แรงงานในภาคอุตสาหกรรม
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในปี 2546 (ตัวเลขเดือนกันยายน) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 35.08 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 34.33 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 97.86 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.62 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 1.80)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในปี 2546 มีจำนวน 5.39 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.36 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ เดือนตุลาคมของปี 2546 มีจำนวนผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,376,322 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2546 มีจำนวน 95,064 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 22,817คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร มีจำนวน 7,726 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรและเครื่องมือจากไฟฟ้า จำนวน5,101 คน อุตสาหกรรมยางและพลาสติก จำนวน 4,438 คน และ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ จำนวน 4,080 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 10,953 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ 704 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตโลหะ ขั้นมูลฐาน จำนวน 450 แห่ง และอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 361 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในปี 2546 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นมากจากปี 2545 โดยคาดการณ์ว่าการค้าต่างประเทศของไทยจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 148,876 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 77,076 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าประมาณ 71,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2545 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.86 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.64 ส่งผลให้การเกินดุลการค้าของไทยในปี 2546 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,276 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.96
เป็นที่น่าสังเกตว่าการส่งออกตลอด 10 เดือนแรกของปี 2546 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการถึง 7,421 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 (มกราคม-ตุลาคม) ของปี 2546 ประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรม 50,169.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.25) สินค้าเกษตรกรรม 6,836.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.47) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,983.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.66) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 1,925.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.82) และสินค้าอื่นๆ 1,834.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.8) เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกตัวมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 15.4 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 และสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 6,624.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ แผงวงจรไฟฟ้า 3,645.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยานพาหนะและอุปกรณ์ 3,282.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2,298.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 2,225.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2,068.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 2,060.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 1,790.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 1,742.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า 1,398.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 27,137.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 41.27 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
- ตลาดส่งออก
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 70.9 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในเกือบทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 13.6 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.5 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 และตลาดอื่นๆร้อยละ 5.5 ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
-โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ประกอบด้วยสินค้าทุน มีมูลค่าสูงที่สุด 27,101.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 44.36) รองลงมาเป็นการนำเข้าวัตถุดิบ 18,387.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 30.1) สินค้าเชื้อเพลิง 7,263 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.88) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.37) สินค้าหมวดยานพาหนะ 2,500.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.09) และ สินค้าอื่นๆ 715.6 (คิดเป็นร้อยละ 1.2)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยสินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.5 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2 สินค้าหมวดอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6
- แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 67.76และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 ,สหภาพยุโรป ร้อยละ 3.5 , ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 ,สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8, จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2
- แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2547 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเป้าการส่งออกให้สูงขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกรวมทั้งปี 2547 น่าจะขยายตัวได้ในระหว่างร้อยละ 10 -13 แต่อย่างไรก็ตามยังต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆด้านประกอบกันด้วย โดยปัจจัยด้านบวก ประกอบด้วย การเปิดตลาดการค้าของทางรัฐบาลในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ เช่นตลาดจีน รวมทั้งตลาดในประเทศตะวันออกกลาง , การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA)กับประเทศต่างๆ, การสิ้นสุดของสงครามอิรักซึ่งในช่วงเวลาหลังจากนี้จะเป็นช่วงของการบูรณะประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจำนวนมาก ทั้งอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
สำหรับปัจจัยด้านลบ มีด้วยกันหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าขึ้นมากจากระดับ 42 - 43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 39 - 40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯทำให้กระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกในระดับหนึ่ง หากแนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้การ ส่งออกของไทยไม่สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยลบด้านอื่นๆ ก็มีเช่นปัญหา การก่อการร้ายในภูมิภาค ปัญหาค่าเงินหยวน เป็นต้น
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2546 คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 275,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเพียง162,500 ล้านบาท
2543 2544 2545 2546*
มูลค่าการลงทุนต่างประเทศ 212,649 266,300 162,500 275,000
ที่ได้รับ BOI(ล้านบาท)
* หมายเหตุ : ข้อมูลปี 2546 เป็นตัวเลขการคาดการณ์
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2546 ประเภทกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดคือ หมวดโลหะและอุปกรณ์ มีเงินลงทุน 62,200 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดบริการ 56,200 ล้านบาท หมวดเคมี กระดาษและพลาสติก มีเงินลงทุน 46,400 ล้านบาท หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 41,200 ล้านบาท หมวดเกษตรกรรมและผลิตผลทางการเกษตร 26,300 ล้านบาท หมวดอุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ 12,600 ล้านบาท และหมวดเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะ 5,100 ล้านบาท
การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม 2546 (ม.ค.-พ.ย.)
จำนวนโครงการ มูลค่าการลงทุน (ล้านบาท)
เกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร 128 26,300
เหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะ 15 5,100
อุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ 61 12,600
ผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ 178 62,200
อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 117 41,200
เคมี กระดาษและพลาสติก 101 46,400
บริการ 137 56,200
รวม 737 250,000
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2546 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 236 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 88,209 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 36 โครงการ 20,492 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 13 โครงการ เป็นเงินลงทุน 18,963 ล้านบาท
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในปี 2546 (ตัวเลขเดือนกันยายน) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 35.08 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 34.33 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 97.86 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.62 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 1.80)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในปี 2546 มีจำนวน 5.39 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 15.36 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ เดือนตุลาคมของปี 2546 มีจำนวนผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,376,322 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2546 มีจำนวน 95,064 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 22,817คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร มีจำนวน 7,726 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรและเครื่องมือจากไฟฟ้า จำนวน5,101 คน อุตสาหกรรมยางและพลาสติก จำนวน 4,438 คน และ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ จำนวน 4,080 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 10,953 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ 704 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตโลหะ ขั้นมูลฐาน จำนวน 450 แห่ง และอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 361 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในปี 2546 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นมากจากปี 2545 โดยคาดการณ์ว่าการค้าต่างประเทศของไทยจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 148,876 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 77,076 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าประมาณ 71,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2545 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.86 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.64 ส่งผลให้การเกินดุลการค้าของไทยในปี 2546 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,276 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.96
เป็นที่น่าสังเกตว่าการส่งออกตลอด 10 เดือนแรกของปี 2546 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการถึง 7,421 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 (มกราคม-ตุลาคม) ของปี 2546 ประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรม 50,169.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.25) สินค้าเกษตรกรรม 6,836.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.47) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,983.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.66) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 1,925.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.82) และสินค้าอื่นๆ 1,834.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.8) เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกตัวมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 15.4 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 และสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 6,624.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ แผงวงจรไฟฟ้า 3,645.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยานพาหนะและอุปกรณ์ 3,282.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2,298.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 2,225.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2,068.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 2,060.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 1,790.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 1,742.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า 1,398.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 27,137.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 41.27 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
- ตลาดส่งออก
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 70.9 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในเกือบทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 13.6 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.5 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 และตลาดอื่นๆร้อยละ 5.5 ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
-โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 ประกอบด้วยสินค้าทุน มีมูลค่าสูงที่สุด 27,101.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 44.36) รองลงมาเป็นการนำเข้าวัตถุดิบ 18,387.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 30.1) สินค้าเชื้อเพลิง 7,263 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.88) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.37) สินค้าหมวดยานพาหนะ 2,500.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.09) และ สินค้าอื่นๆ 715.6 (คิดเป็นร้อยละ 1.2)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยสินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.5 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2 สินค้าหมวดอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6
- แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2546 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 67.76และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 ,สหภาพยุโรป ร้อยละ 3.5 , ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 ,สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8, จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2
- แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2547 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเป้าการส่งออกให้สูงขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกรวมทั้งปี 2547 น่าจะขยายตัวได้ในระหว่างร้อยละ 10 -13 แต่อย่างไรก็ตามยังต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆด้านประกอบกันด้วย โดยปัจจัยด้านบวก ประกอบด้วย การเปิดตลาดการค้าของทางรัฐบาลในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ เช่นตลาดจีน รวมทั้งตลาดในประเทศตะวันออกกลาง , การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA)กับประเทศต่างๆ, การสิ้นสุดของสงครามอิรักซึ่งในช่วงเวลาหลังจากนี้จะเป็นช่วงของการบูรณะประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจำนวนมาก ทั้งอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
สำหรับปัจจัยด้านลบ มีด้วยกันหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือปัญหาเรื่องค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าขึ้นมากจากระดับ 42 - 43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 39 - 40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯทำให้กระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกในระดับหนึ่ง หากแนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้การ ส่งออกของไทยไม่สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยลบด้านอื่นๆ ก็มีเช่นปัญหา การก่อการร้ายในภูมิภาค ปัญหาค่าเงินหยวน เป็นต้น
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2546 คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 275,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเพียง162,500 ล้านบาท
2543 2544 2545 2546*
มูลค่าการลงทุนต่างประเทศ 212,649 266,300 162,500 275,000
ที่ได้รับ BOI(ล้านบาท)
* หมายเหตุ : ข้อมูลปี 2546 เป็นตัวเลขการคาดการณ์
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2546 ประเภทกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดคือ หมวดโลหะและอุปกรณ์ มีเงินลงทุน 62,200 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดบริการ 56,200 ล้านบาท หมวดเคมี กระดาษและพลาสติก มีเงินลงทุน 46,400 ล้านบาท หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 41,200 ล้านบาท หมวดเกษตรกรรมและผลิตผลทางการเกษตร 26,300 ล้านบาท หมวดอุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ 12,600 ล้านบาท และหมวดเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะ 5,100 ล้านบาท
การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม 2546 (ม.ค.-พ.ย.)
จำนวนโครงการ มูลค่าการลงทุน (ล้านบาท)
เกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร 128 26,300
เหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะ 15 5,100
อุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ 61 12,600
ผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ 178 62,200
อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 117 41,200
เคมี กระดาษและพลาสติก 101 46,400
บริการ 137 56,200
รวม 737 250,000
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2546 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 236 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 88,209 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 36 โครงการ 20,492 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 13 โครงการ เป็นเงินลงทุน 18,963 ล้านบาท
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-