ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและในอนาคต
อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากประเภทหนึ่ง โดยเป็นแหล่งรายได้และสามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก (Labour Intensive) ช่วยสร้างงานจำนวนไม่น้อยกว่า 100,000 คน ในภาคอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการผลิตที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก การผลิตยังคงอาศัยแรงงานและทักษะความชำนาญของแรงงานอยู่มาก ขั้นตอนการผลิตหลายขั้นตอนยังไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตได้ เนื่องจากสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบ่อยตามแฟชั่น ทำให้ยากต่อการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิต จากเหตุผลและข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้โครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมนี้มีโครงสร้างการผลิตที่ใกล้เคียงกันในแต่ละประเทศ แต่อย่างไรก็ดีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบด้านต้นทุนการผลิตในแต่ละประเทศนั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานหลายประการที่สำคัญ ได้แก่ ฝีมือแรงงาน ความสามารถในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ความสามารถในการพัฒนาคุณภาพสินค้า ค่าจ้างแรงงาน ความสามารถในการได้มาหรือการมีแหล่งวัตถุดิบราคาถูก ความพร้อมด้านวัสดุและอุปกรณ์ และต้นทุนการดำเนินการในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน เช่น อัตราภาษี นำเข้า-ส่งออก ภาษีการค้า ระเบียบขั้นตอนของราชการ และระบบสาธารณูปโภค ซึ่งประเทศที่มีความพร้อมในสิ่งต่างๆเหล่านี้มากกว่าก็จะเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการ แข่งขันที่สูงกว่า
อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบสามารถแบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมย่อยได้อีกหลายประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้ายาง และพลาสติก รองเท้ากีฬา รองเท้าแตะ รองเท้าหนังแท้ รองเท้าหนังเทียมและรองเท้าอื่นๆ รวมทั้งส่วนประกอบรองเท้า โดยการผลิตในอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบนั้นมีสามลักษณะได้แก่การผลิตตามคำสั่งของบริษัทแม่ในต่างประเทศ การรับจ้างหรือการรับช่วงในการผลิตให้แก่ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศภายใต้เครื่องหมายการค้า รวมทั้งแบบและวัตถุดิบที่ใช้ที่กำหนดมา และประเภทสุดท้ายคือการผลิตโดยผู้ผลิตภายในประเทศและทำการออกแบบเอง โดยผู้ประกอบการผลิตรองเท้าและส่วนประกอบส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง (SMEs) ประมาณร้อยละ 85
มีรายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการประกอบกิจการรวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นจำนวนทั้งสิ้น 548 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่จำนวน 30 ราย ผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 130 ราย ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 388 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) และผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 31 ราย (ข้อมูลจาก WWW.THAITAMBON.COM) ส่วนผู้นำเข้าในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบมีจำนวนทั้งสิ้น 35 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบมีจำนวนทั้งสิ้น 149 ราย
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบที่เป็นผู้ประกอบการที่อยู่ภายในเขตความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 มีจำนวนทั้งสิ้น 22 รายหรือคิดเป็น ร้อยละ 4.08 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 9 ราย และ ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 13 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดกรุงเทพมหานคร มีทุนจดทะเบียน 1,377,026,923 บาท บริษัท ซี เค ชูส์(ประเทศไทย)จำกัด จังหวัดขอนแก่น มีทุนจดทะเบียน 680,000,000 บาท และบริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด จังหวัดจังหวัดกรุงเทพมหานคร มีทุนจดทะเบียน 556,000,000 บาท ส่วนผู้ผลิตรายสำคัญที่อยู่ในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ได้แก่ บริษัท ซี เค ชูส์ จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ มีทุนจดทะเบียน 643,189,442 บาท บริษัท ยูเนี่ยนชูส์ จำกัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทุนจดทะเบียน 337,112,000 บาท บริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทุนจดทะเบียน 290,700,000 บาท และบริษัท แพนเอเซียเลทเธอร์ จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี มีทุนจดทะเบียน 234,500,000 บาท
ภาวะตลาดภายในประเทศและการส่งออก/นำเข้า
ภาวะตลาดภายในประเทศ
ตลาดภายในประเทศไทยของรองเท้าหนังและส่วนประกอบในปัจจุบันมีความต้องการอยู่มาก โดยในกลุ่มสินค้าที่มาจากการนำเข้าจากต่างประเทศมีทั้งผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบของสินค้าที่มีคุณภาพระดับปานกลางของยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในจีน อินโดนีเซีย เกาหลี และเวียดนาม เช่น ยี่ห้อ Nine West, DKNY, TOMMY HILFIGER, ETC. และกลุ่มผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบที่มี Brand Name ชื่อดังและคุณภาพดีที่มีการนำเข้ามาจาก ประเทศอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกา เป็นต้น ส่วนกลุ่มสินค้าที่ผลิตจากผู้ประกอบการภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการภายในประเทศได้มีการพัฒนาทั้งด้านคุณภาพและรูปแบบของสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบโดยมีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการผลิตมากขึ้น รวมทั้งการคัดเลือกวัตถุดิบ หนังดิบและหนังฟอกที่มีคุณภาพสูงโดยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งสามารถยกระดับสินค้าได้ทัดเทียมกับยี่ห้อชั้นนำ ระดับกลางจากต่างประเทศ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ตลาดรองเท้าหนังและส่วนประกอบภายในประเทศสามารถแจกแจงได้เป็นสินค้าในหลายระดับตามคุณภาพและราคาของสินค้าดังกล่าว คือ ตลาดระดับบน เป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีรายได้สูงและนิยมสินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงจากต่างประเทศจึงยังมีการนำเข้าสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์รองเท้าที่มีชื่อเสียงของผู้ผลิตชั้นนำของโลก โดยมีการนำเข้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบส่วนใหญ่มาจากประเทศอิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ตลาดระดับกลาง เป็นสินค้าที่มีราคาปานกลางและมีคุณภาพดี แต่เครื่องหมายการค้ายังมี ชื่อเสียงไม่มากนัก มีทั้งที่ผลิตได้เองในประเทศและที่มาจากการนำเข้า ซึ่งมีการวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยมีรูปแบบที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพแต่ราคาไม่แพงจนเกินไป
ตลาดระดับล่างเป็นสินค้าที่มีราคาต่ำ และมีคุณภาพของสินค้าที่ค่อนข้างต่ำ สามารถตอบสนองผู้บริโภคที่มีรายได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ผลิตเองในประเทศ โดยมีการลอกเลียนเเบบจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ทำให้มีรูปร่างคล้ายกันแต่คุณภาพแตกต่างกัน
ช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศมีหลากหลายทางด้วยกันโดยในตลาดรองเท้าและส่วนประกอบระดับบนและกลางจะมีแหล่งจำหน่ายอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ รวมทั้งการมี Outlet (Showroom) เป็นของตนเองเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตราสินค้าและขายสินค้า ณ จุดขาย ส่วนสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบในตลาดระดับล่างนั้นมีแหล่งจำหน่ายอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ตลาดนัดต่างๆ และร้านค้ารองเท้าทั่วประเทศ ระดับราคารองเท้าก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ ลวดลาย และรูปแบบของรองเท้า
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบไปยังตลาดโลกคิดเป็นมูลค่า 116.07 และ 370.91 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 และ 2544 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวในการส่งออกของปีพ.ศ. 2543และ 2544 เท่ากับ -38.73 และ 219.56 ตามลำดับ โดยมีตลาดส่งออกสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบที่สำคัญของประเทศไทย ดังต่อไปนี้
เดนมาร์กมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศเดนมาร์กเท่ากับ 6.68 และ 99.67 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5.76 และ 26.87 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่ากับ 21.44 และ 53.66 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 18.47 และ 14.47 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
เนเธอร์แลนด์มีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศเนเธอร์แลนด์เท่ากับ 2.71 และ 51.14 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 2.34 และ 13.79 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 4.10 และ 49.55 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 3.11 และ13.36 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหราชอาณาจักรมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยสหราชอาณาจักรเท่ากับ 3.11 และ 24.48 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 2.68 และ 6.60 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ที่ผ่านมาการส่งออกผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบของประเทศไทย ต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพและราคา กล่าวคือ ถ้าเป็นสินค้าคุณภาพสูง ประเทศไทยจะเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันทางด้านการออกแบบ การใช้เทคโนโลยี และเครื่องจักรที่ทันสมัย ส่วน สินค้าคุณภาพปานกลางและต่ำประเทศไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันทางด้านต้นทุนการผลิตสูงกว่าและวัตถุดิบมีจำกัด แต่อุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยก็มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบทางด้านต้นทุนการผลิตในหลายประการ โดยเฉพาะฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพในการผลิต ระบบการจัดการที่ดี มีบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไทยยังมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบด้านศักยภาพการผลิตเหนือกว่าหลายๆ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม และอินเดีย ดังนั้นแนวทางการพัฒนาเพื่อปรับปรุง รักษา หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการปรับปรุงข้อบกพร่องและเสริมสร้างจุดเด่นที่อุตสาหกรรมนี้มีอยู่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการส่งออกเครื่องหนังไทย ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นและสามารถแข่งขันได้ ภายใต้สถานการณ์การค้าโลกที่ปรับตัวเข้าสู่ระบบเสรีอย่างมาก ทั้งนี้แนวทางการปรับตัวที่สำคัญที่ควรเร่งดำเนินการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การปรับปรุงต้นทุนในการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการควบคุมให้การรองเท้าหนังและส่วนประกอบมีต้นทุนต่ำมีความสำคัญค่อนข้างมาก โดยรัฐควรจะต้องดำเนินนโยบายทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่มีผลต่อการลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ได้แก่ การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การลดพิธีการศุลกากร เร่งปรับปรุงและพัฒนาวัตถุดิบในประเทศให้มีคุณภาพเพียงพอต่อความต้องการ
การขยายตลาดสินค้ารองเท้าหนังและชิ้นส่วนของไทยในตลาดโลกกำลังเผชิญอุปสรรคครั้งสำคัญ เพราะว่าจีนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ทั้งนี้เนื่องจากสินค้าจากประเทศจีนมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าในประเทศไทยประกอบกับการผลิตสินค้าดังกล่าว ประเทศไทยและในประเทศจีนโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labour Intensive Industries) ดังนั้น ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนจึงเป็นแรงผลักดันให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากประเทศจีนผลพวงที่จะตามมาก็คือสินค้ารองเท้าหนังและ ส่วนประกอบรองเท้าของประเทศไทยจะแข่งขันสินค้าจากประเทศจีนได้น้อยลง
ส่วนช่องทางการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดสินค้าระดับกลางและล่างโดยมีการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าและมีการจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อช่วยขยายตลาดส่งออกรวมทั้งเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศของ ผู้ประกอบการที่เริ่มประกอบกิจการและกำลังขยายตลาดไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมีตลาดที่น่าสนใจ เช่น ตลาดประเทศเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศในแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยมีการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องหนังในต่างประเทศ เช่น จีน เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เป็นต้น
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
แนวโน้มของตลาดภายในประเทศสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยในตลาดระดับกลางและล่างนั้นจะเห็นได้ว่ามีการนำเข้าจากประเทศที่ผลิตสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบในตลาดระดับกลางและล่าง เช่น จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม เพิ่มขึ้น แสดงว่าผู้บริโภคภายในประเทศยอมรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น ทั้งทางด้านราคาและคุณภาพ ดังนั้นผู้ผลิตและผู้ประกอบการภายในประเทศในตลาดระดับกลางและล่างจึงควรมีกรพัฒนารูปแบบและราคาให้แข่งขันับสินค้าจากต่างประเทศได้ ส่วนในตลาดระดับบนการแข่งขันจากผู้ประกอบการยังมีไม่มากนัก การบริโภคส่วนใหญ่จึงมาจากการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เช่น จากประเทศอิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและลดลงไม่มาก แล้วแต่ความต้องการของผู้บริโภค จึงควรมีการรณรงค์ให้ผู้บริโภคเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ แม้ว่าจะมีคุณภาพของสินค้าที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ผลประโยชน์ทีได้รับจะเกิดขึ้นภายในประเทศ และช่วยลดการสูญเสียยเงินตราต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้นจึงควรมีการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ทำการผลิตสินค้ารองเท้าหนัง เพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
แนวโน้มอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยในตลาดต่างประเทศนั้น มีแนวโน้มที่ดีในการส่งออก เนื่องจากมีการขยายตัวการส่งออกถึงร้อยละ 219.56 ในปี 2544 แสดงถึงการฟื้นตัวของออุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่สำคัญ เช่น เดนมาร์ก สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการสนับสนุนผู้ผลิตและผู้ประกอบการในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ แต่การพิจารณาขีดความสามารถในการแข่งขันของเครื่องหนังไทยในตลาดโลก จะต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของปัจจัยในประเทศ ที่จะเอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบการ สามารถผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาดได้ในต้นทุนที่ต่ำโดยเปรียบเทียบ อันได้แก่ ความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ ระดับเทคโนโลยี การพัฒนาแรงงาน ความสามารถในการบริหารจัดการ การพัฒนาระบบพื้นฐาน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา ที่เอื้ออำนวยต่อการขยายการผลิตและการลงทุน รวมทั้งต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยมุ่งผลิตสินค้าคุณภาพสูงให้ต้นทุนต่ำเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดระดับบน ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าให้มากขึ้น รวมถึงความเหมาะสมในการวางตัวสินค้าในตลาด แสวงหาตลาดใหม่ ๆ และการเจรจาการค้าเพื่อลดข้อกีดกันทางการค้า และสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดโลก
ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ควรระมัดระวัง
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบ และข้อมูลจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ สรุปปัญหาและอุปสรรคในการประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบ ได้ดังนี้
1. ขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งหนังดิบและหนังฟอกในประเทศ ต้องนำเข้าหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะหนังคุณภาพดี เนื่องจากโคหรือกระบือในประเทศไทยเป็นโคหรือกระบือพื้นเมืองเขตร้อนที่มีขนาดเล็ก หนังบาง และการเลี้ยงดูแบบปล่อยตามธรรมชาติทำให้หนังมีรอยตำหนิจากการเป็นโรค แมลงกัด และรอยขีดข่วนจากสิ่งต่างๆ รวมทั้งกรรมวิธีการผลิตหนังดิบยังล้าสมัย และไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้แล้วแนวทางการเพิ่มปริมาณหนังดิบโดยผ่านการส่งเสริมการปศุสัตว์ เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องจากคนไทยไม่นิยมบริโภคเนื้อวัว
2. โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบ เช่น หนังฟอก สารเคมี วัสดุอุปกรณ์ และส่วนประกอบตกแต่งแฟชั่นคุณภาพสูง ซึ่งไม่มีการผลิตในประเทศต้องนำเข้าจากต่างประเทศยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นโยบายชั่วคราวโดยผ่าน BOI ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ควรต้องมีการพัฒนาให้เป็นนโยบายถาวร
3. ขาดแคลนแรงงานคุณภาพ เช่น ช่างเครื่อง ช่างเย็บ และช่างออกแบบ และปัจจุบันค่าแรงงานไร้ฝีมือของไทยอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศคู่แข่งมาก นอกจากนี้การลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยที่ประสิทธิภาพของแรงงานไม่ได้ปรับตัวตามค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ฐานการผลิตและเทคโนโลยีไม่แข็งแรง เฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่ผ่านมา มุ่งสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อผลิตเครื่องหนังส่งออก โดยรับจ้างผลิตตามนโยบายและคำสั่งของบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงไม่มีความชำนาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าสู่ตลาดโลก ขณะที่ประเทศคู่แข่งได้มีการพัฒนาทั้งในกระบวนการฟอกหนัง ควบคู่ไปกับการพัฒนาการผลิตเครื่องหนังจนมีคุณภาพดีขึ้นมาก โดยได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศที่เข้าไปลงทุน และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ เช่น การที่ญี่ปุ่น และอิตาลีไปลงทุนในอินเดีย และไต้หวันไปลงทุนในอินโดนีเซีย เป็นต้น
4. บริการพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ตามการขยายตัวของการผลิตและการส่งออก
5.ประเทศไทยมีต้นทุนแอบแฝง ในการประกอบธุรกิจที่เกิดจากระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้า ส่งออก (ภาษีนำเข้า การประเมินราคา การกำหนดสูตรการผลิต การขอคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระบบการควบคุมการขนส่ง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมาย
ข้อเสนอแนะ
1. ผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้นเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ดังนี้โดยเฉพาะการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นเท่าที่ผ่านมายังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ จึงควรพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์รองเท้าและส่วนประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับแฟชั่นค่อนข้างมาก ดังนั้นความสามารถในการออกแบบ ความเชื่อถือในยี่ห้อ (Brand Name) ของสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างตลาดและขยายตลาด ซึ่งภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายที่เกื้อหนุนให้ภาคเอกชนสามารพัฒนาคุณภาพสินค้า และรวมถึงการสร้างมาตรฐานสินค้า โดยผ่านการให้ความสนับสนุน
2. การมีแบรนด์เนมเป็นของตัวเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะว่าจะทำให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าไทยได้เป็นอย่างดี
3. แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องทุ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้า(R&D)ให้มากขึ้นทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตซึ่งเท่าที่ผ่านมาประเทศไทยยังพัฒนาได้ไม่มากนัก
4. ในส่วนของภาครัฐนั้นก็จะต้องลดอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อมลงให้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนใน การดำเนินงานของผู้ส่งออกลงโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีอาการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
- และเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพของแรงงานให้สอดคล้องกับค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น
- ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบ ทั้งนี้เพราะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีต้นทุนการประกอบการค่อนข้างจำกัด
- นอกจากนี้ความช่วยเหลือในการขยายตลาดต่างประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับแฟชั่น ดังนั้นการสร้างตลาดและขยายตลาดโดยผ่านการออกงานการแสดงสินค้าในตลาดโลกเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐควรช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยสามารถเข้าถึงกลไกดังกล่าวได้
การส่งเสริมและการสนับสนุนจากภาครัฐ
นับแต่ได้มีการจัดตั้งองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2538 ตามข้อตกลงรอบอุรุกวัย ซึ่งทำให้ระบบกติกาการค้าโลกมีลักษณะเข้มแข็งมากขึ้น และการค้าของโลกมีลักษณะเสรีมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการที่หลายประเทศมีการรวมกลุ่มตามภูมิภาคต่างๆ อย่างแพร่หลาย เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป นาฟต้า อาฟต้าและเอเปค การรวมตัวดังกล่าวมีลักษณะกว้างและลึกมากขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจและการค้า ทำให้ระเบียบการค้าโลกมีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น และนำไปสู่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆ มีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษีและมิใช่ภาษี ซึ่งในกรณีของหนังและเครื่องหนังแล้วอัตราภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ฮ่องกงและไต้หวัน อยู่ในอัตราที่ไม่สูงมากนัก แต่ปรากฏว่ามีกฎระเบียบการค้าของประเทศคู่ค้าเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่มีผลต่อการส่งออกของไทยหลายประการด้วยกัน คือ
1.การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดของสหภาพยุโรป (Anti Dumping) ซึ่งปรากฏว่าทั้งประเทศไทยและประเทศคู่แข่งที่สำคัญอย่าง สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินโดนีเซีย ถูกเรียกเก็บภาษีประเภทนี้กับเครื่องหนังบางชนิดในอัตราสูง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศคู่แข่งอื่นๆ ที่ไม่โดนภาษีสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
2.การถูกตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) โดยกลุ่มตลาดสหภาพยุโรปได้ตัดสิทธิสินค้าอุตสาหกรรมที่นำเข้าจากไทย 6 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังลงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2541 เป็นต้นมา และสหรัฐอเมริกาได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าจากไทยรวม 20 หมวด รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกของไทยต้องประสบปัญหาในการแข่งขันมากพอสมควรในตลาดทั้ง 2 แห่ง อย่างไรก็ตามผลกระทบตรงนี้จะไม่สูงมากนัก เนื่องจากอัตราภาษีปกติไม่ได้สูงมากนัก
3.การกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้า และมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง ในประเทศคู่ค้าสำคัญเช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ได้กลายเป็นอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญประการหนึ่ง และมีผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเข้าสู่มาตรฐานดังกล่าว ซึ่งในระยะของการปรับตัวอาจมีผลให้อุตสาหกรรมหดตัวลงในระยะแรก
4.นอกจากนี้ ยังมีการนำเอามาตรการแรงงานสากล เช่น การมีสิทธิในการต่อรองการไม่บังคับใช้แรงงาน การกำหนดอายุขั้นต่ำของแรงงานเด็ก รวมทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชนมาใช้ประกอบการดำเนินมาตรการทางการค้าอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป มีผลให้ไทยจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น
ส่วนนโยบายของประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้แก่นโยบายทางด้านภาษี พบว่ามีความแตกต่างกันพอสมควรในอัตราภาษีนำเข้าของอุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนังของประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินโดนีเซีย โดยความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่ หนังดิบ และหนังฟอก โดยพบว่าอินโดนีเซียไม่เรียกเก็บภาษีในสินค้าทั้ง 2 ชนิดเลย ขณะที่ประเทศไทยเรียกเก็บเฉพาะหนังฟอก ส่วนสาธารณประชาชนจีนเรียกเก็บทั้งหนังดิบและหนังฟอก แต่มีข้อน่าสังเกต คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนมีผลผลิตทางด้านหนังดิบเป็นจำนวนมาก และความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมหนังฟอกในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของจีนได้ สำหรับประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาภาษีที่จัดเก็บจากหนังฟอกและชิ้นส่วนประกอบ BOI ได้อนุญาตให้มีการยกเว้นภาษีวัตถุดิบเป็นการชั่วคราว 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2541 สำหรับบริษัทที่ผลิตเครื่องหนังที่ผ่านการรับรองจากสมาคมเครื่องหนังแล้ว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากประเภทหนึ่ง โดยเป็นแหล่งรายได้และสามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก (Labour Intensive) ช่วยสร้างงานจำนวนไม่น้อยกว่า 100,000 คน ในภาคอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการผลิตที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก การผลิตยังคงอาศัยแรงงานและทักษะความชำนาญของแรงงานอยู่มาก ขั้นตอนการผลิตหลายขั้นตอนยังไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตได้ เนื่องจากสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบ่อยตามแฟชั่น ทำให้ยากต่อการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิต จากเหตุผลและข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้โครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมนี้มีโครงสร้างการผลิตที่ใกล้เคียงกันในแต่ละประเทศ แต่อย่างไรก็ดีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบด้านต้นทุนการผลิตในแต่ละประเทศนั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานหลายประการที่สำคัญ ได้แก่ ฝีมือแรงงาน ความสามารถในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ความสามารถในการพัฒนาคุณภาพสินค้า ค่าจ้างแรงงาน ความสามารถในการได้มาหรือการมีแหล่งวัตถุดิบราคาถูก ความพร้อมด้านวัสดุและอุปกรณ์ และต้นทุนการดำเนินการในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน เช่น อัตราภาษี นำเข้า-ส่งออก ภาษีการค้า ระเบียบขั้นตอนของราชการ และระบบสาธารณูปโภค ซึ่งประเทศที่มีความพร้อมในสิ่งต่างๆเหล่านี้มากกว่าก็จะเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการ แข่งขันที่สูงกว่า
อุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบสามารถแบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมย่อยได้อีกหลายประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้ายาง และพลาสติก รองเท้ากีฬา รองเท้าแตะ รองเท้าหนังแท้ รองเท้าหนังเทียมและรองเท้าอื่นๆ รวมทั้งส่วนประกอบรองเท้า โดยการผลิตในอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบนั้นมีสามลักษณะได้แก่การผลิตตามคำสั่งของบริษัทแม่ในต่างประเทศ การรับจ้างหรือการรับช่วงในการผลิตให้แก่ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศภายใต้เครื่องหมายการค้า รวมทั้งแบบและวัตถุดิบที่ใช้ที่กำหนดมา และประเภทสุดท้ายคือการผลิตโดยผู้ผลิตภายในประเทศและทำการออกแบบเอง โดยผู้ประกอบการผลิตรองเท้าและส่วนประกอบส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง (SMEs) ประมาณร้อยละ 85
มีรายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการประกอบกิจการรวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นจำนวนทั้งสิ้น 548 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่จำนวน 30 ราย ผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 130 ราย ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 388 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) และผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 31 ราย (ข้อมูลจาก WWW.THAITAMBON.COM) ส่วนผู้นำเข้าในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบมีจำนวนทั้งสิ้น 35 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบมีจำนวนทั้งสิ้น 149 ราย
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบที่เป็นผู้ประกอบการที่อยู่ภายในเขตความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 มีจำนวนทั้งสิ้น 22 รายหรือคิดเป็น ร้อยละ 4.08 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 9 ราย และ ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 13 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดกรุงเทพมหานคร มีทุนจดทะเบียน 1,377,026,923 บาท บริษัท ซี เค ชูส์(ประเทศไทย)จำกัด จังหวัดขอนแก่น มีทุนจดทะเบียน 680,000,000 บาท และบริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด จังหวัดจังหวัดกรุงเทพมหานคร มีทุนจดทะเบียน 556,000,000 บาท ส่วนผู้ผลิตรายสำคัญที่อยู่ในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ได้แก่ บริษัท ซี เค ชูส์ จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ มีทุนจดทะเบียน 643,189,442 บาท บริษัท ยูเนี่ยนชูส์ จำกัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทุนจดทะเบียน 337,112,000 บาท บริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ จำกัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทุนจดทะเบียน 290,700,000 บาท และบริษัท แพนเอเซียเลทเธอร์ จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี มีทุนจดทะเบียน 234,500,000 บาท
ภาวะตลาดภายในประเทศและการส่งออก/นำเข้า
ภาวะตลาดภายในประเทศ
ตลาดภายในประเทศไทยของรองเท้าหนังและส่วนประกอบในปัจจุบันมีความต้องการอยู่มาก โดยในกลุ่มสินค้าที่มาจากการนำเข้าจากต่างประเทศมีทั้งผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบของสินค้าที่มีคุณภาพระดับปานกลางของยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในจีน อินโดนีเซีย เกาหลี และเวียดนาม เช่น ยี่ห้อ Nine West, DKNY, TOMMY HILFIGER, ETC. และกลุ่มผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบที่มี Brand Name ชื่อดังและคุณภาพดีที่มีการนำเข้ามาจาก ประเทศอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกา เป็นต้น ส่วนกลุ่มสินค้าที่ผลิตจากผู้ประกอบการภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการภายในประเทศได้มีการพัฒนาทั้งด้านคุณภาพและรูปแบบของสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบโดยมีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการผลิตมากขึ้น รวมทั้งการคัดเลือกวัตถุดิบ หนังดิบและหนังฟอกที่มีคุณภาพสูงโดยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งสามารถยกระดับสินค้าได้ทัดเทียมกับยี่ห้อชั้นนำ ระดับกลางจากต่างประเทศ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ตลาดรองเท้าหนังและส่วนประกอบภายในประเทศสามารถแจกแจงได้เป็นสินค้าในหลายระดับตามคุณภาพและราคาของสินค้าดังกล่าว คือ ตลาดระดับบน เป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีรายได้สูงและนิยมสินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงจากต่างประเทศจึงยังมีการนำเข้าสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์รองเท้าที่มีชื่อเสียงของผู้ผลิตชั้นนำของโลก โดยมีการนำเข้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบส่วนใหญ่มาจากประเทศอิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ตลาดระดับกลาง เป็นสินค้าที่มีราคาปานกลางและมีคุณภาพดี แต่เครื่องหมายการค้ายังมี ชื่อเสียงไม่มากนัก มีทั้งที่ผลิตได้เองในประเทศและที่มาจากการนำเข้า ซึ่งมีการวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยมีรูปแบบที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพแต่ราคาไม่แพงจนเกินไป
ตลาดระดับล่างเป็นสินค้าที่มีราคาต่ำ และมีคุณภาพของสินค้าที่ค่อนข้างต่ำ สามารถตอบสนองผู้บริโภคที่มีรายได้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ผลิตเองในประเทศ โดยมีการลอกเลียนเเบบจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ทำให้มีรูปร่างคล้ายกันแต่คุณภาพแตกต่างกัน
ช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศมีหลากหลายทางด้วยกันโดยในตลาดรองเท้าและส่วนประกอบระดับบนและกลางจะมีแหล่งจำหน่ายอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ รวมทั้งการมี Outlet (Showroom) เป็นของตนเองเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตราสินค้าและขายสินค้า ณ จุดขาย ส่วนสินค้ารองเท้าและส่วนประกอบในตลาดระดับล่างนั้นมีแหล่งจำหน่ายอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ตลาดนัดต่างๆ และร้านค้ารองเท้าทั่วประเทศ ระดับราคารองเท้าก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ ลวดลาย และรูปแบบของรองเท้า
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบไปยังตลาดโลกคิดเป็นมูลค่า 116.07 และ 370.91 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 และ 2544 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวในการส่งออกของปีพ.ศ. 2543และ 2544 เท่ากับ -38.73 และ 219.56 ตามลำดับ โดยมีตลาดส่งออกสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบที่สำคัญของประเทศไทย ดังต่อไปนี้
เดนมาร์กมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศเดนมาร์กเท่ากับ 6.68 และ 99.67 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5.76 และ 26.87 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่ากับ 21.44 และ 53.66 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 18.47 และ 14.47 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
เนเธอร์แลนด์มีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศเนเธอร์แลนด์เท่ากับ 2.71 และ 51.14 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 2.34 และ 13.79 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยไปประเทศสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 4.10 และ 49.55 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 3.11 และ13.36 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหราชอาณาจักรมีมูลค่าส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบจากประเทศไทยสหราชอาณาจักรเท่ากับ 3.11 และ 24.48 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 2.68 และ 6.60 ของมูลค่าการส่งออกรองเท้าและส่วนประกอบของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ที่ผ่านมาการส่งออกผลิตภัณฑ์รองเท้าหนังและส่วนประกอบของประเทศไทย ต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพและราคา กล่าวคือ ถ้าเป็นสินค้าคุณภาพสูง ประเทศไทยจะเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันทางด้านการออกแบบ การใช้เทคโนโลยี และเครื่องจักรที่ทันสมัย ส่วน สินค้าคุณภาพปานกลางและต่ำประเทศไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันทางด้านต้นทุนการผลิตสูงกว่าและวัตถุดิบมีจำกัด แต่อุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยก็มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบทางด้านต้นทุนการผลิตในหลายประการ โดยเฉพาะฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพในการผลิต ระบบการจัดการที่ดี มีบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไทยยังมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบด้านศักยภาพการผลิตเหนือกว่าหลายๆ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม และอินเดีย ดังนั้นแนวทางการพัฒนาเพื่อปรับปรุง รักษา หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการปรับปรุงข้อบกพร่องและเสริมสร้างจุดเด่นที่อุตสาหกรรมนี้มีอยู่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการส่งออกเครื่องหนังไทย ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นและสามารถแข่งขันได้ ภายใต้สถานการณ์การค้าโลกที่ปรับตัวเข้าสู่ระบบเสรีอย่างมาก ทั้งนี้แนวทางการปรับตัวที่สำคัญที่ควรเร่งดำเนินการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การปรับปรุงต้นทุนในการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการควบคุมให้การรองเท้าหนังและส่วนประกอบมีต้นทุนต่ำมีความสำคัญค่อนข้างมาก โดยรัฐควรจะต้องดำเนินนโยบายทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่มีผลต่อการลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ได้แก่ การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การลดพิธีการศุลกากร เร่งปรับปรุงและพัฒนาวัตถุดิบในประเทศให้มีคุณภาพเพียงพอต่อความต้องการ
การขยายตลาดสินค้ารองเท้าหนังและชิ้นส่วนของไทยในตลาดโลกกำลังเผชิญอุปสรรคครั้งสำคัญ เพราะว่าจีนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ทั้งนี้เนื่องจากสินค้าจากประเทศจีนมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าในประเทศไทยประกอบกับการผลิตสินค้าดังกล่าว ประเทศไทยและในประเทศจีนโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labour Intensive Industries) ดังนั้น ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนจึงเป็นแรงผลักดันให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากประเทศจีนผลพวงที่จะตามมาก็คือสินค้ารองเท้าหนังและ ส่วนประกอบรองเท้าของประเทศไทยจะแข่งขันสินค้าจากประเทศจีนได้น้อยลง
ส่วนช่องทางการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดสินค้าระดับกลางและล่างโดยมีการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าและมีการจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อช่วยขยายตลาดส่งออกรวมทั้งเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศของ ผู้ประกอบการที่เริ่มประกอบกิจการและกำลังขยายตลาดไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมีตลาดที่น่าสนใจ เช่น ตลาดประเทศเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศในแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยมีการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องหนังในต่างประเทศ เช่น จีน เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เป็นต้น
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
แนวโน้มของตลาดภายในประเทศสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยในตลาดระดับกลางและล่างนั้นจะเห็นได้ว่ามีการนำเข้าจากประเทศที่ผลิตสินค้ารองเท้าหนังและส่วนประกอบในตลาดระดับกลางและล่าง เช่น จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม เพิ่มขึ้น แสดงว่าผู้บริโภคภายในประเทศยอมรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น ทั้งทางด้านราคาและคุณภาพ ดังนั้นผู้ผลิตและผู้ประกอบการภายในประเทศในตลาดระดับกลางและล่างจึงควรมีกรพัฒนารูปแบบและราคาให้แข่งขันับสินค้าจากต่างประเทศได้ ส่วนในตลาดระดับบนการแข่งขันจากผู้ประกอบการยังมีไม่มากนัก การบริโภคส่วนใหญ่จึงมาจากการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เช่น จากประเทศอิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและลดลงไม่มาก แล้วแต่ความต้องการของผู้บริโภค จึงควรมีการรณรงค์ให้ผู้บริโภคเล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ แม้ว่าจะมีคุณภาพของสินค้าที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ผลประโยชน์ทีได้รับจะเกิดขึ้นภายในประเทศ และช่วยลดการสูญเสียยเงินตราต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้นจึงควรมีการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ทำการผลิตสินค้ารองเท้าหนัง เพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
แนวโน้มอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทยในตลาดต่างประเทศนั้น มีแนวโน้มที่ดีในการส่งออก เนื่องจากมีการขยายตัวการส่งออกถึงร้อยละ 219.56 ในปี 2544 แสดงถึงการฟื้นตัวของออุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่สำคัญ เช่น เดนมาร์ก สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการสนับสนุนผู้ผลิตและผู้ประกอบการในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ แต่การพิจารณาขีดความสามารถในการแข่งขันของเครื่องหนังไทยในตลาดโลก จะต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของปัจจัยในประเทศ ที่จะเอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบการ สามารถผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาดได้ในต้นทุนที่ต่ำโดยเปรียบเทียบ อันได้แก่ ความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ ระดับเทคโนโลยี การพัฒนาแรงงาน ความสามารถในการบริหารจัดการ การพัฒนาระบบพื้นฐาน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา ที่เอื้ออำนวยต่อการขยายการผลิตและการลงทุน รวมทั้งต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยมุ่งผลิตสินค้าคุณภาพสูงให้ต้นทุนต่ำเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดระดับบน ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าให้มากขึ้น รวมถึงความเหมาะสมในการวางตัวสินค้าในตลาด แสวงหาตลาดใหม่ ๆ และการเจรจาการค้าเพื่อลดข้อกีดกันทางการค้า และสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดโลก
ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ควรระมัดระวัง
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบ และข้อมูลจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ สรุปปัญหาและอุปสรรคในการประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าหนังและส่วนประกอบ ได้ดังนี้
1. ขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งหนังดิบและหนังฟอกในประเทศ ต้องนำเข้าหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะหนังคุณภาพดี เนื่องจากโคหรือกระบือในประเทศไทยเป็นโคหรือกระบือพื้นเมืองเขตร้อนที่มีขนาดเล็ก หนังบาง และการเลี้ยงดูแบบปล่อยตามธรรมชาติทำให้หนังมีรอยตำหนิจากการเป็นโรค แมลงกัด และรอยขีดข่วนจากสิ่งต่างๆ รวมทั้งกรรมวิธีการผลิตหนังดิบยังล้าสมัย และไม่มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้แล้วแนวทางการเพิ่มปริมาณหนังดิบโดยผ่านการส่งเสริมการปศุสัตว์ เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องจากคนไทยไม่นิยมบริโภคเนื้อวัว
2. โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบ เช่น หนังฟอก สารเคมี วัสดุอุปกรณ์ และส่วนประกอบตกแต่งแฟชั่นคุณภาพสูง ซึ่งไม่มีการผลิตในประเทศต้องนำเข้าจากต่างประเทศยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ถึงแม้ว่าจะมีการใช้นโยบายชั่วคราวโดยผ่าน BOI ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ควรต้องมีการพัฒนาให้เป็นนโยบายถาวร
3. ขาดแคลนแรงงานคุณภาพ เช่น ช่างเครื่อง ช่างเย็บ และช่างออกแบบ และปัจจุบันค่าแรงงานไร้ฝีมือของไทยอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศคู่แข่งมาก นอกจากนี้การลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยที่ประสิทธิภาพของแรงงานไม่ได้ปรับตัวตามค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ฐานการผลิตและเทคโนโลยีไม่แข็งแรง เฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่ผ่านมา มุ่งสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อผลิตเครื่องหนังส่งออก โดยรับจ้างผลิตตามนโยบายและคำสั่งของบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงไม่มีความชำนาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าสู่ตลาดโลก ขณะที่ประเทศคู่แข่งได้มีการพัฒนาทั้งในกระบวนการฟอกหนัง ควบคู่ไปกับการพัฒนาการผลิตเครื่องหนังจนมีคุณภาพดีขึ้นมาก โดยได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศที่เข้าไปลงทุน และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ เช่น การที่ญี่ปุ่น และอิตาลีไปลงทุนในอินเดีย และไต้หวันไปลงทุนในอินโดนีเซีย เป็นต้น
4. บริการพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ตามการขยายตัวของการผลิตและการส่งออก
5.ประเทศไทยมีต้นทุนแอบแฝง ในการประกอบธุรกิจที่เกิดจากระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้า ส่งออก (ภาษีนำเข้า การประเมินราคา การกำหนดสูตรการผลิต การขอคืนภาษีตามมาตรา 19 ทวิ และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระบบการควบคุมการขนส่ง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมาย
ข้อเสนอแนะ
1. ผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้นเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ดังนี้โดยเฉพาะการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นเท่าที่ผ่านมายังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ จึงควรพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์รองเท้าและส่วนประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับแฟชั่นค่อนข้างมาก ดังนั้นความสามารถในการออกแบบ ความเชื่อถือในยี่ห้อ (Brand Name) ของสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างตลาดและขยายตลาด ซึ่งภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายที่เกื้อหนุนให้ภาคเอกชนสามารพัฒนาคุณภาพสินค้า และรวมถึงการสร้างมาตรฐานสินค้า โดยผ่านการให้ความสนับสนุน
2. การมีแบรนด์เนมเป็นของตัวเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะว่าจะทำให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าไทยได้เป็นอย่างดี
3. แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องทุ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้า(R&D)ให้มากขึ้นทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตซึ่งเท่าที่ผ่านมาประเทศไทยยังพัฒนาได้ไม่มากนัก
4. ในส่วนของภาครัฐนั้นก็จะต้องลดอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อมลงให้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนใน การดำเนินงานของผู้ส่งออกลงโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีอาการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
- และเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพของแรงงานให้สอดคล้องกับค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น
- ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบ ทั้งนี้เพราะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรองเท้าและส่วนประกอบเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีต้นทุนการประกอบการค่อนข้างจำกัด
- นอกจากนี้ความช่วยเหลือในการขยายตลาดต่างประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากการเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับแฟชั่น ดังนั้นการสร้างตลาดและขยายตลาดโดยผ่านการออกงานการแสดงสินค้าในตลาดโลกเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐควรช่วยสนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยสามารถเข้าถึงกลไกดังกล่าวได้
การส่งเสริมและการสนับสนุนจากภาครัฐ
นับแต่ได้มีการจัดตั้งองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2538 ตามข้อตกลงรอบอุรุกวัย ซึ่งทำให้ระบบกติกาการค้าโลกมีลักษณะเข้มแข็งมากขึ้น และการค้าของโลกมีลักษณะเสรีมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการที่หลายประเทศมีการรวมกลุ่มตามภูมิภาคต่างๆ อย่างแพร่หลาย เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป นาฟต้า อาฟต้าและเอเปค การรวมตัวดังกล่าวมีลักษณะกว้างและลึกมากขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจและการค้า ทำให้ระเบียบการค้าโลกมีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น และนำไปสู่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆ มีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษีและมิใช่ภาษี ซึ่งในกรณีของหนังและเครื่องหนังแล้วอัตราภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ฮ่องกงและไต้หวัน อยู่ในอัตราที่ไม่สูงมากนัก แต่ปรากฏว่ามีกฎระเบียบการค้าของประเทศคู่ค้าเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่มีผลต่อการส่งออกของไทยหลายประการด้วยกัน คือ
1.การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดของสหภาพยุโรป (Anti Dumping) ซึ่งปรากฏว่าทั้งประเทศไทยและประเทศคู่แข่งที่สำคัญอย่าง สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินโดนีเซีย ถูกเรียกเก็บภาษีประเภทนี้กับเครื่องหนังบางชนิดในอัตราสูง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศคู่แข่งอื่นๆ ที่ไม่โดนภาษีสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
2.การถูกตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) โดยกลุ่มตลาดสหภาพยุโรปได้ตัดสิทธิสินค้าอุตสาหกรรมที่นำเข้าจากไทย 6 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังลงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2541 เป็นต้นมา และสหรัฐอเมริกาได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าจากไทยรวม 20 หมวด รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกของไทยต้องประสบปัญหาในการแข่งขันมากพอสมควรในตลาดทั้ง 2 แห่ง อย่างไรก็ตามผลกระทบตรงนี้จะไม่สูงมากนัก เนื่องจากอัตราภาษีปกติไม่ได้สูงมากนัก
3.การกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้า และมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง ในประเทศคู่ค้าสำคัญเช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ได้กลายเป็นอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญประการหนึ่ง และมีผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเข้าสู่มาตรฐานดังกล่าว ซึ่งในระยะของการปรับตัวอาจมีผลให้อุตสาหกรรมหดตัวลงในระยะแรก
4.นอกจากนี้ ยังมีการนำเอามาตรการแรงงานสากล เช่น การมีสิทธิในการต่อรองการไม่บังคับใช้แรงงาน การกำหนดอายุขั้นต่ำของแรงงานเด็ก รวมทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชนมาใช้ประกอบการดำเนินมาตรการทางการค้าอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป มีผลให้ไทยจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น
ส่วนนโยบายของประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้แก่นโยบายทางด้านภาษี พบว่ามีความแตกต่างกันพอสมควรในอัตราภาษีนำเข้าของอุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนังของประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินโดนีเซีย โดยความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่ หนังดิบ และหนังฟอก โดยพบว่าอินโดนีเซียไม่เรียกเก็บภาษีในสินค้าทั้ง 2 ชนิดเลย ขณะที่ประเทศไทยเรียกเก็บเฉพาะหนังฟอก ส่วนสาธารณประชาชนจีนเรียกเก็บทั้งหนังดิบและหนังฟอก แต่มีข้อน่าสังเกต คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนมีผลผลิตทางด้านหนังดิบเป็นจำนวนมาก และความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมหนังฟอกในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของจีนได้ สำหรับประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาภาษีที่จัดเก็บจากหนังฟอกและชิ้นส่วนประกอบ BOI ได้อนุญาตให้มีการยกเว้นภาษีวัตถุดิบเป็นการชั่วคราว 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2541 สำหรับบริษัทที่ผลิตเครื่องหนังที่ผ่านการรับรองจากสมาคมเครื่องหนังแล้ว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-