อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
สถานการณ์ทั่วไป
อุตสาหกรรมสิ่งทอมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย มีกระบวนการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตเส้นใย ปั่นด้ายทอผ้า ถักผ้า ฟอกย้อมฯ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถนำรายได้เงินตราต่างประเทศได้ปีละกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปในปี 2546(ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 4 รองจากมูลค่าส่งออกอิเลคทรอนิกส์ แผง วงจรไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีมูลค่า 4,508.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2545 ร้อยละ 6.3 โดยส่งออกเพิ่มขึ้นในเกือบทุกตลาด ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน เยอรมนี และฝรั่งเศส ยกเว้นสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวประกอบกับการแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม
โครงสร้างการผลิต
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1) อุตสาหกรรมต้นน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมเส้นใย และอุตสาหกรรมปั่นด้าย
2) อุตสาหกรรมกลางน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมถักผ้า อุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และแต่งสำเร็จ
3) อุตสาหกรรมปลายน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำเร็จรูปอื่นๆ
จำนวนโรงงานและคนงานแยกตามประเภทอุตสาหกรรม
ประเภทอุตสาหกรรม จำนวนโรงงาน(โรง) คนงาน(คน)
2544 2545 2544 2545
เส้นใย 17 18 15,340 15,600
ปั่นด้าย 149 150 60,470 60,580
ทอผ้าและถักผ้า 1,332 1,345 118,520 118,910
ฟอกย้อม พิมพ์และแต่งสำเร็จ 405 409 46,750 59,930
เครื่องนุ่งห่ม 2,641 2,648 840,460 840,850
รวม 4,544 4,570 1,081,540 1,082,870
ที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
จำนวนโรงงาน
ปี 2545 อุตสาหกรรมสิ่งทอมีจำนวนโรงงานรวม 4,570 โรงงาน อุตสาหกรรมเส้นใย มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนโรงงานมากที่สุด เมื่อเทียบกับปี 2544 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนโรงงานน้อยสุดร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในหมวดสิ่งทอ
จำนวนแรงงาน
การจ้างงานปี 2545 อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการจ้างงานสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 77.7 รองลงมาคืออุตสาหกรรมทอผ้าและถักผ้า (ร้อยละ 11.0), ปั่นด้าย(ร้อยละ 5.6), ฟอกย้อม พิมพ์และแต่งสำเร็จ (ร้อยละ 4.3) และอุตสาหกรรมเส้นใย (ร้อยละ 1.4) ตามลำดับ ในอดีตอุตสาหกรรมทอผ้าและถักผ้ามีการใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต สำหรับอุตสาหกรรมเส้นใยจะใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง จึงมีอัตราการจ้างงานน้อยที่สุด คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.4 ของการจ้างงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งหมด จากปี 2540 เป็นต้นมาการจ้างงานลดลงเรื่อยๆ จากการลดค่าเงินบาท ทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ซึ่งราคา วัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น นายจ้างต้องลดคนงานลงเพื่อลดต้นทุนการผลิต แรงงานถือเป็นปัจจัยแปรผันที่สำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง(Labor Intensive)
สถานการณ์ส่งออก
ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกสิ่งทอของไทยมีมูลค่าการส่งออก 4,508.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 มีมูลค่าการส่งออก 4,240.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลิตภัณฑ์สิ่งทอส่งออกที่สำคัญ ได้แก่
1. เสื้อผ้าสำเร็จรูป ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 2,298.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 2,247.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส สัดส่วนร้อยละ 55.2 , 6.0, 5.7, 3.6 และ 3.4 ตามลำดับ
2. ผ้าผืนและด้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 1,145.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 1,045.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สัดส่วนร้อยละ 8.4 , 6.2, 5.4, 5.3 และ 4.8 ตามลำดับ
2.1 ผ้าผืน ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 709.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 661.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาด ส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง จีน และบังคลาเทศ สัดส่วนร้อยละ 9.1, 7.5, 5.4, 5.0 และ 4.9 ตามลำดับ
2.2 ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 435.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 383.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย สัดส่วนร้อยละ 9.8, 9.3, 8.2, 7.1 และ 5.5 ตามลำดับ
2.2.1 ด้ายฝ้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 96.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 78.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา สัดส่วนร้อยละ 20.2, 17.4, 10.1, 7.6 และ 5.7 ตามลำดับ
2.2.2 ด้ายเส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 339.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 304.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ตุรกี ญี่ปุ่น และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 10.4, 7.5, 6.6, 6.2 และ 5.5 ตามลำดับ
3. เส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 237.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 201.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ จีน อินโดนีเซีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน สัดส่วนร้อยละ 16.3, 15.4, 13.6, 6.2 และ 5.3 ตามลำดับ
4. เคหะสิ่งทอ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 153.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 127.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 47.8, 18.9, 3.2, 2.7 และ 2.6 ตามลำดับ
ตลาดส่งออก
สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นตลาดส่งออกสิ่งทอหลักของไทย ซึ่งการส่งออกสิ่งทอของไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2545(ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 1,570.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.7 % จากมูลค่า 1,631.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.8 ของการส่งออกสิ่งทอทั้งหมดของไทย
ญี่ปุ่น มีมูลค่าการส่งออก 313.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.0 ของการส่งออก สิ่งทอทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืนและด้าย เส้นใยประดิษฐ์ รวมทั้งสิ่งทออื่นๆ
สถานการณ์นำเข้าสิ่งทอ
ในปี 2546(ม.ค.-ต.ค.)การนำเข้าสิ่งทอพบว่า มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ โดยมี มูลค่าการนำเข้าสิ่งทอทั้งหมด 1,996.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากมูลค่า 1,914.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ผลิตภัณฑ์สำคัญที่นำเข้า ได้แก่
เส้นใย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 537.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 496.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน มาลี และญี่ปุ่น สัดส่วนร้อยละ 27.6, 21.3, 9.7, 5.1 และ 4.7 ตามลำดับ
ด้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 315.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 322.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ สัดส่วนร้อยละ 27.4, 13.8, 13.1, 8.9 และ 6.3 ตามลำดับ
ผ้าผืน ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 793.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 789.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 29.9, 21.9, 9.8, 9.3 และ 8.8 ตามลำดับ
เสื้อผ้าสำเร็จรูป ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 112.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 98.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาด นำเข้าหลักคือ จีน ฮ่องกง อิตาลี ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส สัดส่วนร้อยละ 55.6, 13.8, 4.6, 4.6 และ 2.9 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้าเครื่องจักรสิ่งทอในปี 2546 (ม.ค. - ต.ค.) มีมูลค่านำเข้า 351.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 389.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือญี่ปุ่น เยอรมัน และไต้หวัน สัดส่วนร้อยละ 32.5 , 20.0 และ 12.2 ตามลำดับ
สรุปและแนวโน้มปี 2547
ปี 2546(ม.ค.-ต.ค.) อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืน ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ เคหะสิ่งทอ ผ้าปัก-ผ้าลูกไม้ และสิ่งทออื่นๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก ตลอดจนมาตรการภาครัฐฯ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเก่า โครงการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของภูมิภาค ภายใต้ "กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น" อีกทั้งภาครัฐจะเปิดเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ และไทย-อียู จะช่วยผ่อนคลาย ลดผลกระทบการเปิดเสรีอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มตามกรอบ WTO ในปี 2548 ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะข้อตกลงเกี่ยวกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอบางรายการที่ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศที่เปิดเสรี การค้าระหว่างกันได้โดยตลอด
การนำเข้าสิ่งทอเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นเพียงด้ายทอผ้าและด้ายเส้นเล็กที่มีการนำเข้าลดลงร้อยละ 2.0 โดยเฉพาะจากไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 และปี 2547 คาดว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและตลาดต่างประเทศในเทศกาลต่างๆ ที่กำลังจะมาถึงทั้งคริสต์มาสและปีใหม่ และภาพรวมทั้งปีน่าจะขยายไม่ต่ำกว่า 5-6 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยเป็นอุตสาหกรรมในการนำเงินตราเข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการปรับตัวทั้งระบบการผลิตโดยการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมทั้งระบบ ขนาดการผลิตที่เหมาะสม บุคลากร โครงสร้างภาษีที่เหมาะสมเอื้อต่อการแข่งขัน มีการพัฒนารูปแบบและสร้าง Brand Name เป็นของตนเอง ระบบข้อมูลที่ทันสมัย มีช่องทางการจำหน่ายสินค้า รักษาตลาดเดิมและขยายสู่ตลาดใหม่ๆ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
สถานการณ์ทั่วไป
อุตสาหกรรมสิ่งทอมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย มีกระบวนการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตเส้นใย ปั่นด้ายทอผ้า ถักผ้า ฟอกย้อมฯ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถนำรายได้เงินตราต่างประเทศได้ปีละกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปในปี 2546(ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าส่งออกสูงเป็นอันดับ 4 รองจากมูลค่าส่งออกอิเลคทรอนิกส์ แผง วงจรไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอมีมูลค่า 4,508.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2545 ร้อยละ 6.3 โดยส่งออกเพิ่มขึ้นในเกือบทุกตลาด ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน เยอรมนี และฝรั่งเศส ยกเว้นสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวประกอบกับการแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม
โครงสร้างการผลิต
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1) อุตสาหกรรมต้นน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมเส้นใย และอุตสาหกรรมปั่นด้าย
2) อุตสาหกรรมกลางน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมถักผ้า อุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และแต่งสำเร็จ
3) อุตสาหกรรมปลายน้ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำเร็จรูปอื่นๆ
จำนวนโรงงานและคนงานแยกตามประเภทอุตสาหกรรม
ประเภทอุตสาหกรรม จำนวนโรงงาน(โรง) คนงาน(คน)
2544 2545 2544 2545
เส้นใย 17 18 15,340 15,600
ปั่นด้าย 149 150 60,470 60,580
ทอผ้าและถักผ้า 1,332 1,345 118,520 118,910
ฟอกย้อม พิมพ์และแต่งสำเร็จ 405 409 46,750 59,930
เครื่องนุ่งห่ม 2,641 2,648 840,460 840,850
รวม 4,544 4,570 1,081,540 1,082,870
ที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
จำนวนโรงงาน
ปี 2545 อุตสาหกรรมสิ่งทอมีจำนวนโรงงานรวม 4,570 โรงงาน อุตสาหกรรมเส้นใย มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนโรงงานมากที่สุด เมื่อเทียบกับปี 2544 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนโรงงานน้อยสุดร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในหมวดสิ่งทอ
จำนวนแรงงาน
การจ้างงานปี 2545 อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีการจ้างงานสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 77.7 รองลงมาคืออุตสาหกรรมทอผ้าและถักผ้า (ร้อยละ 11.0), ปั่นด้าย(ร้อยละ 5.6), ฟอกย้อม พิมพ์และแต่งสำเร็จ (ร้อยละ 4.3) และอุตสาหกรรมเส้นใย (ร้อยละ 1.4) ตามลำดับ ในอดีตอุตสาหกรรมทอผ้าและถักผ้ามีการใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต สำหรับอุตสาหกรรมเส้นใยจะใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง จึงมีอัตราการจ้างงานน้อยที่สุด คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.4 ของการจ้างงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งหมด จากปี 2540 เป็นต้นมาการจ้างงานลดลงเรื่อยๆ จากการลดค่าเงินบาท ทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ซึ่งราคา วัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น นายจ้างต้องลดคนงานลงเพื่อลดต้นทุนการผลิต แรงงานถือเป็นปัจจัยแปรผันที่สำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง(Labor Intensive)
สถานการณ์ส่งออก
ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) การส่งออกสิ่งทอของไทยมีมูลค่าการส่งออก 4,508.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 มีมูลค่าการส่งออก 4,240.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลิตภัณฑ์สิ่งทอส่งออกที่สำคัญ ได้แก่
1. เสื้อผ้าสำเร็จรูป ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 2,298.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 2,247.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส สัดส่วนร้อยละ 55.2 , 6.0, 5.7, 3.6 และ 3.4 ตามลำดับ
2. ผ้าผืนและด้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 1,145.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 1,045.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สัดส่วนร้อยละ 8.4 , 6.2, 5.4, 5.3 และ 4.8 ตามลำดับ
2.1 ผ้าผืน ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 709.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 661.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาด ส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง จีน และบังคลาเทศ สัดส่วนร้อยละ 9.1, 7.5, 5.4, 5.0 และ 4.9 ตามลำดับ
2.2 ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 435.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 383.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย สัดส่วนร้อยละ 9.8, 9.3, 8.2, 7.1 และ 5.5 ตามลำดับ
2.2.1 ด้ายฝ้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 96.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 78.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา สัดส่วนร้อยละ 20.2, 17.4, 10.1, 7.6 และ 5.7 ตามลำดับ
2.2.2 ด้ายเส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 339.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 304.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ตุรกี ญี่ปุ่น และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 10.4, 7.5, 6.6, 6.2 และ 5.5 ตามลำดับ
3. เส้นใยประดิษฐ์ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 237.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 201.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯตลาดส่งออกหลักคือ จีน อินโดนีเซีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน สัดส่วนร้อยละ 16.3, 15.4, 13.6, 6.2 และ 5.3 ตามลำดับ
4. เคหะสิ่งทอ ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 153.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 127.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 47.8, 18.9, 3.2, 2.7 และ 2.6 ตามลำดับ
ตลาดส่งออก
สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นตลาดส่งออกสิ่งทอหลักของไทย ซึ่งการส่งออกสิ่งทอของไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2545(ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 1,570.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.7 % จากมูลค่า 1,631.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.8 ของการส่งออกสิ่งทอทั้งหมดของไทย
ญี่ปุ่น มีมูลค่าการส่งออก 313.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.0 ของการส่งออก สิ่งทอทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืนและด้าย เส้นใยประดิษฐ์ รวมทั้งสิ่งทออื่นๆ
สถานการณ์นำเข้าสิ่งทอ
ในปี 2546(ม.ค.-ต.ค.)การนำเข้าสิ่งทอพบว่า มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ โดยมี มูลค่าการนำเข้าสิ่งทอทั้งหมด 1,996.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากมูลค่า 1,914.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ผลิตภัณฑ์สำคัญที่นำเข้า ได้แก่
เส้นใย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 537.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 496.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน มาลี และญี่ปุ่น สัดส่วนร้อยละ 27.6, 21.3, 9.7, 5.1 และ 4.7 ตามลำดับ
ด้าย ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 315.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 322.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ สัดส่วนร้อยละ 27.4, 13.8, 13.1, 8.9 และ 6.3 ตามลำดับ
ผ้าผืน ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 793.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 789.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง สัดส่วนร้อยละ 29.9, 21.9, 9.8, 9.3 และ 8.8 ตามลำดับ
เสื้อผ้าสำเร็จรูป ปี 2546 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการนำเข้า 112.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 98.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาด นำเข้าหลักคือ จีน ฮ่องกง อิตาลี ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส สัดส่วนร้อยละ 55.6, 13.8, 4.6, 4.6 และ 2.9 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้าเครื่องจักรสิ่งทอในปี 2546 (ม.ค. - ต.ค.) มีมูลค่านำเข้า 351.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 389.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดนำเข้าหลักคือญี่ปุ่น เยอรมัน และไต้หวัน สัดส่วนร้อยละ 32.5 , 20.0 และ 12.2 ตามลำดับ
สรุปและแนวโน้มปี 2547
ปี 2546(ม.ค.-ต.ค.) อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืน ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ เคหะสิ่งทอ ผ้าปัก-ผ้าลูกไม้ และสิ่งทออื่นๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก ตลอดจนมาตรการภาครัฐฯ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเก่า โครงการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของภูมิภาค ภายใต้ "กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น" อีกทั้งภาครัฐจะเปิดเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ และไทย-อียู จะช่วยผ่อนคลาย ลดผลกระทบการเปิดเสรีอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มตามกรอบ WTO ในปี 2548 ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะข้อตกลงเกี่ยวกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอบางรายการที่ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศที่เปิดเสรี การค้าระหว่างกันได้โดยตลอด
การนำเข้าสิ่งทอเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นเพียงด้ายทอผ้าและด้ายเส้นเล็กที่มีการนำเข้าลดลงร้อยละ 2.0 โดยเฉพาะจากไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 และปี 2547 คาดว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและตลาดต่างประเทศในเทศกาลต่างๆ ที่กำลังจะมาถึงทั้งคริสต์มาสและปีใหม่ และภาพรวมทั้งปีน่าจะขยายไม่ต่ำกว่า 5-6 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยเป็นอุตสาหกรรมในการนำเงินตราเข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการปรับตัวทั้งระบบการผลิตโดยการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมทั้งระบบ ขนาดการผลิตที่เหมาะสม บุคลากร โครงสร้างภาษีที่เหมาะสมเอื้อต่อการแข่งขัน มีการพัฒนารูปแบบและสร้าง Brand Name เป็นของตนเอง ระบบข้อมูลที่ทันสมัย มีช่องทางการจำหน่ายสินค้า รักษาตลาดเดิมและขยายสู่ตลาดใหม่ๆ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-