กรุงเทพ--20 ม.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ ( 19 มกราคม 2547) ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศของอิตาลี สรุปสาระได้ดังนี้
1. นาง Margherita Boniver รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อิตาลี ซึ่งเคยเป็นตัวแทนของรัฐบาลอิตาลีในการประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศพม่า ได้เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยได้มีการหารือกันในประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีหลายเรื่อง ประเด็นแรกคือ การเชิญนายกรัฐมนตรีของไทยเยือนประเทศอิตาลี โดยมีกำหนดการคร่าวๆ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการหารือกันคือระหว่างวันที่ 9 - 13 พฤษภาคม 2547 เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในหลายเรื่อง โดยได้ตกลงกันว่าในการเยือนอิตาลีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จะเร่งให้มีการลงนามในความตกลงที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนระหว่างสองประเทศ ความร่วมมือด้านความตกลงทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับคดีอาญา และความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์
2. ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้องกันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือกันในเรื่อง SME ให้มากขึ้น เพราะประเทศอิตาลีประสบความสำเร็จจาก SME และประเทศไทยถือว่า SME ก็เป็นกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจ โดยทางประเทศอิตาลีจะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ในด้านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ ที่ ประเทศอิตาลีประสบความสำเร็จในปัจจุบันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา SME ของประเทศไทย
3. ประเทศไทยได้ขอความร่วมมือกับประเทศอิตาลีในการเป็นหุ้นส่วนที่ จะผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแฟชั่นได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าประเทศอิตาลีเป็นศูนย์กลางของเมืองแฟชั่นระดับโลก มิใช่แต่เพียงยุโรปเท่านั้น โดยทางอิตาลีแสดงความเห็นด้วยและพร้อมที่จะให้ทีมงานมาร่วมมือกับประเทศไทยในเรื่องนี้
4. ทางรัฐบาลประเทศอิตาลีได้ให้ความสนใจที่ประเทศไทยมีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ทำให้นักธุรกิจอิตาลีสนใจที่จะขยายการลงทุนมายังประเทศไทยให้มากขึ้น เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
5. ในส่วนเรื่องพม่า อิตาลีได้แสดงความชื่นชมบทบาทของประเทศไทย ที่ได้ช่วยผลักดันให้เกิดกระบวนการปรองดองแห่งชาติและทำให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศพม่า ในโอกาสนี้ทางอิตาลีแสดงความประสงค์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการผลักดันขบวนการกรุงเทพฯ (The Bangkok Process) โดยจะเชิญประเทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมอีกครั้ง และเห็นด้วยกับไทยโดยตลอดว่าต้องช่วยกันให้กำลังใจแก่พม่าในการ ก้าวสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ รวมทั้งเห็นตรงกันว่า การประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2546 ส่งผลดีที่ผลักดันให้พม่ามีความมั่นใจในการที่จะเดินหน้าต่อไปในเรื่องความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งตนได้สรุปให้ทางอิตาลีทราบว่า จากการริเริ่มของ นายกรัฐมนตรีไทยทำให้พม่าได้ดำเนินการหารือกับชนกลุ่มน้อยต่างๆ เพื่อให้เกิด ความปรองดองมากขึ้น ซึ่งเป็นความคืบหน้าในทางบวกอีกทางหนึ่ง
6. สำหรับเรื่องกรอบความร่วมมือ ECS ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยได้ริเริ่ม ขึ้นนั้น ตนได้อธิบายให้ทางอิตาลีทราบถึงเหตุผลและสาขาที่ร่วมมือกัน และเป็นที่น่ายินดีที่อิตาลีพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนกับประเทศไทยในเรื่องความร่วมมือ ECS โดยทางอิตาลีจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ของอิตาลีมาหารือกับเจ้าหน้าที่ของไทย โดยอาจเริ่มจากความร่วมมือ ในด้านทรัพยากรมนุษย์ และการฝึกอบรมต่างๆ เพื่อช่วยเสริมให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศที่ได้ให้ความสนใจและกำลังศึกษาแนวทางการเป็นหุ้นส่วนกับไทยในกรอบ ECS เช่น ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ในการหารือกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีครั้งนี้ อิตาลีก็เห็นด้วยที่จะเป็น หุ้นส่วนกับไทยในเรื่องดังกล่าวด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
วันนี้ ( 19 มกราคม 2547) ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศของอิตาลี สรุปสาระได้ดังนี้
1. นาง Margherita Boniver รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อิตาลี ซึ่งเคยเป็นตัวแทนของรัฐบาลอิตาลีในการประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศพม่า ได้เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยได้มีการหารือกันในประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีหลายเรื่อง ประเด็นแรกคือ การเชิญนายกรัฐมนตรีของไทยเยือนประเทศอิตาลี โดยมีกำหนดการคร่าวๆ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการหารือกันคือระหว่างวันที่ 9 - 13 พฤษภาคม 2547 เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในหลายเรื่อง โดยได้ตกลงกันว่าในการเยือนอิตาลีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จะเร่งให้มีการลงนามในความตกลงที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนระหว่างสองประเทศ ความร่วมมือด้านความตกลงทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับคดีอาญา และความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์
2. ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้องกันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือกันในเรื่อง SME ให้มากขึ้น เพราะประเทศอิตาลีประสบความสำเร็จจาก SME และประเทศไทยถือว่า SME ก็เป็นกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจ โดยทางประเทศอิตาลีจะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ในด้านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ ที่ ประเทศอิตาลีประสบความสำเร็จในปัจจุบันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา SME ของประเทศไทย
3. ประเทศไทยได้ขอความร่วมมือกับประเทศอิตาลีในการเป็นหุ้นส่วนที่ จะผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแฟชั่นได้สำเร็จ เนื่องจากเป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าประเทศอิตาลีเป็นศูนย์กลางของเมืองแฟชั่นระดับโลก มิใช่แต่เพียงยุโรปเท่านั้น โดยทางอิตาลีแสดงความเห็นด้วยและพร้อมที่จะให้ทีมงานมาร่วมมือกับประเทศไทยในเรื่องนี้
4. ทางรัฐบาลประเทศอิตาลีได้ให้ความสนใจที่ประเทศไทยมีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ทำให้นักธุรกิจอิตาลีสนใจที่จะขยายการลงทุนมายังประเทศไทยให้มากขึ้น เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
5. ในส่วนเรื่องพม่า อิตาลีได้แสดงความชื่นชมบทบาทของประเทศไทย ที่ได้ช่วยผลักดันให้เกิดกระบวนการปรองดองแห่งชาติและทำให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศพม่า ในโอกาสนี้ทางอิตาลีแสดงความประสงค์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการผลักดันขบวนการกรุงเทพฯ (The Bangkok Process) โดยจะเชิญประเทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมอีกครั้ง และเห็นด้วยกับไทยโดยตลอดว่าต้องช่วยกันให้กำลังใจแก่พม่าในการ ก้าวสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ รวมทั้งเห็นตรงกันว่า การประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2546 ส่งผลดีที่ผลักดันให้พม่ามีความมั่นใจในการที่จะเดินหน้าต่อไปในเรื่องความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งตนได้สรุปให้ทางอิตาลีทราบว่า จากการริเริ่มของ นายกรัฐมนตรีไทยทำให้พม่าได้ดำเนินการหารือกับชนกลุ่มน้อยต่างๆ เพื่อให้เกิด ความปรองดองมากขึ้น ซึ่งเป็นความคืบหน้าในทางบวกอีกทางหนึ่ง
6. สำหรับเรื่องกรอบความร่วมมือ ECS ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยได้ริเริ่ม ขึ้นนั้น ตนได้อธิบายให้ทางอิตาลีทราบถึงเหตุผลและสาขาที่ร่วมมือกัน และเป็นที่น่ายินดีที่อิตาลีพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนกับประเทศไทยในเรื่องความร่วมมือ ECS โดยทางอิตาลีจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ของอิตาลีมาหารือกับเจ้าหน้าที่ของไทย โดยอาจเริ่มจากความร่วมมือ ในด้านทรัพยากรมนุษย์ และการฝึกอบรมต่างๆ เพื่อช่วยเสริมให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศที่ได้ให้ความสนใจและกำลังศึกษาแนวทางการเป็นหุ้นส่วนกับไทยในกรอบ ECS เช่น ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ในการหารือกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีครั้งนี้ อิตาลีก็เห็นด้วยที่จะเป็น หุ้นส่วนกับไทยในเรื่องดังกล่าวด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-