การลงทุนภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 15 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ 17.9 ในปี 2546 เร่งขึ้นจากร้อยละ 13.2 ในปีก่อนขณะที่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) ซึ่งจัดทำโดย ธปท.แสดงแนวโน้มการเร่งตัวต่อเนื่อง ทั้งด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์และด้านก่อสร้าง ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้ มูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนและเงินทุนของธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในช่วงปี 2546 ก็บ่งชี้ว่าบรรยากาศการลงทุนได้ปรับตัวดีขึ้นชัดเจนจากปีก่อน
องค์ประกอบของดัชนีการลงทุนภาคเอกชนซึ่งได้แก่ ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ปริมาณสินค้าทุนนำเข้า พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้าง และยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ต่างก็ขยายตัวดี แม้ว่าสงครามระหว่างสหรัฐฯกับอิรักและการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง(SARS) ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนจนทำให้มีการเลื่อนการลงทุนออกไปบ้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการส่งออกที่ขยายตัวดีทำให้ภาคอุตสาหกรรมใช้กำลังการผลิตในปีนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนั้น สภาวะแวดล้อมทางการเงินที่เอื้ออำนวยทั้งในด้านแหล่งเงินทุนโดยตรงและอัตราดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนผลประกอบการที่ดีขึ้นก็เป็นปัจจัยเสริมศักยภาพในการลงทุนของภาคธุรกิจ
อนึ่ง การขยายตัวของดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและองค์ประกอบในปี 2546 ที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2545 นั้นเป็นข้อจำกัดทางด้านความครอบคลุมของตัวแปรที่ใช้เป็นองค์ประกอบของดัชนีฯ กล่าวคือ องค์ประกอบมิได้สะท้อนการลงทุนในส่วนที่เกิดจากการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับอย่างไรก็ตาม หากคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวโดยพิจารณายอดจำหน่ายสินค้าทุนในประเทศจะพบว่ามีการขยายตัวดีทั้งนี้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ยอดจำหน่ายสินค้าทุนในประเทศ (ที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) ณ ราคา คงที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 4.7 ในช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับในปี 2547 นั้น เครื่องชี้การลงทุนมีแนวโน้มดีจากปัจจัยสำคัญ ดังนี้ (1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าที่สำรวจ ณ เดือนมกราคม 2547 อยู่เหนือระดับ 50 ชี้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ (2) มูลค่าโครงการที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2546 มีมูลค่าประมาณ 105 พันล้านบาท (3) อุตสาหกรรมหลายประเภทมีการใช้กำลังการผลิตสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและเกินระดับร้อยละ 70 แล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุน อาทิ อุตสาหกรรมแผ่นเหล็กชุบสังกะสี เหล็กลวดรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ แผงวงจรรวม โลหะสังกะสี เยื่อกระดาษ และปิโตรเคมีขั้นต้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ/ลจ-
องค์ประกอบของดัชนีการลงทุนภาคเอกชนซึ่งได้แก่ ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ปริมาณสินค้าทุนนำเข้า พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้าง และยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ต่างก็ขยายตัวดี แม้ว่าสงครามระหว่างสหรัฐฯกับอิรักและการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง(SARS) ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนจนทำให้มีการเลื่อนการลงทุนออกไปบ้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการส่งออกที่ขยายตัวดีทำให้ภาคอุตสาหกรรมใช้กำลังการผลิตในปีนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนั้น สภาวะแวดล้อมทางการเงินที่เอื้ออำนวยทั้งในด้านแหล่งเงินทุนโดยตรงและอัตราดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนผลประกอบการที่ดีขึ้นก็เป็นปัจจัยเสริมศักยภาพในการลงทุนของภาคธุรกิจ
อนึ่ง การขยายตัวของดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและองค์ประกอบในปี 2546 ที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2545 นั้นเป็นข้อจำกัดทางด้านความครอบคลุมของตัวแปรที่ใช้เป็นองค์ประกอบของดัชนีฯ กล่าวคือ องค์ประกอบมิได้สะท้อนการลงทุนในส่วนที่เกิดจากการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับอย่างไรก็ตาม หากคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวโดยพิจารณายอดจำหน่ายสินค้าทุนในประเทศจะพบว่ามีการขยายตัวดีทั้งนี้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ยอดจำหน่ายสินค้าทุนในประเทศ (ที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) ณ ราคา คงที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 4.7 ในช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับในปี 2547 นั้น เครื่องชี้การลงทุนมีแนวโน้มดีจากปัจจัยสำคัญ ดังนี้ (1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าที่สำรวจ ณ เดือนมกราคม 2547 อยู่เหนือระดับ 50 ชี้ถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ (2) มูลค่าโครงการที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2546 มีมูลค่าประมาณ 105 พันล้านบาท (3) อุตสาหกรรมหลายประเภทมีการใช้กำลังการผลิตสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและเกินระดับร้อยละ 70 แล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุน อาทิ อุตสาหกรรมแผ่นเหล็กชุบสังกะสี เหล็กลวดรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ แผงวงจรรวม โลหะสังกะสี เยื่อกระดาษ และปิโตรเคมีขั้นต้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ/ลจ-