เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Sector Master Plan) ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแผนที่กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำขึ้นเพื่อปรับปรุงให้ระบบสถาบันการเงินมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ มีการแข่งขันของผู้ให้บริการ มีการกระจายบริการทางการเงินสู่ประชาชนที่มีศักยภาพทั้งประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้งเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองและความเป็นธรรม ธปท. จึงขอสรุปมาตรการตามแผน รวมทั้งแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมถึงการดำเนินการตามมาตรการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (แผนฯ) ดังต่อไปนี้
1. จัดรูปแบบและบทบาทของระบบสถาบันการเงินให้มีความคล่องตัวในทางธุรกิจ สามารถแข่งขันได้มากขึ้น และให้บริการได้ทั่วถึงขึ้น โดยสถาบันการเงินไทยในระยะต่อไปจะมีเพียง 2 รูปแบบ คือ
ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้ทุกกลุ่มและทำธุรกรรมทางการเงินได้เกือบทุกประเภท ยกเว้นการออกกรมธรรม์ประกันภัยหรือประกันชีวิต การรับประกันการจำหน่าย (Underwrite) ตราสารทุน และการเป็นนายหน้าและผู้ค้าตราสารทุนธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ากลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) และประชาชนรายย่อย โดยสินเชื่อที่ให้แก่ลูกหนี้แต่ละรายจะต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนด สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เกือบทุกประเภท แต่มีข้อยกเว้นเช่นเดียวกับ ธพ. และยกเว้นธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินตราต่างประเทศและธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตราสารอนุพันธ์
การดำเนินการต่อจากนี้ไปคือ ให้บริษัทเงินทุน (บง.) และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) ที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้และมีคุณสมบัติเหมาะสม ผ่านเกณฑ์วัดความเข้มแข็งทั้งในเชิงคุณภาพ (เช่นบทบาทและพฤติกรรมของกรรมการและผู้บริหารระดับสูง การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายในและการตรวจสอบ) และในเชิงปริมาณ (ได้แก่ เงินกองทุนสุทธิต่อสินทรัพย์เสี่ยงถ่วงน้ำหนัก สินทรัพย์ด้อยคุณภาพต่อสินทรัพย์รวม เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้) ยื่นขออนุญาตปรับสถานะเป็น ธพ. หรือ ธย. ได้ ขึ้นอยู่กับเงินกองทุนและเงื่อนไขดังนี้คือ
- ธพ. ประเภทที่ขอเปิดสาขาได้ ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และต้องเป็นแกนในการควบรวมกับสถาบันการเงินแห่งอื่นก่อน
- ธพ. ประเภทไม่มีสาขา ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามจำนวนที่กำหนด
- ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท โดยสามารถขอเปิดสาขาได้ทั่วไป
สำหรับ สถาบันการเงินต่างชาติ ก็มี 2 รูปแบบเช่นเดียวกัน คือ
สาขาของธนาคารต่างประเทศ (Full Branch) ประกอบธุรกิจได้เหมือน ธพ. ไทย แต่ไม่สามารถมีสำนักงานสาขาได้
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ (Subsidiary) คือธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไทย ทำธุรกรรมได้เช่นเดียวกับ ธพ. ไทย และสามารถเปิดสำนักงานสาขาได้ 3-5 แห่ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป
การดำเนินการต่อจากนี้ไปเกี่ยวกับสถาบันการเงินต่างชาติคือ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถแปลงสภาพเป็น ธพ. ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศได้ตามความสมัครใจ โดยมีเงินกองทุนตามที่ทางการกำหนด และให้กิจการวิเทศธนกิจ (Stand-alone BIBF) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด ขออนุญาตแปลงสภาพเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศหรือ ธพ. ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศได้ โดยถ้าต้องการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศต้องเป็นแกนในการควบรวมกับสถาบันการเงินแห่งอื่นก่อน
อนึ่ง เนื่องจากการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงินข้างต้นได้ขยายขอบเขตธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาความแตกต่างของขอบเขตธุรกิจของสถาบันการเงินประเภทต่างๆ ในปัจจุบันแล้ว ดังนั้น กลุ่มธุรกิจการเงินหนึ่ง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีสถาบันการเงินหลายประเภทอยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน และควรมีสถาบันการเงินที่รับเงินฝากจากประชาชนเพียง 1 ประเภท (One presence) เท่านั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จาก Economy of scale และลดความซ้ำซ้อนในระบบสถาบันการเงิน
2. นอกจากการให้ใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย (ธย.) เพื่อบริการลูกค้ารายย่อยและ SMEs ดังกล่าวแล้ว ทางการจะส่งเสริมการดำเนินงานขององค์กรการเงินชุมชนผ่านหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศูนย์กลางการพัฒนา เพื่อให้ประชาชนในระดับรากหญ้าสามารถได้บริการทางการเงินอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยคณะกรรมการส่งเสริมบริการทางการเงินระดับรากหญ้า ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานจะพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
3. ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพระบบสถาบันการเงิน เช่น วางกรอบการกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจการเงิน (Consolidated supervision) ส่งเสริมระบบการบริหารความเสี่ยงผ่อนปรนข้อบังคับเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งส่งเสริมกลไกตลาดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการทางการเงิน
4. ทางการจะส่งเสริมให้มีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการร้องเรียนของประชาชน ซึ่งกระบวนการดูแลผู้บริโภคจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว และเมื่อมีการแข่งขันมากขึ้นจากการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงิน
สำหรับการดำเนินการต่อไปนั้น กระทรวงการคลังจะออกประกาศที่กำหนดรายละเอียดการจัดรูปแบบสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศ ภายหลังจากนั้น สถาบันการเงินที่ประสงค์ขอปรับสถานะสามารถยื่นคำขอปรับสถานะมายัง ธปท. ได้ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ในประกาศ สำหรับสถาบันการเงินที่จะดำเนินการตามหลักการ One presence นั้น ให้จัดส่งแผนมายังธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป คาดว่ากระบวนการดำเนินการในส่วนของการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงินตามแผนฯ จะเสร็จภายในระยะเวลาสองปี โดยการดำเนินการส่วนใหญ่น่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี ซึ่ง ธปท. จะจัดชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับสถาบันการเงินทั้งหมดในเดือนมกราคมนี้ และจะหารือกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งในรายละเอียดต่อไป สำหรับการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค นั้น ธปท.ได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว และจะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนฯ ได้ในที่สุด
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. จัดรูปแบบและบทบาทของระบบสถาบันการเงินให้มีความคล่องตัวในทางธุรกิจ สามารถแข่งขันได้มากขึ้น และให้บริการได้ทั่วถึงขึ้น โดยสถาบันการเงินไทยในระยะต่อไปจะมีเพียง 2 รูปแบบ คือ
ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้ทุกกลุ่มและทำธุรกรรมทางการเงินได้เกือบทุกประเภท ยกเว้นการออกกรมธรรม์ประกันภัยหรือประกันชีวิต การรับประกันการจำหน่าย (Underwrite) ตราสารทุน และการเป็นนายหน้าและผู้ค้าตราสารทุนธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ากลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) และประชาชนรายย่อย โดยสินเชื่อที่ให้แก่ลูกหนี้แต่ละรายจะต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนด สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เกือบทุกประเภท แต่มีข้อยกเว้นเช่นเดียวกับ ธพ. และยกเว้นธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินตราต่างประเทศและธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตราสารอนุพันธ์
การดำเนินการต่อจากนี้ไปคือ ให้บริษัทเงินทุน (บง.) และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) ที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้และมีคุณสมบัติเหมาะสม ผ่านเกณฑ์วัดความเข้มแข็งทั้งในเชิงคุณภาพ (เช่นบทบาทและพฤติกรรมของกรรมการและผู้บริหารระดับสูง การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายในและการตรวจสอบ) และในเชิงปริมาณ (ได้แก่ เงินกองทุนสุทธิต่อสินทรัพย์เสี่ยงถ่วงน้ำหนัก สินทรัพย์ด้อยคุณภาพต่อสินทรัพย์รวม เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้) ยื่นขออนุญาตปรับสถานะเป็น ธพ. หรือ ธย. ได้ ขึ้นอยู่กับเงินกองทุนและเงื่อนไขดังนี้คือ
- ธพ. ประเภทที่ขอเปิดสาขาได้ ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และต้องเป็นแกนในการควบรวมกับสถาบันการเงินแห่งอื่นก่อน
- ธพ. ประเภทไม่มีสาขา ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามจำนวนที่กำหนด
- ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท โดยสามารถขอเปิดสาขาได้ทั่วไป
สำหรับ สถาบันการเงินต่างชาติ ก็มี 2 รูปแบบเช่นเดียวกัน คือ
สาขาของธนาคารต่างประเทศ (Full Branch) ประกอบธุรกิจได้เหมือน ธพ. ไทย แต่ไม่สามารถมีสำนักงานสาขาได้
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ (Subsidiary) คือธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไทย ทำธุรกรรมได้เช่นเดียวกับ ธพ. ไทย และสามารถเปิดสำนักงานสาขาได้ 3-5 แห่ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป
การดำเนินการต่อจากนี้ไปเกี่ยวกับสถาบันการเงินต่างชาติคือ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถแปลงสภาพเป็น ธพ. ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศได้ตามความสมัครใจ โดยมีเงินกองทุนตามที่ทางการกำหนด และให้กิจการวิเทศธนกิจ (Stand-alone BIBF) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด ขออนุญาตแปลงสภาพเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศหรือ ธพ. ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศได้ โดยถ้าต้องการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศต้องเป็นแกนในการควบรวมกับสถาบันการเงินแห่งอื่นก่อน
อนึ่ง เนื่องจากการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงินข้างต้นได้ขยายขอบเขตธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาความแตกต่างของขอบเขตธุรกิจของสถาบันการเงินประเภทต่างๆ ในปัจจุบันแล้ว ดังนั้น กลุ่มธุรกิจการเงินหนึ่ง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีสถาบันการเงินหลายประเภทอยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน และควรมีสถาบันการเงินที่รับเงินฝากจากประชาชนเพียง 1 ประเภท (One presence) เท่านั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จาก Economy of scale และลดความซ้ำซ้อนในระบบสถาบันการเงิน
2. นอกจากการให้ใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย (ธย.) เพื่อบริการลูกค้ารายย่อยและ SMEs ดังกล่าวแล้ว ทางการจะส่งเสริมการดำเนินงานขององค์กรการเงินชุมชนผ่านหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศูนย์กลางการพัฒนา เพื่อให้ประชาชนในระดับรากหญ้าสามารถได้บริการทางการเงินอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยคณะกรรมการส่งเสริมบริการทางการเงินระดับรากหญ้า ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานจะพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
3. ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพระบบสถาบันการเงิน เช่น วางกรอบการกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจการเงิน (Consolidated supervision) ส่งเสริมระบบการบริหารความเสี่ยงผ่อนปรนข้อบังคับเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งส่งเสริมกลไกตลาดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการทางการเงิน
4. ทางการจะส่งเสริมให้มีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการร้องเรียนของประชาชน ซึ่งกระบวนการดูแลผู้บริโภคจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว และเมื่อมีการแข่งขันมากขึ้นจากการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงิน
สำหรับการดำเนินการต่อไปนั้น กระทรวงการคลังจะออกประกาศที่กำหนดรายละเอียดการจัดรูปแบบสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศ ภายหลังจากนั้น สถาบันการเงินที่ประสงค์ขอปรับสถานะสามารถยื่นคำขอปรับสถานะมายัง ธปท. ได้ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ในประกาศ สำหรับสถาบันการเงินที่จะดำเนินการตามหลักการ One presence นั้น ให้จัดส่งแผนมายังธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป คาดว่ากระบวนการดำเนินการในส่วนของการจัดรูปแบบและบทบาทของสถาบันการเงินตามแผนฯ จะเสร็จภายในระยะเวลาสองปี โดยการดำเนินการส่วนใหญ่น่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี ซึ่ง ธปท. จะจัดชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับสถาบันการเงินทั้งหมดในเดือนมกราคมนี้ และจะหารือกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งในรายละเอียดต่อไป สำหรับการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค นั้น ธปท.ได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว และจะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนฯ ได้ในที่สุด
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-