อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
1. สถานการณ์ปัจจุบัน
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 มีประมาณ 10,729,745 เมตริกตัน (ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ซึ่งใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรม ก่อสร้าง โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างมีการขยายตัวสูงตั้งแต่ช่วงต้นปี จากโครงการก่อสร้างต่างๆ อันเป็นผลมาจากทั้งทางด้านอุปทานคือ โครงการใหม่ๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทางด้านอุปสงค์ คือความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน ตลอดจนในเรื่องมาตรการการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม การโอนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2546 นี้
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศในช่วงปี 2546 ประมาณ 13,865,487 เมตริกตัน (ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.75 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน (Hot-rolled Flat Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.77 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น (Cold-rolled Flat Products ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.88 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ
การนำเข้า
ปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 ประมาณ 8,773,781 เมตริกตัน (รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) มูลค่าโดยรวมประมาณ 3,166 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 3.40 แต่มูลค่าการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 27.10 ส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากราคาเหล็ก ได้แก่ เศษเหล็ก (Scrap) ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป(Semi-Finished Products) เช่น เหล็กแท่งแบน (Slab) เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต (Billet ) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ รีดร้อน (HR section ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 119.90 โดยนำเข้ามาจากประเทศจีน ญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าลดลงมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก (Tin plate) ลดลง ร้อยละ 12.37 และ เหล็กแท่งแบน (Slab) ลดลง ร้อยละ 3.52
การส่งออก
ปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 ประมาณ 1,618,388 เมตริกตัน (รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) มูลค่าโดยรวมประมาณ 805.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.59 และ 40.20 ตามลำดับ โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ ประเทศฮ่องกงและจีน
ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป (Semi-Finished Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15,438.62 โดยส่งออกไปยังประเทศเวียตนามและจีน รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน ( Hot Rolled Flat Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 485.05 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นเคลือบชนิดไม่ได้เคลือบดีบุก (Tin free) ลดลงร้อยละ 60.41 รองลงมาคือ เหล็กแท่งแบน (Slab) ลดลง ร้อยละ 28.75
2. แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2547 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนทางด้านบวกจากการขยายตัวทั้งทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยทางด้านลบ จากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก ได้แก่ เศษเหล็ก (Scrap) ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป(Semi-Finished Products) เช่น เหล็กแท่งแบน (Slab) เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต (Billet ) ซึ่งยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้เหล็กเพื่อการก่อสร้างภายในของประเทศจีน
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
1. สถานการณ์ปัจจุบัน
การผลิต
ปริมาณการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 มีประมาณ 10,729,745 เมตริกตัน (ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ซึ่งใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรม ก่อสร้าง โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างมีการขยายตัวสูงตั้งแต่ช่วงต้นปี จากโครงการก่อสร้างต่างๆ อันเป็นผลมาจากทั้งทางด้านอุปทานคือ โครงการใหม่ๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทางด้านอุปสงค์ คือความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน ตลอดจนในเรื่องมาตรการการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม การโอนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2546 นี้
การใช้ในประเทศ
ปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศในช่วงปี 2546 ประมาณ 13,865,487 เมตริกตัน (ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.75 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน (Hot-rolled Flat Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.77 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น (Cold-rolled Flat Products ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.88 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ
การนำเข้า
ปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 ประมาณ 8,773,781 เมตริกตัน (รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) มูลค่าโดยรวมประมาณ 3,166 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 3.40 แต่มูลค่าการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 27.10 ส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากราคาเหล็ก ได้แก่ เศษเหล็ก (Scrap) ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป(Semi-Finished Products) เช่น เหล็กแท่งแบน (Slab) เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต (Billet ) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ รีดร้อน (HR section ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 119.90 โดยนำเข้ามาจากประเทศจีน ญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าลดลงมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก (Tin plate) ลดลง ร้อยละ 12.37 และ เหล็กแท่งแบน (Slab) ลดลง ร้อยละ 3.52
การส่งออก
ปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2546 ประมาณ 1,618,388 เมตริกตัน (รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปและท่อเหล็ก) มูลค่าโดยรวมประมาณ 805.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.59 และ 40.20 ตามลำดับ โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือ ประเทศฮ่องกงและจีน
ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป (Semi-Finished Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15,438.62 โดยส่งออกไปยังประเทศเวียตนามและจีน รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน ( Hot Rolled Flat Products) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 485.05 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นเคลือบชนิดไม่ได้เคลือบดีบุก (Tin free) ลดลงร้อยละ 60.41 รองลงมาคือ เหล็กแท่งแบน (Slab) ลดลง ร้อยละ 28.75
2. แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงปี 2547 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนทางด้านบวกจากการขยายตัวทั้งทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยทางด้านลบ จากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก ได้แก่ เศษเหล็ก (Scrap) ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป(Semi-Finished Products) เช่น เหล็กแท่งแบน (Slab) เหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต (Billet ) ซึ่งยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้เหล็กเพื่อการก่อสร้างภายในของประเทศจีน
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-