การแสดงวิสัยทัศน์ ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ณ บริเวณหอนาฬิกา สวนลุมพินี
สาเหตุที่เลือกสวนลุมพินีเป็นที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในการเสนอตัวรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะที่นี่ จะทำให้มองเห็นภาพของครอบครัว เด็ก และเยาวชน ผู้สูงอายุ และอีกหลายคนที่มาออกกำลังกาย ณ ที่แห่งนี้ มาพบปะกัน พูดคุยกัน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือ รอยยิ้ม และความรู้สึกที่มีความสุขของสิ่งที่เห็นในกรุงเทพฯ สวนลุมพินีหากมองโดยรอบจะอยู่ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ เป็นย่านของคนทำงาน คือ สาทร วิทยุ และสีลม ทุกคนคงทราบดีว่า ผู้ที่ทำงานนี้ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในย่านนี้ แต่อีกหลายคนอาศัยอยู่บริเวณรอบนอก นั่งรถขับรถเข้ามาทำงานบริเวณถนนสีลม และวิทยุ เพราะฉะนั้น ที่พรรคประชาธิปัตย์ถือโอกาสพบกับพี่น้องประชาชนชาว กทม.คือ ต้องการเสนอตัว แสดงวิสัยทัศน์ให้พี่น้องชาวกทม.ทราบ
หากมองที่ป้ายจะพบว่า "กรุงเทพฯของเรา" ทุกคนที่ใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับ กทม.ประกอบด้วยคนหลากหลาย หลายคนใช้ชีวิตตั้งแต่เกิด มีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯ หลายคนอยู่ต่างจังหวัด แต่เริ่มต้นชีวิตทำงานที่กรุงเทพฯ แต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่กรุงเทพฯ หลายคนมีบ้านอยู่รอบนอก เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ต้องขึ้นรถมาทำงาน จะเห็นได้ว่ากรุงเทพฯมีบุคคลที่หลากหลายในหลายสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นทางสังคม หลายคนอยู่ในชุมชนและด้อยโอกาส ดังนั้น กรุงเทพฯเป็นของพวกเราทุกคน ลำพังผมเองและพรรคประชาธิปัตย์คงเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้พรรคพร้อมและมีแนวทางขออาสาทำงาน มาบริหารงานร่วมกับพี่น้องประชาชนชาว กทม.
ผมมีแนวทางของกรุงเทพมหานคร คือ 1.สวนลุมพินีเป็นพื้นที่สีเขียวอยู่ในกลางเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นใน กทม. จากคนที่สอบถามคนกรุงเทพฯ เพราะว่าเป็นปัญหารถติด มลพิษ และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ หลายคนพูดถึงเรื่องความสะอาดขยะมูลฝอย ดังนั้น เราจะทำอย่างไร ให้ลูกหลานที่เติบโตมามีคุณภาพ และมีอนาคต เหล่านี้จะต้องกระจายการพัฒนาให้ครบ 1,569 ตารางกิโลเมตร มีการแบ่งเขตถึง 50 เขต ซึ่งทั้งหมดมีความแตกต่างในเชิงการพัฒนา โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใจกลางเมือง ใจกลางกรุงเทพฯ เหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดปัญหาจราจรแออัด มลพิษ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงเป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำไปพูดคุยกับประชาชน ในแต่ละพื้นที่เพื่อพัฒนาในแต่ละพื้นที่ สามารถมีโอกาสทำมาหากินและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนหรือหมู่บ้าน มีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีระบบเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศ ที่ต้องกระจายเข้าไปในเขตต่างๆ ให้มากที่สุด หากทำได้ ความรู้สึกที่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองจะหายไป
การที่จะทำให้คน กทม.มีความภาคภูมิใจในบ้านของเขา จะต้องประกอบไปด้วย 2. มาตรฐานคุณภาพของการใช้ชีวิต ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเราที่ใหญ่โต แต่อยู่แล้วขาดความสะดวกสบาย ขาดความสุข ขาดความภาคภูมิใจ ตามที่เราต้องการ บ้านที่ทันสมัยใหญ่สวยหรู ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ห้องรับแขก หรือเป็นโชว์รูมตามบ้านจัดสรรทั่วไปที่ขาดเสน่ห์ ชีวิตชีวา ในการที่จะประสมประสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมของคนไทย หรือเอกลักษณ์วัฒนธรรมของคน กทม. หลายคนใน กทม. เป็นคนหาเช้ากินค่ำ และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชน 1,720 ชุมชน ต้องได้รับการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน แม้ทุกคนจะประกอบอาชีพที่ต่างกัน เราต้องลงไปดู ชีวิตของคน กทม.ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหน เช่น กรุงเทพมหานครมีโอกาสดูแลโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร มีนักเรียนกระจายตัวอยู่ประมาณ 4 แสนคน เราต้องสร้างให้เด็กเหล่านี้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างห้องสมุดให้ใกล้ชิดกับประชาชน
ทั้งหมดนี้ต้องมีการพัฒนาด้านการศึกษา ไม่ใช่ระดับประถม มัธยม แต่จะรวมไปถึงชั้นเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ไปทำงานและไม่ต้องห่วงลูก ที่จะต้องทิ้งลูกให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่ โดยการบริหารงานภายใต้การดูแลของ กทม. เมื่อจบประถมสามารถที่จะเลือกเรียนต่อได้ หากขาดโอกาส หรือไม่สามารถทำงานได้ เราก็จะหางาน หรือฝึกอาชีพให้มีคุณภาพ และมีโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นให้เท่าเทียมกับคนในสังคม ตรงนี้จะถือเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาพัฒนา กทม. นอกจากนี้ ยังจะแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้เด็กมีสนามเด็กเล่น มีสนามกีฬา มีครอบครัวที่อบอุ่น ส่วนการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพฯ มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 2 ที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าไปพูดคุยและทำงานใกล้ชิดกับทุกท่านเพื่อทราบถึงปัญหา และจะนำมาแก้ไขปัญหา นอกจากนี้จะลงไปถามว่าคน กทม.ต้องการ กทม.แบบไหน
เรื่องที่ 3. การบริหาร กทม. ส่วนตัวมีประสบการณ์การทำงานในภาคเอกชน ตลอด 20 ปี ส่วนการบริหารงาน กทม. หรือการบริหารงานท้องถิ่น ที่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่เพราะเป็นเมืองหลวงของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ต้องได้รับการจัดการให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการบริหารงาน กทม.ต้องได้รับการร่วมมือจากทุกฝ่าย ผมมีความพร้อม มีแนวทางในการทำงาน สามารถร่วมทำงานกับทุกฝ่าย และร่วมผลักดันนโยบายร่วมกับรัฐบาล ซึ่งอาจจะรู้สึกว่าการไม่อยู่พรรคเดียวกับรัฐบาลจะอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ ตรงนี้ขอยืนยันว่า การบริหารงาน กทม. ในฐานะ กทม.เป็นของคน กทม. ทุกคน เราต้องช่วยกัน ซึ่งการบริหารงาน กทม. ทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบไปด้วยผู้บริหารพรรค ส.ส.กทม. ส.ก. ส.ข. ที่มีความพร้อมและประสบการณ์รับใช้ กทม.มายาวนาน เพียงแต่ไม่ได้เข้าไปบริหารงานใน กทม.ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.หรือคณะผู้บริหาร กทม. หลายคนเมื่อพูดถึงการบริหารงานใน กทม. ส่วนใหญ่จะนึกถึงแนวทางและนโยบาย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะต้องบริหารงานร่วมกับทุกฝ่าย
กทม.ประกอบไปด้วยคณะผู้บริหารข้าราชการ กทม. ที่ทำงานกว่า 8 หมื่นคน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันและรับใช้คน กทม. ในลักษณะการให้บริการ ซึ่งในเชิงบริหารจัดการ ซึ่งในภาษาอังกฤษผมขออนุญาตใช้คำว่า เซอร์วิส มายด์(Service Mind) หลายๆ ครั้งเมื่อเราไปติดต่อ ให้บริการในสำนักงานเขต เราจะรู้สึกว่าเรื่องการบริการเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องปลูกฝังเพื่อให้เกิดความรู้สึกของการให้บริการ ซึ่งภายในพรรคล้วนแล้วแต่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ คนที่ประกอบอาชีพในภาคเอกชนจะมาช่วยกันในการนำเสนอนโยบาย ทั้งในด้านการจัดผังเมือง การแก้ไขปัญหาจราจรในระบบขนส่งมวลชน ทั้งขนาดใหญ่และที่จะเชื่อมต่อ โดยการนำคนที่อาศัยอยู่รอบนอก กทม.ให้เข้ามาโดยไม่ต้องขับรถ เพื่อเบ่งเบาปัญหาการจราจรให้หมดไป ดังนั้นจึงถือว่าเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสมาพบปะคน กทม.
วันนี้ผมขอเรียนยืนยันว่าผมและพรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมในการที่จะร่วมทำงานกับประชาชนชาว กทม. พร้อมที่จะทำงานกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ กว่า 8 หมื่นคนของ กทม. เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ ไม่ต้องห่วงกับสถานภาพความเป็นอยู่ของเขา และทุกคนจะมีกำลังใจที่จะร่วมกันทำประสานงานร่วมกับหน่วยงานราชการ และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมกับรัฐบาล ในการที่จะอาสาแก้ไขปัญหาให้ชาว กทม.
ผมอาจได้รับการกล่าวขานและพูดถึงในลักษณะของคนหน้าใหม่ในทางการเมือง แต่ขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ที่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และได้มีการพูดคุย จึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ลังเลแต่มีความมุ่งมั่น มีความพร้อม และผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน ที่จะทำงานหนัก และจะลงไปพูดคุยกับชาว กทม. เพื่อจะทำกรุงเทพฯให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ เป็นเมืองที่น่าภาคภูมิใจ เพื่อให้ลูกหลานเติบโตมีคุณภาพ เป็นอนาคตที่สำคัญของสังคมไทยและประเทศไทยในอนาคต
หลังจากวันนี้ ทีมงานจะได้เชิญชวนให้คน กทม.เข้ามาร่วมคิด ร่วมสร้าง เสนอแนวทางแก้ปัญหา กทม. เข้ามาที่เว็บไซต์ www.ourbangkok.org และเปิดสายโทรศัพท์รับฟังความคิดเห็น และจะมีทีมงานแยกประเด็นปัญหาในแต่ละด้านแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อไป และพร้อมจะเปิดนโยบายอย่างเป็นทางพร้อมกับทีมงานรองผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครภายในเดือนเมษายนนี้ หากผมได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพฯในสมัยที่จะถึงนี้ กรอบเวลา 4 ปี ผมอยากมองไปไกลกกว่านั้นคือ นอกจากจะสร้างให้เป็นเมืองน่าอยู่แล้ว เมื่อเรามองกลับมา จะเป็นการทำเพื่ออนาคตของลูกหลานชาว กทม.
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20/01/47--จบ--
-สส-
สาเหตุที่เลือกสวนลุมพินีเป็นที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในการเสนอตัวรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะที่นี่ จะทำให้มองเห็นภาพของครอบครัว เด็ก และเยาวชน ผู้สูงอายุ และอีกหลายคนที่มาออกกำลังกาย ณ ที่แห่งนี้ มาพบปะกัน พูดคุยกัน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือ รอยยิ้ม และความรู้สึกที่มีความสุขของสิ่งที่เห็นในกรุงเทพฯ สวนลุมพินีหากมองโดยรอบจะอยู่ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ เป็นย่านของคนทำงาน คือ สาทร วิทยุ และสีลม ทุกคนคงทราบดีว่า ผู้ที่ทำงานนี้ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในย่านนี้ แต่อีกหลายคนอาศัยอยู่บริเวณรอบนอก นั่งรถขับรถเข้ามาทำงานบริเวณถนนสีลม และวิทยุ เพราะฉะนั้น ที่พรรคประชาธิปัตย์ถือโอกาสพบกับพี่น้องประชาชนชาว กทม.คือ ต้องการเสนอตัว แสดงวิสัยทัศน์ให้พี่น้องชาวกทม.ทราบ
หากมองที่ป้ายจะพบว่า "กรุงเทพฯของเรา" ทุกคนที่ใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับ กทม.ประกอบด้วยคนหลากหลาย หลายคนใช้ชีวิตตั้งแต่เกิด มีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯ หลายคนอยู่ต่างจังหวัด แต่เริ่มต้นชีวิตทำงานที่กรุงเทพฯ แต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่กรุงเทพฯ หลายคนมีบ้านอยู่รอบนอก เช่น นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ต้องขึ้นรถมาทำงาน จะเห็นได้ว่ากรุงเทพฯมีบุคคลที่หลากหลายในหลายสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นทางสังคม หลายคนอยู่ในชุมชนและด้อยโอกาส ดังนั้น กรุงเทพฯเป็นของพวกเราทุกคน ลำพังผมเองและพรรคประชาธิปัตย์คงเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้พรรคพร้อมและมีแนวทางขออาสาทำงาน มาบริหารงานร่วมกับพี่น้องประชาชนชาว กทม.
ผมมีแนวทางของกรุงเทพมหานคร คือ 1.สวนลุมพินีเป็นพื้นที่สีเขียวอยู่ในกลางเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นใน กทม. จากคนที่สอบถามคนกรุงเทพฯ เพราะว่าเป็นปัญหารถติด มลพิษ และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ หลายคนพูดถึงเรื่องความสะอาดขยะมูลฝอย ดังนั้น เราจะทำอย่างไร ให้ลูกหลานที่เติบโตมามีคุณภาพ และมีอนาคต เหล่านี้จะต้องกระจายการพัฒนาให้ครบ 1,569 ตารางกิโลเมตร มีการแบ่งเขตถึง 50 เขต ซึ่งทั้งหมดมีความแตกต่างในเชิงการพัฒนา โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใจกลางเมือง ใจกลางกรุงเทพฯ เหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดปัญหาจราจรแออัด มลพิษ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงเป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำไปพูดคุยกับประชาชน ในแต่ละพื้นที่เพื่อพัฒนาในแต่ละพื้นที่ สามารถมีโอกาสทำมาหากินและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนหรือหมู่บ้าน มีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีระบบเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศ ที่ต้องกระจายเข้าไปในเขตต่างๆ ให้มากที่สุด หากทำได้ ความรู้สึกที่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองจะหายไป
การที่จะทำให้คน กทม.มีความภาคภูมิใจในบ้านของเขา จะต้องประกอบไปด้วย 2. มาตรฐานคุณภาพของการใช้ชีวิต ของพี่น้องชาวกรุงเทพฯ เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเราที่ใหญ่โต แต่อยู่แล้วขาดความสะดวกสบาย ขาดความสุข ขาดความภาคภูมิใจ ตามที่เราต้องการ บ้านที่ทันสมัยใหญ่สวยหรู ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ห้องรับแขก หรือเป็นโชว์รูมตามบ้านจัดสรรทั่วไปที่ขาดเสน่ห์ ชีวิตชีวา ในการที่จะประสมประสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมของคนไทย หรือเอกลักษณ์วัฒนธรรมของคน กทม. หลายคนใน กทม. เป็นคนหาเช้ากินค่ำ และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชน 1,720 ชุมชน ต้องได้รับการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน แม้ทุกคนจะประกอบอาชีพที่ต่างกัน เราต้องลงไปดู ชีวิตของคน กทม.ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหน เช่น กรุงเทพมหานครมีโอกาสดูแลโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร มีนักเรียนกระจายตัวอยู่ประมาณ 4 แสนคน เราต้องสร้างให้เด็กเหล่านี้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างห้องสมุดให้ใกล้ชิดกับประชาชน
ทั้งหมดนี้ต้องมีการพัฒนาด้านการศึกษา ไม่ใช่ระดับประถม มัธยม แต่จะรวมไปถึงชั้นเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ไปทำงานและไม่ต้องห่วงลูก ที่จะต้องทิ้งลูกให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่ โดยการบริหารงานภายใต้การดูแลของ กทม. เมื่อจบประถมสามารถที่จะเลือกเรียนต่อได้ หากขาดโอกาส หรือไม่สามารถทำงานได้ เราก็จะหางาน หรือฝึกอาชีพให้มีคุณภาพ และมีโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นให้เท่าเทียมกับคนในสังคม ตรงนี้จะถือเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาพัฒนา กทม. นอกจากนี้ ยังจะแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้เด็กมีสนามเด็กเล่น มีสนามกีฬา มีครอบครัวที่อบอุ่น ส่วนการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพฯ มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 2 ที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าไปพูดคุยและทำงานใกล้ชิดกับทุกท่านเพื่อทราบถึงปัญหา และจะนำมาแก้ไขปัญหา นอกจากนี้จะลงไปถามว่าคน กทม.ต้องการ กทม.แบบไหน
เรื่องที่ 3. การบริหาร กทม. ส่วนตัวมีประสบการณ์การทำงานในภาคเอกชน ตลอด 20 ปี ส่วนการบริหารงาน กทม. หรือการบริหารงานท้องถิ่น ที่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่เพราะเป็นเมืองหลวงของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ต้องได้รับการจัดการให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการบริหารงาน กทม.ต้องได้รับการร่วมมือจากทุกฝ่าย ผมมีความพร้อม มีแนวทางในการทำงาน สามารถร่วมทำงานกับทุกฝ่าย และร่วมผลักดันนโยบายร่วมกับรัฐบาล ซึ่งอาจจะรู้สึกว่าการไม่อยู่พรรคเดียวกับรัฐบาลจะอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ ตรงนี้ขอยืนยันว่า การบริหารงาน กทม. ในฐานะ กทม.เป็นของคน กทม. ทุกคน เราต้องช่วยกัน ซึ่งการบริหารงาน กทม. ทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบไปด้วยผู้บริหารพรรค ส.ส.กทม. ส.ก. ส.ข. ที่มีความพร้อมและประสบการณ์รับใช้ กทม.มายาวนาน เพียงแต่ไม่ได้เข้าไปบริหารงานใน กทม.ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.หรือคณะผู้บริหาร กทม. หลายคนเมื่อพูดถึงการบริหารงานใน กทม. ส่วนใหญ่จะนึกถึงแนวทางและนโยบาย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะต้องบริหารงานร่วมกับทุกฝ่าย
กทม.ประกอบไปด้วยคณะผู้บริหารข้าราชการ กทม. ที่ทำงานกว่า 8 หมื่นคน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันและรับใช้คน กทม. ในลักษณะการให้บริการ ซึ่งในเชิงบริหารจัดการ ซึ่งในภาษาอังกฤษผมขออนุญาตใช้คำว่า เซอร์วิส มายด์(Service Mind) หลายๆ ครั้งเมื่อเราไปติดต่อ ให้บริการในสำนักงานเขต เราจะรู้สึกว่าเรื่องการบริการเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องปลูกฝังเพื่อให้เกิดความรู้สึกของการให้บริการ ซึ่งภายในพรรคล้วนแล้วแต่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ คนที่ประกอบอาชีพในภาคเอกชนจะมาช่วยกันในการนำเสนอนโยบาย ทั้งในด้านการจัดผังเมือง การแก้ไขปัญหาจราจรในระบบขนส่งมวลชน ทั้งขนาดใหญ่และที่จะเชื่อมต่อ โดยการนำคนที่อาศัยอยู่รอบนอก กทม.ให้เข้ามาโดยไม่ต้องขับรถ เพื่อเบ่งเบาปัญหาการจราจรให้หมดไป ดังนั้นจึงถือว่าเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสมาพบปะคน กทม.
วันนี้ผมขอเรียนยืนยันว่าผมและพรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อมในการที่จะร่วมทำงานกับประชาชนชาว กทม. พร้อมที่จะทำงานกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ กว่า 8 หมื่นคนของ กทม. เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ ไม่ต้องห่วงกับสถานภาพความเป็นอยู่ของเขา และทุกคนจะมีกำลังใจที่จะร่วมกันทำประสานงานร่วมกับหน่วยงานราชการ และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมกับรัฐบาล ในการที่จะอาสาแก้ไขปัญหาให้ชาว กทม.
ผมอาจได้รับการกล่าวขานและพูดถึงในลักษณะของคนหน้าใหม่ในทางการเมือง แต่ขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ที่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และได้มีการพูดคุย จึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ลังเลแต่มีความมุ่งมั่น มีความพร้อม และผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน ที่จะทำงานหนัก และจะลงไปพูดคุยกับชาว กทม. เพื่อจะทำกรุงเทพฯให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ เป็นเมืองที่น่าภาคภูมิใจ เพื่อให้ลูกหลานเติบโตมีคุณภาพ เป็นอนาคตที่สำคัญของสังคมไทยและประเทศไทยในอนาคต
หลังจากวันนี้ ทีมงานจะได้เชิญชวนให้คน กทม.เข้ามาร่วมคิด ร่วมสร้าง เสนอแนวทางแก้ปัญหา กทม. เข้ามาที่เว็บไซต์ www.ourbangkok.org และเปิดสายโทรศัพท์รับฟังความคิดเห็น และจะมีทีมงานแยกประเด็นปัญหาในแต่ละด้านแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อไป และพร้อมจะเปิดนโยบายอย่างเป็นทางพร้อมกับทีมงานรองผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครภายในเดือนเมษายนนี้ หากผมได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพฯในสมัยที่จะถึงนี้ กรอบเวลา 4 ปี ผมอยากมองไปไกลกกว่านั้นคือ นอกจากจะสร้างให้เป็นเมืองน่าอยู่แล้ว เมื่อเรามองกลับมา จะเป็นการทำเพื่ออนาคตของลูกหลานชาว กทม.
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20/01/47--จบ--
-สส-