970 ล้านบาท สูงกว่า ประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 25,845 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 7.9) โดยมีรายได้สุทธิ 146,550 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 24,142 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.7 (สูงกว่าปีที่แล้ว ร้อยละ 8.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนพฤศจิกายน มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 86,344 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 0.4) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 74,669 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 11,674 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46- พ.ย. 46) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 169,498 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.3 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 147,797 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.4 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 21,701 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำจำนวน 141,602 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 17.0 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุนจำนวน 6,195 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 68,896 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 86,344 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 17,447 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุลอีก 24,872 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดขาดดุล 42,319 ล้านบาท
สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 150,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 21,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.2 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนรวม 169,498 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3,962 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 18,728 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,634 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 57,362 ล้านบาท สำหรับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลนั้น เป็นผลจากการชำระคืน ตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 25,000 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 71,238 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 89,770 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 18,532 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 553 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 14,605 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 4,481 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 153,396 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 174,295 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 20,899 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 1,153 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 2,640 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 19,412 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
3.3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 158,160 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,645 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,196,730 ล้านบาท (รวมงบประมาณกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุล 133,085 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 25,075 ล้านบาท จากการไถ่ถอนหุ้น3.3.2 ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบสศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 73,192 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งขาดดุล 56,423 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 1.0 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 เท่ากับ 2,918.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.72 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 22.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.39 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,639.6 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 851.0 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 427.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.42 ของ GDP (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.32 ในเดือนที่แล้ว) หนี้สาธารณะคงค้างที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุทธิ 9.6 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินลดลงสุทธิ 7.7 พันล้านบาท และหนี้ FIDF เพิ่มขึ้นสุทธิ 20.9 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 23/2546 29 ธันวาคม 2546--
-รก-