ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต
อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของประเทศทั้งการสร้างงานและการสร้างรายได้ให้กับประเทศมากมายรวมทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมโยงให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมากมาย และอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยสามารถแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนการผลิต คือ เหล็กขั้นต้น (เหล็กถลุงและเหล็กพรุน ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานในการผลิตเหล็กทุกชนิด) เหล็กขั้นกลาง (เหล็กแท่งเล็ก เหล็กแท่งแบน และเหล็กแท่งใหญ่) และเหล็กขั้นปลาย สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีผู้ผลิตครบวงจร กล่าวคือ ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการถลุงแร่เหล็ก เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงและจำเป็นต้องมีระบบสาธารณูปโภคและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต จึงต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์เหล็กที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าโดยเริ่มจากการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศของผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นปลายเป็นหลัก ซึ่ง ได้แก่ ข้อต่อท่อเหล็ก กลุ่มเหล็กเส้น เหล็กลวด เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่นรีดร้อนและรีดเย็น ซึ่งเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร การก่อสร้าง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น
อุตสาหกรรมข้อต่อท่อเหล็กซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเหล็กนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมโยงกับหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นหากไทยสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กได้เองตลอดจนสามารถเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อให้ทดแทนการนำเข้าได้นั้น จะสามารถลดปัญหาขาดดุลการค้าลงได้
รายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการประกอบกิจการ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีดังต่อไปนี้
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กเป็นจำนวนทั้งสิ้น 19 ราย โดยแบ่งเป็น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่จำนวน 7 ราย ผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 4 ราย ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 8 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) ส่วนผู้นำเข้าในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีจำนวนทั้งสิ้น 96 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีจำนวนทั้งสิ้น 91 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดที่สำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กได้แก่ บริษัท เอเบิลอินดัสตรีส์ จำกัด จังหวัดปทุมธานี ทุนจดทะเบียน 195,972,000 บาท บริษัท ไทยมัลลิเอเบิลไอออนแอนสตีล จำกัด จังหวัดปทุมธานี ทุนจดทะเบียน 120,000,000 บาท บริษัท แอล พี เค เฟาน์ดี้ จำกัด จังหวัดขอนแก่น ทุนจดทะเบียน 60,667,500 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเซ็นทรัลอินดัสทรี้ จังหวัดนครปฐม ทุนจดทะเบียน 38,550,000 บาท และบริษัท กรุ๊ปโออินดัสทรี้ จำกัด จังหวัดนครปฐม ทุนจดทะเบียน 32,800,000 บาท ผู้ผลิตและผู้นำตลาดข้อต่อเหล็กที่อยู่ภายในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ได้แก่ บริษัท วัฒนไพศาลเอ็นยิเนียริ่ง จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ทุนจดทะเบียน 185,314,487 บาท บริษัท ซิโนไทยเม็ททัลคาสติ้ง จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ทุนจดทะเบียน 12,000,000 บาท ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ตารางแสดงรายชื่อผู้ประกอบการสินค้าข้อต่อเหล็กที่สำคัญของประเทศไทย
รายชื่อผู้ประกอบการ จังหวัด เงินทุนจดทะเบียน(บาท)
บริษัท เอเบิลอินดัสตรีส์ จำกัด ปทุมธานี 195,972,000
บริษัท วัฒนไพศาลเอ็นยิเนียริ่ง จำกัด สมุทรปราการ 185,314,487
บริษัท ไทยมัลลิเอเบิลไอออนแอนด์สตีล จำกัด ปทุมธานี 85,800,000
บริษัท แอล พี เค เฟาน์ดี้ จำกัด ขอนแก่น 60,667,500
ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเซ็นทรัลอินดัสทรี้ นครปฐม 38,550,000
บริษัท กรุ๊ปโออินดัสทรี้ จำกัด นครปฐม 32,800,000
บริษัท เฉลิมภาคย์ จำกัด สุพรรณบุรี 31,500,000
บริษัท เด็กซ์ตร้า คอนสตรั๊คชั่น ซิสเท็มส์ จำกัด กรุงเทพมหานคร 21,000,000
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทคนิคอล คาสท์ พรีเมียร์ สมุทรสาคร 20,000,000
บริษัท ซิโนไทยเม็ททัลคาสติ้ง จำกัด สมุทรปราการ 12,000,000
ที่มา : กรมทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรม, 2545
ภาวะตลาดในประเทศและการส่งออกนำเข้า
ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กเป็นสินค้าที่ต้องใช้ในการประกอบหรือเป็นชิ้นส่วนในการผลิตอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมหรือครัวเรือนทั่วไป โดยตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อเหล็กของประเทศไทยจะมีการแข่งขันจากผู้ผลิตภายในประเทศเองและมีการแข่งขันจากผู้ผลิตจากต่างประเทศโดยมีการนำเข้าในสินค้าข้อต่อเหล็กจากทั่วโลกเท่ากับ 2,499.08 และ 2,217.99 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2543และ2544 ตามลำดับ และมีการนำเข้า จากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด โดยมีการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 640.51 ล้านบาทและมีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เท่ากับ 546.49 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2544 แต่จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการซึ่งได้เสนอความเห็นว่าในอนาคตประเทศจีนจะเป็นประเทศคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในสินค้าประเภทนี้เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำทั้งค่าแรงและวัตถุดิบรวมทั้งมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐของจีน ประกอบกับประเทศไทยมีการลดภาษีนำเข้าในสินค้าเหล็กอีกประมาณร้อยละ 4-5 ก็จะเป็นช่องทางเพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับผู้ผลิตข้อต่อท่อเหล็กของไทยได้ในอนาคต
ช่องทางการจัดจำหน่ายข้อต่อท่อเหล็กสามารถแบ่งออกเป็นหลายลักษณะได้แก่
1.จำหน่ายสินค้าข้อต่อท่อเหล็กโดยตรงให้กับกลุ่มลูกค้าหลักหรือรายใหญ่เช่นผู้รับเหมาก่อสร้าง หน่วยงานภาครัฐบาลโดยวิธีการประมูลหรือประกวดราคาเป็นต้น การจำหน่ายในลักษณะนี้ผู้ผลิตรายใหญ่จะได้เปรียบทางด้านราคามากกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
2.จำหน่ายสินค้าข้อต่อท่อเหล็กผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่นผู้จำหน่ายปลีกและผู้จำหน่ายส่ง ซึ่งนอกจากนี้ผู้แทนจำหน่ายบางรายก็มีการส่งออกข้อต่อท่อเหล็กไปยังต่างประเทศอีกด้วย
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าข้อต่อเหล็กไปยังตลาดโลกคิดเป็นมูลค่า 3,430.36 และ 3,571.65 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 และ 2544 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวในการส่งออกเท่ากับ 4.86 และ 4.4.12 ตามลำดับ โดยมีตลาดส่งออกสินค้าข้อต่อเหล็กที่สำคัญของประเทศไทย ดังต่อไปนี้
- ประเทศญี่ปุ่นโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่นเท่ากับ 1,244.37 และ 1,157.71 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 36.28 และ 32.41 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- สหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 785.56 และ 785.37 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 22.90 และ 21.99 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- สิงคโปร์โดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปสิงคโปร์เท่ากับ 140.51 และ 234.65 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.10 และ 6.57 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- แคนาดา โดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศแคนาดาเท่ากับ 220.83 และ 233.02 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.44 และ 6.52 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- เม็กซิโกโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศเม็กซิโกเท่ากับ 105.97 และ 196.05 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 3.09 และ 5.49 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
โดยมีช่องทางการจำหน่ายข้อต่อท่อเหล็กของไทยในตลาดต่างประเทศดังนี้
1.จำหน่ายโดยการออกร้านตามงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมส่งเสริมการส่งออกมีการให้ความสนับสนุนเพื่อช่วยให้มีการติดต่อซื้อขายกันพบกันระหว่างผู้ผลิตของไทยและผู้บริโภคจากต่างประเทศในอนาคต
2.ส่งออกไปยังต่างประเทศโดยตรง โดยติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
ตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กภายในประเทศยังมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตเมื่อเทียบกับหลายๆอุตสาหกรรม แต่ปัญหาที่น่ากังวลของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กนั้นก็คือการเข้ามาตีตลาดผลิตภัณฑ์จากข้อต่อท่อเหล็กของประเทศจีน ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศ เนื่องจากไม่มีการคุ้มกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กจากประเทศจีนที่มีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำและราคาสินค้าถูกกว่าสินค้าภายในประเทศเข้ามาตีตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทย โดยประเทศไทยยังคงมีการนำเข้าสินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศมาก แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวการนำเข้าสินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศ เท่ากับร้อยละ -9.42 และ -11.25 ในปี พ.ศ.2543และ2544 ตามลำดับ ซึ่งถ้ามีการผลิตสินค้าข้อต่อท่อเหล็กให้มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศก็จะทำให้เป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของประเทศไทยคาดว่ายังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทยในปีพ.ศ. 2543 และ2544 เท่ากับร้อยละ 4.86 และ 4.12 ตามลำดับ ซึ่งเห็นได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มากนัก ดังนั้นในอนาคตคาดว่าตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทยจึงมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตสำหรับผู้ที่สนใจในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ที่จะทำการลงทุนในผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็ก และตลาดต่างประเทศในสินค้าผลิตข้อต่อท่อเหล็กที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีคือตลาด ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ แคนาดา และเม็กซิโกเป็นต้น
ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ควรระมัดระวัง
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตข้อต่อท่อเหล็ก สามารถสรุปปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการได้ดังนี้
1) ปัญหาทางด้านวัตถุดิบ คือวัตถุดิบแร่เหล็กยังมีไม่เพียงพอต่อการผลิตเหล็กขั้นต้น ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญจากต่างประเทศ และทำให้ต้นทุนการผลิตข้อต่อท่อเหล็กสูง เนื่องจากต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่
2) ผู้ประกอบการจำนวนมากให้ความสำคัญในด้านการลดต้นทุนการผลิตมากกว่าการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบเหล็กที่ราคาถูก และมีคุณภาพต่ำมาผลิต ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กภายในประเทศ
3) มาตรการคุ้มครองทางด้านภาษีขาเข้า คืออัตราภาษีขาเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเหล็กอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศ จีน อินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกยังมีมาตรการให้การคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของตนเอง
ข้อเสนอแนะ
1) ปัจจัยและกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจและแข่งขันทั้งในส่วนตลาดภายในประเทศและต่างประเทศคือ ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กต้องมีความหลากหลายทั้งทางด้านขนาดและปริมาณที่ลูกค้าต้องการ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการควบคุมทั้งทางด้านต้นทุนการผลิต คุณภาพ และมีความตรงต่อเวลาในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าเป็นต้น
2) ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กให้ได้มาตรฐานทัดเทียมต่างชาติ
3) ควรมีมาตรการคุ้มครองทางด้านภาษีขาเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเหล็กเพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมข้อต่อท่อเหล็กให้มีความเข้มแข็งมากกว่านี้
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของประเทศทั้งการสร้างงานและการสร้างรายได้ให้กับประเทศมากมายรวมทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมโยงให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมากมาย และอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยสามารถแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนการผลิต คือ เหล็กขั้นต้น (เหล็กถลุงและเหล็กพรุน ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานในการผลิตเหล็กทุกชนิด) เหล็กขั้นกลาง (เหล็กแท่งเล็ก เหล็กแท่งแบน และเหล็กแท่งใหญ่) และเหล็กขั้นปลาย สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีผู้ผลิตครบวงจร กล่าวคือ ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการถลุงแร่เหล็ก เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงและจำเป็นต้องมีระบบสาธารณูปโภคและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต จึงต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์เหล็กที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าโดยเริ่มจากการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศของผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นปลายเป็นหลัก ซึ่ง ได้แก่ ข้อต่อท่อเหล็ก กลุ่มเหล็กเส้น เหล็กลวด เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่นรีดร้อนและรีดเย็น ซึ่งเป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร การก่อสร้าง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น
อุตสาหกรรมข้อต่อท่อเหล็กซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเหล็กนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมโยงกับหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นหากไทยสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กได้เองตลอดจนสามารถเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อให้ทดแทนการนำเข้าได้นั้น จะสามารถลดปัญหาขาดดุลการค้าลงได้
รายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการประกอบกิจการ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีดังต่อไปนี้
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กเป็นจำนวนทั้งสิ้น 19 ราย โดยแบ่งเป็น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่จำนวน 7 ราย ผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 4 ราย ผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวน 8 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) ส่วนผู้นำเข้าในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีจำนวนทั้งสิ้น 96 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กมีจำนวนทั้งสิ้น 91 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดที่สำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรมข้อต่อเหล็กได้แก่ บริษัท เอเบิลอินดัสตรีส์ จำกัด จังหวัดปทุมธานี ทุนจดทะเบียน 195,972,000 บาท บริษัท ไทยมัลลิเอเบิลไอออนแอนสตีล จำกัด จังหวัดปทุมธานี ทุนจดทะเบียน 120,000,000 บาท บริษัท แอล พี เค เฟาน์ดี้ จำกัด จังหวัดขอนแก่น ทุนจดทะเบียน 60,667,500 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเซ็นทรัลอินดัสทรี้ จังหวัดนครปฐม ทุนจดทะเบียน 38,550,000 บาท และบริษัท กรุ๊ปโออินดัสทรี้ จำกัด จังหวัดนครปฐม ทุนจดทะเบียน 32,800,000 บาท ผู้ผลิตและผู้นำตลาดข้อต่อเหล็กที่อยู่ภายในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ได้แก่ บริษัท วัฒนไพศาลเอ็นยิเนียริ่ง จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ทุนจดทะเบียน 185,314,487 บาท บริษัท ซิโนไทยเม็ททัลคาสติ้ง จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ทุนจดทะเบียน 12,000,000 บาท ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ตารางแสดงรายชื่อผู้ประกอบการสินค้าข้อต่อเหล็กที่สำคัญของประเทศไทย
รายชื่อผู้ประกอบการ จังหวัด เงินทุนจดทะเบียน(บาท)
บริษัท เอเบิลอินดัสตรีส์ จำกัด ปทุมธานี 195,972,000
บริษัท วัฒนไพศาลเอ็นยิเนียริ่ง จำกัด สมุทรปราการ 185,314,487
บริษัท ไทยมัลลิเอเบิลไอออนแอนด์สตีล จำกัด ปทุมธานี 85,800,000
บริษัท แอล พี เค เฟาน์ดี้ จำกัด ขอนแก่น 60,667,500
ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามเซ็นทรัลอินดัสทรี้ นครปฐม 38,550,000
บริษัท กรุ๊ปโออินดัสทรี้ จำกัด นครปฐม 32,800,000
บริษัท เฉลิมภาคย์ จำกัด สุพรรณบุรี 31,500,000
บริษัท เด็กซ์ตร้า คอนสตรั๊คชั่น ซิสเท็มส์ จำกัด กรุงเทพมหานคร 21,000,000
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทคนิคอล คาสท์ พรีเมียร์ สมุทรสาคร 20,000,000
บริษัท ซิโนไทยเม็ททัลคาสติ้ง จำกัด สมุทรปราการ 12,000,000
ที่มา : กรมทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรม, 2545
ภาวะตลาดในประเทศและการส่งออกนำเข้า
ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กเป็นสินค้าที่ต้องใช้ในการประกอบหรือเป็นชิ้นส่วนในการผลิตอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมหรือครัวเรือนทั่วไป โดยตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อเหล็กของประเทศไทยจะมีการแข่งขันจากผู้ผลิตภายในประเทศเองและมีการแข่งขันจากผู้ผลิตจากต่างประเทศโดยมีการนำเข้าในสินค้าข้อต่อเหล็กจากทั่วโลกเท่ากับ 2,499.08 และ 2,217.99 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2543และ2544 ตามลำดับ และมีการนำเข้า จากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด โดยมีการนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 640.51 ล้านบาทและมีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เท่ากับ 546.49 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2544 แต่จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการซึ่งได้เสนอความเห็นว่าในอนาคตประเทศจีนจะเป็นประเทศคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในสินค้าประเภทนี้เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำทั้งค่าแรงและวัตถุดิบรวมทั้งมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐของจีน ประกอบกับประเทศไทยมีการลดภาษีนำเข้าในสินค้าเหล็กอีกประมาณร้อยละ 4-5 ก็จะเป็นช่องทางเพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับผู้ผลิตข้อต่อท่อเหล็กของไทยได้ในอนาคต
ช่องทางการจัดจำหน่ายข้อต่อท่อเหล็กสามารถแบ่งออกเป็นหลายลักษณะได้แก่
1.จำหน่ายสินค้าข้อต่อท่อเหล็กโดยตรงให้กับกลุ่มลูกค้าหลักหรือรายใหญ่เช่นผู้รับเหมาก่อสร้าง หน่วยงานภาครัฐบาลโดยวิธีการประมูลหรือประกวดราคาเป็นต้น การจำหน่ายในลักษณะนี้ผู้ผลิตรายใหญ่จะได้เปรียบทางด้านราคามากกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
2.จำหน่ายสินค้าข้อต่อท่อเหล็กผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่นผู้จำหน่ายปลีกและผู้จำหน่ายส่ง ซึ่งนอกจากนี้ผู้แทนจำหน่ายบางรายก็มีการส่งออกข้อต่อท่อเหล็กไปยังต่างประเทศอีกด้วย
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าข้อต่อเหล็กไปยังตลาดโลกคิดเป็นมูลค่า 3,430.36 และ 3,571.65 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 และ 2544 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวในการส่งออกเท่ากับ 4.86 และ 4.4.12 ตามลำดับ โดยมีตลาดส่งออกสินค้าข้อต่อเหล็กที่สำคัญของประเทศไทย ดังต่อไปนี้
- ประเทศญี่ปุ่นโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่นเท่ากับ 1,244.37 และ 1,157.71 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 36.28 และ 32.41 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- สหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 785.56 และ 785.37 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 22.90 และ 21.99 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- สิงคโปร์โดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปสิงคโปร์เท่ากับ 140.51 และ 234.65 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.10 และ 6.57 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- แคนาดา โดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศแคนาดาเท่ากับ 220.83 และ 233.02 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.44 และ 6.52 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
- เม็กซิโกโดยมีมูลค่าส่งออกข้อต่อเหล็กจากประเทศไทยไปประเทศเม็กซิโกเท่ากับ 105.97 และ 196.05 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 3.09 และ 5.49 ของมูลค่าการส่งออกข้อต่อเหล็กของประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
โดยมีช่องทางการจำหน่ายข้อต่อท่อเหล็กของไทยในตลาดต่างประเทศดังนี้
1.จำหน่ายโดยการออกร้านตามงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมส่งเสริมการส่งออกมีการให้ความสนับสนุนเพื่อช่วยให้มีการติดต่อซื้อขายกันพบกันระหว่างผู้ผลิตของไทยและผู้บริโภคจากต่างประเทศในอนาคต
2.ส่งออกไปยังต่างประเทศโดยตรง โดยติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
ตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กภายในประเทศยังมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตเมื่อเทียบกับหลายๆอุตสาหกรรม แต่ปัญหาที่น่ากังวลของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กนั้นก็คือการเข้ามาตีตลาดผลิตภัณฑ์จากข้อต่อท่อเหล็กของประเทศจีน ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศ เนื่องจากไม่มีการคุ้มกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กจากประเทศจีนที่มีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำและราคาสินค้าถูกกว่าสินค้าภายในประเทศเข้ามาตีตลาดผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทย โดยประเทศไทยยังคงมีการนำเข้าสินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศมาก แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวการนำเข้าสินค้าข้อต่อท่อเหล็กจากต่างประเทศ เท่ากับร้อยละ -9.42 และ -11.25 ในปี พ.ศ.2543และ2544 ตามลำดับ ซึ่งถ้ามีการผลิตสินค้าข้อต่อท่อเหล็กให้มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศก็จะทำให้เป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของประเทศไทยคาดว่ายังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทยในปีพ.ศ. 2543 และ2544 เท่ากับร้อยละ 4.86 และ 4.12 ตามลำดับ ซึ่งเห็นได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มากนัก ดังนั้นในอนาคตคาดว่าตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กของไทยจึงมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตสำหรับผู้ที่สนใจในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ที่จะทำการลงทุนในผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็ก และตลาดต่างประเทศในสินค้าผลิตข้อต่อท่อเหล็กที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีคือตลาด ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ แคนาดา และเม็กซิโกเป็นต้น
ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดที่ควรระมัดระวัง
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตข้อต่อท่อเหล็ก สามารถสรุปปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการได้ดังนี้
1) ปัญหาทางด้านวัตถุดิบ คือวัตถุดิบแร่เหล็กยังมีไม่เพียงพอต่อการผลิตเหล็กขั้นต้น ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญจากต่างประเทศ และทำให้ต้นทุนการผลิตข้อต่อท่อเหล็กสูง เนื่องจากต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่
2) ผู้ประกอบการจำนวนมากให้ความสำคัญในด้านการลดต้นทุนการผลิตมากกว่าการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบเหล็กที่ราคาถูก และมีคุณภาพต่ำมาผลิต ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กภายในประเทศ
3) มาตรการคุ้มครองทางด้านภาษีขาเข้า คืออัตราภาษีขาเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเหล็กอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศ จีน อินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกยังมีมาตรการให้การคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของตนเอง
ข้อเสนอแนะ
1) ปัจจัยและกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจและแข่งขันทั้งในส่วนตลาดภายในประเทศและต่างประเทศคือ ผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กต้องมีความหลากหลายทั้งทางด้านขนาดและปริมาณที่ลูกค้าต้องการ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการควบคุมทั้งทางด้านต้นทุนการผลิต คุณภาพ และมีความตรงต่อเวลาในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าเป็นต้น
2) ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ข้อต่อท่อเหล็กให้ได้มาตรฐานทัดเทียมต่างชาติ
3) ควรมีมาตรการคุ้มครองทางด้านภาษีขาเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเหล็กเพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมข้อต่อท่อเหล็กให้มีความเข้มแข็งมากกว่านี้
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-