มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อนตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ส่วนมูลค่าการนำเข้าขยายตัวตามอุปสงค์ในประเทศและการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าส่งออก โดยรวมดุลการค้าเกินดุลสูงขึ้นในปีนี้แต่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุลลดลงจากปีก่อนเนื่องจากการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง(SARS) ได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อรายรับการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม ดุลการค้าที่เกินดุลสูงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลเพิ่มขึ้นมากเพราะการชำระคืนหนี้ของ ธปท.และภาครัฐ ประกอบกับการเพิ่มสินทรัพย์ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ดุลการชำระเงินเกินดุลลดลงจากที่เกินดุลกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีก่อนมาอยู่ใกล้สมดุลในปีนี้
การส่งออก
การส่งออกมีมูลค่ารวม 78.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 18.6 จากการขยายตัวของปริมาณร้อยละ 10.0 และราคาร้อยละ 7.9 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูง ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนและจีน ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันร้อยละ 27.7 และมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ในปีนี้ นอกจากนั้น การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกและการขยายตัวของตลาดยานยนต์โลก ประกอบกับอุปสงค์ต่อสินค้าเกษตรในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรได้รับประโยชน์ทั้งด้านปริมาณและราคา
รายละเอียดของสินค้าส่งออกที่สำคัญมีดังนี้
สินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกยางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.2 ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในจีน กลุ่มประเทศอาเซียน และญี่ปุ่นสำหรับมูลค่าการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 จากปัจจัยด้านราคา โดยเฉพาะราคาข้าวเจ้าขาวหอมมะลิในตลาดอาเซียน ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวไม่ได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากอินเดียซึ่งมีการอุดหนุนการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี สำหรับมันสำปะหลังแม้ราคาจะลดลง แต่ปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์มันเส้นและมันอัดเม็ดจากจีนเพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์และจากสหภาพยุโรปเพื่อไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ทำให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 ส่วนมูลค่าการส่งออกเป็ดไก่แช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 จากปัจจัยด้านปริมาณ โดยเฉพาะการส่งออกไปสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ขณะที่ราคาลดลงเนื่องจากการแข่งขันสูงโดยเฉพาะจากบราซิลและจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
สินค้าประมง มูลค่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากปีก่อน โดยเป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอุปสงค์จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักและครองสัดส่วนการส่งออกสินค้าประเภทนี้ถึงร้อยละ 52.1 อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปี 2546 กลุ่มชาวประมงกุ้งของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนการทุ่มตลาดกับ 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินเดีย เวียดนาม จีน บราซิล และเอกวาดอร์ สำหรับการส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรปได้รับผลกระทบจากมาตรการตรวจสอบสารเคมีตกค้าง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 66.7 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรปคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.5 ของการส่งออกกุ้งทั้งหมด และเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 ก็ได้มีการยกเลิกมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดแล้ว โดยสุ่มตรวจสอบเพียงร้อยละ 10 จากเดิมที่ตรวจสอบทั้งหมด
สินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 17.9 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85.8 ของการส่งออกรวม ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน
สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.4 ของการส่งออกทั้งหมดและในปี 2546 มูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 18.4 ที่สำคัญได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งขยายตัวร้อยละ 18.0 ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนและแผงวงจรรวมและชิ้นส่วน ทั้งนี้ตลาดส่งออกที่สำคัญของสินค้าประเภทนี้ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรป และจีนซึ่งนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าส่งออกไปประเทศอื่นอีกต่อหนึ่ง ส่วนการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ลดลง สำหรับมูลค่าการส่งออก เครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 13.7 ในปีนี้ โดยตลาดที่ขยายตัวมาก ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป กลุ่มประเทศอาเซียน และญี่ปุ่น ขณะที่มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์โลหะสามัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.2 โดยเฉพาะการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก เนื่องจากสินค้าที่ผลิตภายในจีนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ส่วนมูลค่าการส่งออกยานพาหนะ และชิ้นส่วนขยายตัวร้อยละ 37.7 โดยตลาดที่สำคัญได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เคมี ขยายตัวร้อยละ 36.3 ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อีกทั้งยังเป็นช่วงวัฎจักร ขาขึ้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัว ร้อยละ 24.0 โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ กลุ่มประเทศ อาเซียน จีน ฮ่องกง และสหรัฐฯ
ในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานสูง มูลค่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.6 ในปี 2546 เพราะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกเกินครึ่งหนึ่ง หดตัวร้อยละ 1.9 เนื่องจากประสบภาวะการแข่งขันรุนแรงจากจีนและเวียดนาม ซึ่งได้เปรียบด้านต้นทุนค่าแรง อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกที่ยังขยายตัวได้อยู่คือ สหภาพยุโรป สำหรับมูลค่าการส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 8.3 โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องเงินไปสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการส่งออกรองเท้าขยายตัวร้อยละ 3.4 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกรองเท้ากีฬาไปสหรัฐฯ
สำหรับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิต มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากด้านปริมาณเป็นสำคัญ ส่วนมูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนขยายตัวร้อยละ 8.6 โดยตลาดหลักที่ขยายตัวดี คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ขณะที่มูลค่าการส่งออกน้ำตาลขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของทั้งปริมาณและราคา โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นและรัสเซีย มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุปสงค์จากอุตสาหกรรม รถยนต์ในต่างประเทศ และมูลค่าการส่งออกสับปะรด บรรจุกระป๋อง ขยายตัวร้อยละ 27.4 เป็นผลจากทั้งปริมาณ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นและราคาที่สูงขึ้น จากการขาดแคลนวัตถุดิบในตลาดโลก
การนำเข้า
การนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 74.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 ในปี 2546 โดยผลจากการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าร้อยละ 9.3 ตามอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวสูงขึ้นและความต้องการวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าส่งออก ขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2
รายละเอียดของสินค้าที่สำคัญมีดังนี้
สินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.9 ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าไม่คงทนประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ผลิตภัณฑ์นมธัญพืช และผักผลไม้ ซึ่งขยายตัวโดยรวมในอัตราร้อยละ 15.9 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดเสรีสินค้าผักผลไม้ ไทย-จีน ในเดือน ตุลาคม 2546 นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มสบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง รวมทั้งเสื้อผ้า และเภสัชภัณฑ์ สำหรับสินค้าคงทน ขยายตัวร้อยละ 9.8 จากการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสำคัญ
วัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ สินค้านำเข้าที่สำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ อัญมณี ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ขยายตัวและเหล็กกล้า ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์
สินค้าทุน มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 ตามการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าในอัตราร้อยละ 11.7 เป็นสำคัญ อนึ่งแม้ว่าในปีนี้จะมีการนำเข้าคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปลดลงร้อยละ 3.6 แต่การนำเข้าชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.5 และการนำเข้าแผงวงจรรวมและชิ้นส่วนก็เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน ส่วนมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ 23.0 โดยเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ก่อสร้าง กระดาษ ขนส่งและสื่อสาร อาหาร และโลหะ รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในสำนักงาน สำหรับมูลค่าการนำเข้า เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 6.3 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก ในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าเครื่องบินเพื่อการพาณิชย์จำนวน 2 ลำ ซึ่งรวมเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ สรอ.อีกด้วย
รถยนต์และส่วนประกอบ มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าแชสซีส์ ตัวถัง และยางรถยนต์
น้ำมันดิบ มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบขยายตัวร้อยละ 23.7 ตามราคาที่สูงขึ้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ราคานำเข้าเฉลี่ยในปี 2546 อยู่ที่ 26 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เทียบกับ 22 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลในปีก่อน ขณะที่ปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.1
ดุลการค้า ดุลบริการฯ และดุลบัญชีเงินสะพัด
แม้ว่าการนำเข้าจะขยายตัวค่อนข้างสูงในปี 2546 แต่การส่งออกที่ขยายตัวสูงกว่าส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นจาก 2.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 เป็น 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีนี้ ส่วนดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุลลดลงจาก 4.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็น 3.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากรายรับได้รับผลกระทบ สำคัญจากสถานการณ์โรค SARS ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 7.8 ประกอบกับผลประโยชน์จากการลงทุนด้านรับ โดยเฉพาะของภาคทางการก็ลดลงด้วยจากอัตราผลตอบแทนที่ลดลง ขณะที่ด้านจ่ายกลับสูงขึ้นเนื่องจากรายจ่ายท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทยยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาออกจะลดลงร้อยละ 4.4 นอกจากนั้นผลประโยชน์จากการลงทุนด้านจ่ายโดยรวมก็เพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายดอกเบี้ยและการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชน แม้ว่าในขณะเดียวกัน รายจ่ายดอกเบี้ยภาคทางการจะลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ IMF Package ก่อนกำหนดก็ตาม
อย่างไรก็ดี การเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่า การลดลงของดุลบริการฯ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เพิ่มขึ้นจาก 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเป็น 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้
เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ
สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ขาดดุล 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 โดยเป็นผลจากการชำระคืนหนี้ต่างประเทศของภาคทางการเป็นสำคัญ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ก็มีการถือสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วยรายละเอียดมีดังนี้
เงินทุนภาคเอกชนขาดดุล 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยภาคธนาคารเปลี่ยนจากที่เคยเกินดุลจำนวน 1.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 เป็นขาดดุล 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์จำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับในปีก่อนที่ธนาคารพาณิชย์ลดสินทรัพย์ต่างประเทศลงเป็นจำนวนถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศดังกล่าวเป็นผลจากการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (swap) กับ ธปท.เป็นสำคัญ ส่วนการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน สำหรับภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารยังคงขาดดุลในระดับสูงคือ 6.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อน โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะทุนเรือนหุ้น (equity investment) เนื่องจากในปีก่อนบริษัทต่างชาติในไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยแปลงทุนเป็นหนี้ จึงทำให้มีการไหลออกของทุนเรือนหุ้นจำนวนสูง ประกอบกับในปีนี้ต่างชาติลงทุนในอุตสาหกรรมโลหะและยานยนต์เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนเงินลงทุนในหลักทรัพย์เปลี่ยนจากที่ขาดดุล 1.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเป็นเกินดุลเล็กน้อยในปีนี้ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน (equity securities) ประกอบกับการไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดลดลงจากปีก่อนมาก นอกจากนี้ การชำระคืนเงินกู้นอกเครือ (other loans) ลดลงจาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการชำระคืนสุทธิทั้งตามกำหนดและก่อนกำหนดของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งและการค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นสำคัญ
ส่วนเงินทุนภาคทางการ (รวม ธปท.) เกินดุล 0.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดย ธปท.เกินดุลสุทธิจำนวน 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แม้ว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้ IMF Package จำนวน 4.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ก็ตาม ขณะที่ภาครัฐขาดดุล 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนใหญ่จากการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวตามการปรับโครงสร้างหนี้ของทั้งรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมีการ refinance เงินกู้โครงการต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(JBIC)
ดุลการชำระเงิน
แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลในระดับสูงแต่เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อนทำให้ดุลการชำระเงินเกินดุลเพียง 143 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้เทียบกับที่เกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 อย่างไรก็ดี การเกินดุลดุลการชำระเงินดังกล่าวส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2546 เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2545 เป็น 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่ากับการนำเข้า 6.8 เดือน โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 5.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-วย-/-ดพ-
การส่งออก
การส่งออกมีมูลค่ารวม 78.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 18.6 จากการขยายตัวของปริมาณร้อยละ 10.0 และราคาร้อยละ 7.9 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูง ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนและจีน ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันร้อยละ 27.7 และมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ในปีนี้ นอกจากนั้น การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกและการขยายตัวของตลาดยานยนต์โลก ประกอบกับอุปสงค์ต่อสินค้าเกษตรในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรได้รับประโยชน์ทั้งด้านปริมาณและราคา
รายละเอียดของสินค้าส่งออกที่สำคัญมีดังนี้
สินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกยางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.2 ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะในจีน กลุ่มประเทศอาเซียน และญี่ปุ่นสำหรับมูลค่าการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 จากปัจจัยด้านราคา โดยเฉพาะราคาข้าวเจ้าขาวหอมมะลิในตลาดอาเซียน ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวไม่ได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากอินเดียซึ่งมีการอุดหนุนการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี สำหรับมันสำปะหลังแม้ราคาจะลดลง แต่ปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์มันเส้นและมันอัดเม็ดจากจีนเพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์และจากสหภาพยุโรปเพื่อไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ทำให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 ส่วนมูลค่าการส่งออกเป็ดไก่แช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 จากปัจจัยด้านปริมาณ โดยเฉพาะการส่งออกไปสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ขณะที่ราคาลดลงเนื่องจากการแข่งขันสูงโดยเฉพาะจากบราซิลและจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
สินค้าประมง มูลค่าการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากปีก่อน โดยเป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอุปสงค์จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักและครองสัดส่วนการส่งออกสินค้าประเภทนี้ถึงร้อยละ 52.1 อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปี 2546 กลุ่มชาวประมงกุ้งของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนการทุ่มตลาดกับ 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินเดีย เวียดนาม จีน บราซิล และเอกวาดอร์ สำหรับการส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรปได้รับผลกระทบจากมาตรการตรวจสอบสารเคมีตกค้าง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 66.7 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการส่งออกกุ้งไปสหภาพยุโรปคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.5 ของการส่งออกกุ้งทั้งหมด และเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 ก็ได้มีการยกเลิกมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดแล้ว โดยสุ่มตรวจสอบเพียงร้อยละ 10 จากเดิมที่ตรวจสอบทั้งหมด
สินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 17.9 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85.8 ของการส่งออกรวม ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน
สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.4 ของการส่งออกทั้งหมดและในปี 2546 มูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 18.4 ที่สำคัญได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งขยายตัวร้อยละ 18.0 ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนและแผงวงจรรวมและชิ้นส่วน ทั้งนี้ตลาดส่งออกที่สำคัญของสินค้าประเภทนี้ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรป และจีนซึ่งนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าส่งออกไปประเทศอื่นอีกต่อหนึ่ง ส่วนการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ลดลง สำหรับมูลค่าการส่งออก เครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 13.7 ในปีนี้ โดยตลาดที่ขยายตัวมาก ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป กลุ่มประเทศอาเซียน และญี่ปุ่น ขณะที่มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์โลหะสามัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.2 โดยเฉพาะการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก เนื่องจากสินค้าที่ผลิตภายในจีนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ส่วนมูลค่าการส่งออกยานพาหนะ และชิ้นส่วนขยายตัวร้อยละ 37.7 โดยตลาดที่สำคัญได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เคมี ขยายตัวร้อยละ 36.3 ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อีกทั้งยังเป็นช่วงวัฎจักร ขาขึ้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัว ร้อยละ 24.0 โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ กลุ่มประเทศ อาเซียน จีน ฮ่องกง และสหรัฐฯ
ในกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานสูง มูลค่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.6 ในปี 2546 เพราะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกเกินครึ่งหนึ่ง หดตัวร้อยละ 1.9 เนื่องจากประสบภาวะการแข่งขันรุนแรงจากจีนและเวียดนาม ซึ่งได้เปรียบด้านต้นทุนค่าแรง อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกที่ยังขยายตัวได้อยู่คือ สหภาพยุโรป สำหรับมูลค่าการส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 8.3 โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องเงินไปสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการส่งออกรองเท้าขยายตัวร้อยละ 3.4 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกรองเท้ากีฬาไปสหรัฐฯ
สำหรับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิต มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากด้านปริมาณเป็นสำคัญ ส่วนมูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนขยายตัวร้อยละ 8.6 โดยตลาดหลักที่ขยายตัวดี คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ขณะที่มูลค่าการส่งออกน้ำตาลขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของทั้งปริมาณและราคา โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นและรัสเซีย มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุปสงค์จากอุตสาหกรรม รถยนต์ในต่างประเทศ และมูลค่าการส่งออกสับปะรด บรรจุกระป๋อง ขยายตัวร้อยละ 27.4 เป็นผลจากทั้งปริมาณ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นและราคาที่สูงขึ้น จากการขาดแคลนวัตถุดิบในตลาดโลก
การนำเข้า
การนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 74.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 ในปี 2546 โดยผลจากการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าร้อยละ 9.3 ตามอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวสูงขึ้นและความต้องการวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าส่งออก ขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2
รายละเอียดของสินค้าที่สำคัญมีดังนี้
สินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.9 ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าไม่คงทนประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ผลิตภัณฑ์นมธัญพืช และผักผลไม้ ซึ่งขยายตัวโดยรวมในอัตราร้อยละ 15.9 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดเสรีสินค้าผักผลไม้ ไทย-จีน ในเดือน ตุลาคม 2546 นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มสบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง รวมทั้งเสื้อผ้า และเภสัชภัณฑ์ สำหรับสินค้าคงทน ขยายตัวร้อยละ 9.8 จากการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสำคัญ
วัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ สินค้านำเข้าที่สำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ อัญมณี ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ขยายตัวและเหล็กกล้า ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์
สินค้าทุน มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 ตามการขยายตัวของปริมาณการนำเข้าในอัตราร้อยละ 11.7 เป็นสำคัญ อนึ่งแม้ว่าในปีนี้จะมีการนำเข้าคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปลดลงร้อยละ 3.6 แต่การนำเข้าชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 33.5 และการนำเข้าแผงวงจรรวมและชิ้นส่วนก็เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน ส่วนมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ 23.0 โดยเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ก่อสร้าง กระดาษ ขนส่งและสื่อสาร อาหาร และโลหะ รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในสำนักงาน สำหรับมูลค่าการนำเข้า เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 6.3 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของวัฎจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก ในช่วงครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าเครื่องบินเพื่อการพาณิชย์จำนวน 2 ลำ ซึ่งรวมเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ สรอ.อีกด้วย
รถยนต์และส่วนประกอบ มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าแชสซีส์ ตัวถัง และยางรถยนต์
น้ำมันดิบ มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบขยายตัวร้อยละ 23.7 ตามราคาที่สูงขึ้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ราคานำเข้าเฉลี่ยในปี 2546 อยู่ที่ 26 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เทียบกับ 22 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลในปีก่อน ขณะที่ปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.1
ดุลการค้า ดุลบริการฯ และดุลบัญชีเงินสะพัด
แม้ว่าการนำเข้าจะขยายตัวค่อนข้างสูงในปี 2546 แต่การส่งออกที่ขยายตัวสูงกว่าส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นจาก 2.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 เป็น 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีนี้ ส่วนดุลบริการ รายได้ และเงินโอนเกินดุลลดลงจาก 4.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็น 3.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากรายรับได้รับผลกระทบ สำคัญจากสถานการณ์โรค SARS ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 7.8 ประกอบกับผลประโยชน์จากการลงทุนด้านรับ โดยเฉพาะของภาคทางการก็ลดลงด้วยจากอัตราผลตอบแทนที่ลดลง ขณะที่ด้านจ่ายกลับสูงขึ้นเนื่องจากรายจ่ายท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทยยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาออกจะลดลงร้อยละ 4.4 นอกจากนั้นผลประโยชน์จากการลงทุนด้านจ่ายโดยรวมก็เพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายดอกเบี้ยและการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชน แม้ว่าในขณะเดียวกัน รายจ่ายดอกเบี้ยภาคทางการจะลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ IMF Package ก่อนกำหนดก็ตาม
อย่างไรก็ดี การเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่า การลดลงของดุลบริการฯ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เพิ่มขึ้นจาก 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเป็น 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้
เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ
สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ขาดดุล 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นจาก 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 โดยเป็นผลจากการชำระคืนหนี้ต่างประเทศของภาคทางการเป็นสำคัญ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ก็มีการถือสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วยรายละเอียดมีดังนี้
เงินทุนภาคเอกชนขาดดุล 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยภาคธนาคารเปลี่ยนจากที่เคยเกินดุลจำนวน 1.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 เป็นขาดดุล 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์จำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับในปีก่อนที่ธนาคารพาณิชย์ลดสินทรัพย์ต่างประเทศลงเป็นจำนวนถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศดังกล่าวเป็นผลจากการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (swap) กับ ธปท.เป็นสำคัญ ส่วนการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน สำหรับภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารยังคงขาดดุลในระดับสูงคือ 6.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อน โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะทุนเรือนหุ้น (equity investment) เนื่องจากในปีก่อนบริษัทต่างชาติในไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยแปลงทุนเป็นหนี้ จึงทำให้มีการไหลออกของทุนเรือนหุ้นจำนวนสูง ประกอบกับในปีนี้ต่างชาติลงทุนในอุตสาหกรรมโลหะและยานยนต์เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนเงินลงทุนในหลักทรัพย์เปลี่ยนจากที่ขาดดุล 1.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเป็นเกินดุลเล็กน้อยในปีนี้ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน (equity securities) ประกอบกับการไถ่ถอนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดลดลงจากปีก่อนมาก นอกจากนี้ การชำระคืนเงินกู้นอกเครือ (other loans) ลดลงจาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปีก่อนเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการชำระคืนสุทธิทั้งตามกำหนดและก่อนกำหนดของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งและการค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นสำคัญ
ส่วนเงินทุนภาคทางการ (รวม ธปท.) เกินดุล 0.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดย ธปท.เกินดุลสุทธิจำนวน 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แม้ว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้ IMF Package จำนวน 4.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ก็ตาม ขณะที่ภาครัฐขาดดุล 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนใหญ่จากการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวตามการปรับโครงสร้างหนี้ของทั้งรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมีการ refinance เงินกู้โครงการต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(JBIC)
ดุลการชำระเงิน
แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลในระดับสูงแต่เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นมากจากปีก่อนทำให้ดุลการชำระเงินเกินดุลเพียง 143 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในปีนี้เทียบกับที่เกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 อย่างไรก็ดี การเกินดุลดุลการชำระเงินดังกล่าวส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2546 เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2545 เป็น 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่ากับการนำเข้า 6.8 เดือน โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 5.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-วย-/-ดพ-