การผลิตเครื่องเรือนไม้ยางพาราคุณภาพสูง
ตามรอยอดีตยางพาราสู่ประเทศไทย
ย้อนอดีตไปเมื่อก่อน พ.ศ. 2300 ชาวอินเดียนแดงในอเมริกากลาง เป็นมนุษย์ยุคแรกที่รู้จักนำน้ำยางจากต้นยางพารามาใช้ประโยชน์ เผ่ามายัน นำน้ำยางมาทำเป็นรองเท้า ด้วยการใช้มีดเฉาะต้นยางให้น้ำยางไหลลงในภาชนะที่รองรับไว้ ใช้เท้าจุ่มลงในน้ำยางทิ้งให้แห้งทำซ้ำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง จนได้รองเท้าที่มีความหนาตามความต้องการ ส่วนเผ่าอื่นๆ ก็นำน้ำยางมาทำลูกบอลยางไว้เล่นเกมส์บ้าง ทำผ้ายางกันฝนบ้าง เป็นต้น
ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่รู้จักและสัมผัสยาง คือ คณะสำรวจทวีปอเมริกา ครั้งที่ 2 ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในปี พ.ศ. 2036 ซึ่งไปพบและเห็นชาวพื้นเมืองของเกาะไฮติเล่นบอลยางสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่
จากนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงมีผู้นำยางไปปลูกในทวีปยุโรปเพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำยางในรูปแบบต่างๆ ทำให้ยางพารามีความสำคัญมากขึ้น เป็นผลให้เนื้อที่ปลูกยางขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยางพารา ( Hevea brasiliensis ) พืชสกุล EUPHORBIACEAE ย้ายออกจากถิ่นกำเนิดเดิม บริเวณลุ่มน้ำอเมซอน ประเทศบราซิล ทวีปอเมริกาใต้ มาเจริญงอกงามในทวีปเอเซียได้ก็เนื่องมาจากความคิดของ เซอร์ คลีเมนส์ มาร์คแฮม ( Sir Clements Markham) ชาวอังกฤษ ที่คิดนำยางมาปลูกที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. 2416 จำนวน 6 ต้น แม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม
4 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2420 ความสำเร็จจึงบังเกิดขึ้น เมื่อชาวอังกฤษนำยางพารามาปลูกในสวน พฤกษชาติสิงคโปร์ และปลูกในกัวลากังซาร์ รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย ยางชุดนี้จึงเป็นต้นกำเนิดสู่รากฐานของสวนยางพารานำมาซึ่งอาชีพของเกษตรกรในภูมิภาคนี้ตั้งแต่นั้นมา จนเป็นแหล่งผลิตยางที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง ) ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรังเดินทางไปดูงานที่ประเทศมาเลเซีย และเห็นว่าอาชีพการทำสวนยางเป็นอาชีพที่ให้ผลดี จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 พระสถลสถานพิทักษ์ จึงนำกล้ายางจากอินโดนีเซียกลับมาเมืองไทยได้ ด้วยการเอาสำลีชุบน้ำหุ้มราก แล้วห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์บรรจุลงในลังไม้ นำมาปลูกไว้บริเวณหน้าบ้านพัก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง จากนั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ได้นำพันธ์ยางดังกล่าวไปแจกจ่ายและส่งเสริมให้ราษฎรปลูกโดยทั่วไป จนได้รับการยกย่องในเวลาต่อมาให้เป็น " บิดาแห่งยางพาราไทย "
ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 หลวงราชไมตรี ( ปูม ปุณศรี ) ได้นำพันธุ์ยางไปปลูกที่จังหวัดจันทบุรีบ้าง ช่วยให้อาชีพการทำสวนยางแพร่หลาย และขยายออกไปอย่างรวดเร็ว จนมีผู้พยายามนำพันธุ์ยางไปปลูกทั้งในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ่งจะพบหลักฐานได้จากต้นยางเก่าๆ ขึ้นอยู่ในหลายท้องที่ทั่วประเทศไทย จนมีความสำคัญแก่เศรษฐกิจของประเทศไทยมาจนทุกวันนี้
ต้นไม้ยางพาราอยู่ในสกุล ( Genus ) Hevea วงศ์ ( Family ) Euphorbiaceae ไม้ในวงศ์นี้มีอยู่ด้วยกันไม่น้อยกว่า 10 ชนิด เช่น
1. Hevea benthamiana
2. Hevea brasiliensis
3. Hevea collina
4. Hevea quianensis
5. Hevea confusa
6. Hevea pauciflora
7. Hevea spruceana
8. Hevea microphylla
9. Hevea nilida
10.Hevea quianensis
ฯลฯ
แต่ไม้ยางพารา Hevea brasiliensis เป็นชนิดที่ดีที่สุดในการให้น้ำยาง จึงนิยมปลูกกันแพร่หลายเฉพาะชนิดนี้ และได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำยางสูงขึ้นการปลูกยางพารา
การกำหนดขอบเขตและพื้นที่ปลูกยาง
สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้กำหนดและแบ่งเขตปลูกยางของประเทศออกเป็น 2 เขต คือ
1. เขตปลูกยางเดิม กระจายใน 14 จังหวัดของภาคใต้ คือชุมพร ระนอง สุราษร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก คือ ระยอง จันทบุรี และตราด ตลอดจนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในภาคกลาง
2. เขตปลูกยางใหม่ กระจายใน 2 จังหวัดของภาคตะวันออก คือ ชลบุรี และฉะเชิงเทราและ 17 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร เลย สกลนคร หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
สำหรับการกำหนดเขตพื้นที่ตามศักยภาพของที่ดิน เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้วิธีการประเมินความเหมาะสมของปัจจัยทางดิน ร่วมกับปัจจัยทางภูมิอากาศโดยพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการปลูกยาง คือ ขีดจำกัดของการปลูกพืชสภาพแวดล้อมที่ยางต้องการ ตลอดจนนำผลงานวิจัยมาประเมินร่วม สามารถแบ่งพื้นที่ชั้นความเหมาะสมของที่ดินต่อการปลูกยางพาราได้ดังนี้
1. ในเขตปลูกยางเดิม แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ พื้นที่ดินเหมาะสมต่อการปลูกยาง ( L1 ) พื้นที่ดินเหมาะสมปานกลางต่อการปลูกยาง ( L2 ) และพื้นที่ดินที่ไม่แนะนำให้ปลูกยาง ( L3) ซึ่งรวมพื้นที่ดินเหมาะสมและพื้นที่มีความลาดชันมากกว่า 60 %
2. ในเขตปลูกยางใหม่ แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ พื้นที่ดินเหมาะสมมากต่อการปลูกยาง ( L1 )พื้นที่ดินเหมาะสม ( L2 ) พื้นที่ค่อนข้างเหมาะสม ( L3 ) และพื้นที่ดินไม่เหมาะสม ( L4 )
ลักษณะดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกยางพารา
สมบัติทางกายภาพ
1. หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ไม่มีชั้นหินแข็ง หินโผล่ หรือชั้นดินดาน
2. โครงสร้างของดินดี เช่น โครงสร้างแบบก้อนเหลี่ยมมุมมน
3. เนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียวควรมีอนุภาคดินเหนียว 35 % อนุภาคดินทราย 30 %
4. สีสม่ำเสมอ ไม่มีสีจุดประ
5. ระบายน้ำดี มีระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 1 เมตร
6. ระบายอากาศดี มีช่องว่างภายในดินมากพอ
สมบัติทางเคมี
1. มีอินทรีย์วัตถุค่อนข้างสูง
2. มีธาตุอาหารหลัก เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม
3. มีธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และมีธาตุอาหารเสริมพอเหมาะ
4. มีความเป็นกรด - ด่าง (pH) 4.0 - 5.5
5. ไม่เป็นดินเกลือ (ดินเค็ม)
พื้นที่ปลูกยางพาราของประเทศไทย
พื้นที่ปลูกยางพาราอยู่ในภาคใต้ 15 จังหวัด ภาคตะวันออก 6 จังหวัด ซึ่งได้จากากรคำนวณภาพดาวเทียมเมื่อปี 2529, 2533 และ 2539 เมื่อรวมกับพื้นที่ปลูกในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 จังหวัดแล้ว เป็นพื้นที่ปลูกยางของประเทศจำนวน 10.766 ล้านไร่ ( ปี 2529) จำนวน 10.986 ล้านไร่ ( ปี 2533) จำนวน 12.245 ล้านไร่ ( ปี 2539) จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุด ในขณะที่จังหวัดอำนาจเจริญมีพื้นที่ที่ปลูกยางน้อยที่สุด
การวางแนวและการขุดหลุมปลูก
การวางแนวปลูก เป็นการกำหนดทิศทางของแถวปลูก เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับต้นยาง ช่วยป้องกันการชะล้างของหน้าดิน ตลอดจนความสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกด้วย ดังนั้นการวางแนวปลูกจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ
การวางแนวปลูกในพื้นที่ราบ
ก่อนลงมือวางแนวปลูกต้องกำหนดระยะปลูกเสียก่อน ให้สอดคล้องกับสภาพดินและพันธุ์ยางที่ใช้ปลูกเป็นหลัก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่าจะปลูกพืชแซมยางหรือไม่
เมื่อกำหนดระยะปลูกได้แล้ว จึงวางแนวปลูก โดยเริ่มจากการวางแถวหลักห่างจากแนวเขตสวนไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ให้ขวางทิศทางการไหลของน้ำเพื่อลดการชะล้างหน้าดินและการพังทลายของดิน
การวางแนวปลูกในพื้นที่ลาดเทหรือควนเขา
การวางแนวปลูกยางในพื้นที่ลาดเท ให้วางแนวปลูกตามแนวระดับ หรือวางแนวปลูกเป็นขั้นบันได เพื่อป้องกันการชะล้างและการพังทลายของหน้าดินการขุดหลุมปลูก
หลุมปลูกยางเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้นยางเจริญเติบโตได้ดี การขุดหลุมปลูกยางให้ขุดด้านหนึ่งของไม้ชะมบตลอดแนว แยกดินที่ขุดเป็น 2 กอง คือ ดินชั้นบนและดินชั้นล่าง ผึ่งแดดไว้ประมาณ 10 วัน ให้ดินแห้ง แล้วย่อยดินชั้นบนใส่รองก้นหลุม ส่วนดินชั้นล่างผสมกับปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัม ต่อหลุม กลบลงในหลุม
ขนาดของหลุมปลูกยางที่แนะนำให้ใช้โดยทั่วไป คือ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของวัสดุปลูกที่ใช้ในแปลงพันธุ์ยาง
ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่ต้องใช้ระยะเวลา 6 - 7 ? ปี จึงจะเปิดกรีดได้ ดังนั้นก่อนที่จะเลือกพันธุ์ยางมาปลูก จึงควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับยางพาราโดยตรงก่อน และที่สำคัญควรจะซื้อพันธุ์ยางจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เพื่อป้องกันความเสียหายจากการเลือกพันธุ์ยางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศการปรับปรุงพันธุ์ยางและคำแนะนำพันธุ์ยาง
สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้ตระหนักและให้ความสำคัญของการปรับปรุงพันธุ์ยางมาโดยตลอด ด้วยการผสมและคัดเลือกพันธุ์ยางทั้งจากในประเทศ และแลกเปลี่ยนพันธุ์ยางกับต่างประเทศ โดยมีวิธีการและแผนการปรับปรุงพันธุ์ยางที่เป็นมาตรฐานสากลที่ต้องใช้ระยะเวลาปรับปรุงนานถึง 30 ปี ( แผนภูมิ 1 ) สำหรับพันธุ์ยางที่ผ่านการคัดเลือกจากแปลงเปรียบเทียบและทดสอบพันธุ์ยางในสภาพแวดล้อมต่างๆ จะนำมาคัดเลือกพันธุ์ยางที่ดีที่สุด ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ยาง ( แผนภูมิ 2 ) และจัดทำเป็นคำแนะนำพันธุ์ยางทุก 4 ปี โดยคำนึงถึงผลผลิต การเจริญเติบโน การต้านทานโรค และความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถเลือกปลูกได้อย่างถูกต้องต่อไป
คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2540
พันธ์ยางที่แนะนำให้ปลูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
พันธุ์ยางชั้น 1 แนะนำให้ปลูกโดยไม่จำกัดพื้นที่ปลูก พันธุ์ยางในชั้นนี้ได้ผ่านการทดลองและศึกษาลักษณะต่างๆ อย่างละเอียด
พันธุ์ยางชั้น 2 แนะนำให้ปลูกโดยจำกัดเนื้อที่ปลูก ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกยางที่ถือครอง แต่ละพันธุ์ ควรปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่ พันธุ์ยางชั้นนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาลักษณะบางประการเพิ่มเติม
พันธุ์ยางชั้น 3 แนะนำให้ปลูกโดยจำกัดพื้นที่ปลูก ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของพื้นที่ปลูกยางที่ถือครอง แต่ละพันธุ์ควรปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่ พันธุ์ยางชั้นนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างการทดลองและต้องศึกษาลักษณะต่างๆ เพิ่มเติม
พันธุ์ยางที่แนะนำ
พันธุ์ยางชั้น 1 สงขลา 36, BPM 24, PB 255, PB 260, PR 255, RRIC 110, RRIM 600
พันธุ์ยางชั้น 2 BPM 1, PB 235, RRIC 100, RRIC 101, สว.ย. 250, สว.ย. 251
พันธุ์ยางชั้น 3 PR 302, PR 305, RRIC 121, สว.ย. RRIT 163, สว.ย. 209, สว.ย. 214, สว.ย. 218, สว.ย. 225, สว.ย. 226
พันธุ์ยางไทยในคำแนะนำพันธุ์ยางชั้น 1 และ 2
คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2540 มีพันธุ์ยางของไทยที่อยู่ในคำแนะนำพันธุ์ยางชั้น 1 จำนวน 1 พันธุ์ คือ สงขลา 36 และในคำแนะนำพันธุ์ชั้น 2 จำนวน 2 พันธุ์ คือ สว.ย. 250 (RRIT 250) และ สว.ย. 251 (RRIT 251) ข้อมูลการขยายพันธุ์ยาง
ในการขยายพันธุ์ยาง ควรคำนึงถึงฤดูกาลที่เมล็ดยางร่วง ความสามารถในการผลิตเมล็ด กล้ายาง กิ่งตาเขียว และต้นตอตายาง ดังนี้
- เมล็ดยางร่วงในฤดูกาล ช่วงเดือน กรกฎาคม - กันยายน
- เมล็ดยางร่วงนอกฤดูกาล ช่วงเดือน กุมภาพันธุ์ - มีนาคม
- สวนยางเนื้อที่ 1 ไร่ สามารถเก็บเมล็ดได้ประมาณ 4,000 - 5,000 เมล็ด
- แปลงกล้ายาง 1 ไร่ สามารถผลิตต้นตอตายางได้ประมาณ 10,000 ต้น หรือผลิตต้นยางชำถุงได้ประมาณ 6,000 - 7,000 ต้น
- ต้นกิ่งตาเขียวอายุ 4 ปี ขึ้นไป สามารถผลิตกิ่งตาได้ประมาณ 120 กิ่งต่อปี
- กิ่งตาเขียว 1 กิ่ง สามารถติดตาต้นกล้ายางได้เฉลี่ย 2.8 ต้นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยาง
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยางประกอบด้วย
- หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร และไม่มีชั้นดินดาน
- ระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 1 เมตร
- มีการระบายน้ำดี
- ความเป็นกรด - ด่าง ( pH ) อยู่ระหว่าง 4.0 - 5.5
- ความลาดเอียงไม่ควรเกิน 35 องศา ถ้าลาดเอียงเกิน 15 องศา ควรทำขั้นบันได
- ปริมาณน้ำฝนไม่ควรน้อยกว่า 1,250 มม./ปี และมีจำนวนวันฝนตก 120 - 150 วัน/ปี
- ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่ควรเกิน 600 เมตร
มาตรฐานของวัสดุปลูกยาง
วัสดุปลูกยาง (Rubber propagated material ) หมายถึง ต้นยางที่นำลงไปปลูกในสวนยาง ผู้ปลูกยางจำเป็นต้องคัดเลือกวัสดุปลูกที่มีคุณภาพดี เพื่อให้การปลูกสร้างสวนยางประสบผลสำเร็จ ซึ่งสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้กำหนดมาตรฐานของวัสดุปลูกยาง ดังนี้
ต้นตอตายาง
1. รากแก้วที่สมบูรณ์ มีรากเดียว ลักษณะไม่คดงอ เปลือกหุ้มรากไม่เสียหาย
2. ความยาวของรากวัดจากโคนคอดินไม่น้อยกว่า 20 ซม.
3. ต้นกล้าลำต้นสมบูรณ์ตรง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางัดที่ตาระหว่าง 0.9 - 2.5 ซม.
4. ความยาวของลำต้นจากโคนคอดินถึงตาไม่เกิน 10 ซม. และจากตราถึงรอยตัดบลำต้นจะต้องไม่น้อยกว่า 8 ซม.
5. แผ่นตาเขียวมีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 0.9 ซม. ความยาวไม่น้อยกว่า 5 ซม. สภาพแผ่นตาสมบูรณ์ แนบติดสนิทกับต้นตอ ไม่เป็นสีเหลือง หรือเป็นรอยแห้งเสียหาย ตำแหน่งของตาต้องไม่กลับหัว และควรเลือกใช้ตาก้านใบ
6. แผ่นตาที่นำมาติดควรได้จากแปลงกิ่งตายางจดทะเบียนของกรมวิชาการเกษตร
7. ต้นตอตาอยู่ในสภาพที่ต้นสดสมบูรณ์ ปราศจากโรค และศัตรูพืช
ต้นยางชำถุง
1. เป็นต้นยางติดตาที่สมบูรณ์ เจริญเติบโตอยู่ในถุงพลาสติกมีขนาดตั้งแต่ 1 ฉัตรแก่ขึ้นไป ฉัตรยอดแก่เต็ม เมื่อวัดจากรอยแตกตาถึงปลายยอดมีความยาวไม่น้อยกว่า 25 ซม.
2. ขนาดของถุงที่ใช้มีขนาดประมาณ 4 ? x 14 นิ้ว เป็นอย่างน้อย และเจาะรูระบายน้ำออก
3. ดินที่ใช้บรรจุถุงจะต้องมีลักษณะค่อนข้างเหนียว เมื่อย้ายถุงดินไม่แตกง่ายมีดินบรรจุอยู่สูงไม่น้อยกว่า 10 นิ้ว
4. ต้นตอตาที่นำมาชำถุง ต้องมีสมบัติตามมาตรฐานต้นตอตาที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
5. เป็นยางชำถุงปราศจากโรค ศัตรู และไม่มีวัชพืชขึ้นในถุง
การกำจัดวัชพืช
ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำสวนยาง คือการป้องกันกำจัดวัชพืชซึ่งต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงร้อยละ 23.5 ของต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำสวนยาง ทั้งนี้เนื่องจากวัชพืชขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นยาง แย่งน้ำ อาหาร แสงแดด และอาจเป็นที่อาศัยของโรค และแมลงศัตรูยางอีกด้วย
การกำจัดวัชพืชในสวนยางมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงคนถาก การไพรวน การปลูกพืชคลุม และการใช้สารเคมี
ปัจจุบันการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชเป็นที่นิยมกันมาก เพราะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายตลอดจนสามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การกำจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมีนั้น ผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความรู้ และความเข้าใจถึงวิธีการใช้ อัตราการใช้ และระยะเวลาที่เหมาะสมด้วย
การบำรุงรักษา
การตัดแต่งกิ่งยาง
การตัดแต่งกิ่งยางที่ถูกวิธี จะทำให้ต้นยางมีลำต้นกลม ตรง เปลือกบริเวณที่กรีดไม่มีปุ่มปม ง่ายต่อการกรีด ต้นยางเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ทรงพุ่ม สมดุล โปร่ง ช่วยต้านลมและป้องกันโรคจากเชื้อรา เช่น โรคเปลือกเน่า โรคราสีชมพู
การตัดแต่งกิ่งยาง ปกติจะทำใน 3 ลักษณะ คือ
1. การตัดแต่งกิ่งยางอ่อนทั่วๆ ไป ในขณะที่ต้นยางยังเล็กอยู่
2. การตัดแต่งกิ่งเพื่อป้องกันความเสียหายจากลม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับต้นยางที่มีทรงพุ่มขนาดใหญ่
3. การตัดแต่งต้นยาง เพื่อแก้ไขต้นยางที่เกิดความเสียหายจากลมบ้างแล้ว และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากลมได้อีก
การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
การปลูกสร้างสวนยางนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำรุงรักษาสวนยางให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ต้นยางโตอย่างสม่ำเสมอ จะต้องกำจัดวัชพืชให้ต้นยางทุกครั้งที่มีการใส่ปุ๋ย การปราบหรือควบคุมวัชพืชในสวนยางที่ได้ผลและเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน คือการใช้สารเคมีฉีดพ่น
สารเคมีปราบวัชพืชในสวนยางมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน การเลือกใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับชนิดของวัชพืชและอายุของต้นยาง จะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ในที่นี้จึงขอแนะนำสารเคมีดังนี้
การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชทั่วไปในสวนยาง
1. พาราควอท อัตรา 400 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบได้ทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง
2. ไกลโฟเสท อัตรา 200 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบวัชพืชใบแคบ
3. ซัลโฟเสท อัตรา 200 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบวัชพืชใบแคบ
4. ไกลโฟเสท + ไดแคมบ้า อัตรา 400 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบได้ทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง
การใช้สารเคมีกำจัดหญ้าคาในสวนยาง
1. ไกลโฟเสท อัตรา 750 - 1,000 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตรต่อไร่
2. ซพลโฟเสท อัตรา 750 - 1,000 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตรต่อไร่
ในกรณีที่สภาพสวนยางมีร่มเงาและหญ้าคาขึ้นไม่หนาแน่นมากนัก แนะนำให้ใช้สารเคมี
ในอัตราต่ำ
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญของยางพารา
โรคและศัตรูยางพารามีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของยางพาราโรคยางพารา พบเกิดขึ้นได้ทุกระยะอายุ และทุกส่วนของต้นยาง เช่นโรคใบยางพารา ถ้าระบาดรุนแรงจนใบร่วงโดยไม่มีการควบคุม จะทำให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงร้อยละ 30 - 50 โรคลำต้นและกิ่งก้านถ้าเป็นรุนแรง จะทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นยางได้ สำหรับโรคราก ถ้าระบาดในพื้นที่ไหนก็ตามจะรักษาค่อนข้างลำบาก เสียค่าใช้จ่ายสูง ทำให้สูญเสียผลผลิตที่ควรจะได้ก่อนเวลาอันควร เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดจากแมลงศัตรูยางบางชนิด เช่น ปลวก ด้วง เพลี้ยหอย และด้วงมวดไม้ เป็นต้น ดังนั้น ควรป้องกันรักษา และกำจัดโรคและแมลงศัตรูยางพารา เพื่อให้ต้นยางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ตามรอยอดีตยางพาราสู่ประเทศไทย
ย้อนอดีตไปเมื่อก่อน พ.ศ. 2300 ชาวอินเดียนแดงในอเมริกากลาง เป็นมนุษย์ยุคแรกที่รู้จักนำน้ำยางจากต้นยางพารามาใช้ประโยชน์ เผ่ามายัน นำน้ำยางมาทำเป็นรองเท้า ด้วยการใช้มีดเฉาะต้นยางให้น้ำยางไหลลงในภาชนะที่รองรับไว้ ใช้เท้าจุ่มลงในน้ำยางทิ้งให้แห้งทำซ้ำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง จนได้รองเท้าที่มีความหนาตามความต้องการ ส่วนเผ่าอื่นๆ ก็นำน้ำยางมาทำลูกบอลยางไว้เล่นเกมส์บ้าง ทำผ้ายางกันฝนบ้าง เป็นต้น
ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่รู้จักและสัมผัสยาง คือ คณะสำรวจทวีปอเมริกา ครั้งที่ 2 ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในปี พ.ศ. 2036 ซึ่งไปพบและเห็นชาวพื้นเมืองของเกาะไฮติเล่นบอลยางสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่
จากนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงมีผู้นำยางไปปลูกในทวีปยุโรปเพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำยางในรูปแบบต่างๆ ทำให้ยางพารามีความสำคัญมากขึ้น เป็นผลให้เนื้อที่ปลูกยางขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยางพารา ( Hevea brasiliensis ) พืชสกุล EUPHORBIACEAE ย้ายออกจากถิ่นกำเนิดเดิม บริเวณลุ่มน้ำอเมซอน ประเทศบราซิล ทวีปอเมริกาใต้ มาเจริญงอกงามในทวีปเอเซียได้ก็เนื่องมาจากความคิดของ เซอร์ คลีเมนส์ มาร์คแฮม ( Sir Clements Markham) ชาวอังกฤษ ที่คิดนำยางมาปลูกที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. 2416 จำนวน 6 ต้น แม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม
4 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2420 ความสำเร็จจึงบังเกิดขึ้น เมื่อชาวอังกฤษนำยางพารามาปลูกในสวน พฤกษชาติสิงคโปร์ และปลูกในกัวลากังซาร์ รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย ยางชุดนี้จึงเป็นต้นกำเนิดสู่รากฐานของสวนยางพารานำมาซึ่งอาชีพของเกษตรกรในภูมิภาคนี้ตั้งแต่นั้นมา จนเป็นแหล่งผลิตยางที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง ) ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรังเดินทางไปดูงานที่ประเทศมาเลเซีย และเห็นว่าอาชีพการทำสวนยางเป็นอาชีพที่ให้ผลดี จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 พระสถลสถานพิทักษ์ จึงนำกล้ายางจากอินโดนีเซียกลับมาเมืองไทยได้ ด้วยการเอาสำลีชุบน้ำหุ้มราก แล้วห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์บรรจุลงในลังไม้ นำมาปลูกไว้บริเวณหน้าบ้านพัก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง จากนั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ได้นำพันธ์ยางดังกล่าวไปแจกจ่ายและส่งเสริมให้ราษฎรปลูกโดยทั่วไป จนได้รับการยกย่องในเวลาต่อมาให้เป็น " บิดาแห่งยางพาราไทย "
ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 หลวงราชไมตรี ( ปูม ปุณศรี ) ได้นำพันธุ์ยางไปปลูกที่จังหวัดจันทบุรีบ้าง ช่วยให้อาชีพการทำสวนยางแพร่หลาย และขยายออกไปอย่างรวดเร็ว จนมีผู้พยายามนำพันธุ์ยางไปปลูกทั้งในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ่งจะพบหลักฐานได้จากต้นยางเก่าๆ ขึ้นอยู่ในหลายท้องที่ทั่วประเทศไทย จนมีความสำคัญแก่เศรษฐกิจของประเทศไทยมาจนทุกวันนี้
ต้นไม้ยางพาราอยู่ในสกุล ( Genus ) Hevea วงศ์ ( Family ) Euphorbiaceae ไม้ในวงศ์นี้มีอยู่ด้วยกันไม่น้อยกว่า 10 ชนิด เช่น
1. Hevea benthamiana
2. Hevea brasiliensis
3. Hevea collina
4. Hevea quianensis
5. Hevea confusa
6. Hevea pauciflora
7. Hevea spruceana
8. Hevea microphylla
9. Hevea nilida
10.Hevea quianensis
ฯลฯ
แต่ไม้ยางพารา Hevea brasiliensis เป็นชนิดที่ดีที่สุดในการให้น้ำยาง จึงนิยมปลูกกันแพร่หลายเฉพาะชนิดนี้ และได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำยางสูงขึ้นการปลูกยางพารา
การกำหนดขอบเขตและพื้นที่ปลูกยาง
สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้กำหนดและแบ่งเขตปลูกยางของประเทศออกเป็น 2 เขต คือ
1. เขตปลูกยางเดิม กระจายใน 14 จังหวัดของภาคใต้ คือชุมพร ระนอง สุราษร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก คือ ระยอง จันทบุรี และตราด ตลอดจนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในภาคกลาง
2. เขตปลูกยางใหม่ กระจายใน 2 จังหวัดของภาคตะวันออก คือ ชลบุรี และฉะเชิงเทราและ 17 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร เลย สกลนคร หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
สำหรับการกำหนดเขตพื้นที่ตามศักยภาพของที่ดิน เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้วิธีการประเมินความเหมาะสมของปัจจัยทางดิน ร่วมกับปัจจัยทางภูมิอากาศโดยพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการปลูกยาง คือ ขีดจำกัดของการปลูกพืชสภาพแวดล้อมที่ยางต้องการ ตลอดจนนำผลงานวิจัยมาประเมินร่วม สามารถแบ่งพื้นที่ชั้นความเหมาะสมของที่ดินต่อการปลูกยางพาราได้ดังนี้
1. ในเขตปลูกยางเดิม แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ พื้นที่ดินเหมาะสมต่อการปลูกยาง ( L1 ) พื้นที่ดินเหมาะสมปานกลางต่อการปลูกยาง ( L2 ) และพื้นที่ดินที่ไม่แนะนำให้ปลูกยาง ( L3) ซึ่งรวมพื้นที่ดินเหมาะสมและพื้นที่มีความลาดชันมากกว่า 60 %
2. ในเขตปลูกยางใหม่ แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ พื้นที่ดินเหมาะสมมากต่อการปลูกยาง ( L1 )พื้นที่ดินเหมาะสม ( L2 ) พื้นที่ค่อนข้างเหมาะสม ( L3 ) และพื้นที่ดินไม่เหมาะสม ( L4 )
ลักษณะดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกยางพารา
สมบัติทางกายภาพ
1. หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ไม่มีชั้นหินแข็ง หินโผล่ หรือชั้นดินดาน
2. โครงสร้างของดินดี เช่น โครงสร้างแบบก้อนเหลี่ยมมุมมน
3. เนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียวควรมีอนุภาคดินเหนียว 35 % อนุภาคดินทราย 30 %
4. สีสม่ำเสมอ ไม่มีสีจุดประ
5. ระบายน้ำดี มีระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 1 เมตร
6. ระบายอากาศดี มีช่องว่างภายในดินมากพอ
สมบัติทางเคมี
1. มีอินทรีย์วัตถุค่อนข้างสูง
2. มีธาตุอาหารหลัก เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม
3. มีธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และมีธาตุอาหารเสริมพอเหมาะ
4. มีความเป็นกรด - ด่าง (pH) 4.0 - 5.5
5. ไม่เป็นดินเกลือ (ดินเค็ม)
พื้นที่ปลูกยางพาราของประเทศไทย
พื้นที่ปลูกยางพาราอยู่ในภาคใต้ 15 จังหวัด ภาคตะวันออก 6 จังหวัด ซึ่งได้จากากรคำนวณภาพดาวเทียมเมื่อปี 2529, 2533 และ 2539 เมื่อรวมกับพื้นที่ปลูกในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 จังหวัดแล้ว เป็นพื้นที่ปลูกยางของประเทศจำนวน 10.766 ล้านไร่ ( ปี 2529) จำนวน 10.986 ล้านไร่ ( ปี 2533) จำนวน 12.245 ล้านไร่ ( ปี 2539) จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุด ในขณะที่จังหวัดอำนาจเจริญมีพื้นที่ที่ปลูกยางน้อยที่สุด
การวางแนวและการขุดหลุมปลูก
การวางแนวปลูก เป็นการกำหนดทิศทางของแถวปลูก เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับต้นยาง ช่วยป้องกันการชะล้างของหน้าดิน ตลอดจนความสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกด้วย ดังนั้นการวางแนวปลูกจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพพื้นที่เป็นสำคัญ
การวางแนวปลูกในพื้นที่ราบ
ก่อนลงมือวางแนวปลูกต้องกำหนดระยะปลูกเสียก่อน ให้สอดคล้องกับสภาพดินและพันธุ์ยางที่ใช้ปลูกเป็นหลัก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่าจะปลูกพืชแซมยางหรือไม่
เมื่อกำหนดระยะปลูกได้แล้ว จึงวางแนวปลูก โดยเริ่มจากการวางแถวหลักห่างจากแนวเขตสวนไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ให้ขวางทิศทางการไหลของน้ำเพื่อลดการชะล้างหน้าดินและการพังทลายของดิน
การวางแนวปลูกในพื้นที่ลาดเทหรือควนเขา
การวางแนวปลูกยางในพื้นที่ลาดเท ให้วางแนวปลูกตามแนวระดับ หรือวางแนวปลูกเป็นขั้นบันได เพื่อป้องกันการชะล้างและการพังทลายของหน้าดินการขุดหลุมปลูก
หลุมปลูกยางเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้นยางเจริญเติบโตได้ดี การขุดหลุมปลูกยางให้ขุดด้านหนึ่งของไม้ชะมบตลอดแนว แยกดินที่ขุดเป็น 2 กอง คือ ดินชั้นบนและดินชั้นล่าง ผึ่งแดดไว้ประมาณ 10 วัน ให้ดินแห้ง แล้วย่อยดินชั้นบนใส่รองก้นหลุม ส่วนดินชั้นล่างผสมกับปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัม ต่อหลุม กลบลงในหลุม
ขนาดของหลุมปลูกยางที่แนะนำให้ใช้โดยทั่วไป คือ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของวัสดุปลูกที่ใช้ในแปลงพันธุ์ยาง
ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่ต้องใช้ระยะเวลา 6 - 7 ? ปี จึงจะเปิดกรีดได้ ดังนั้นก่อนที่จะเลือกพันธุ์ยางมาปลูก จึงควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับยางพาราโดยตรงก่อน และที่สำคัญควรจะซื้อพันธุ์ยางจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เพื่อป้องกันความเสียหายจากการเลือกพันธุ์ยางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศการปรับปรุงพันธุ์ยางและคำแนะนำพันธุ์ยาง
สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้ตระหนักและให้ความสำคัญของการปรับปรุงพันธุ์ยางมาโดยตลอด ด้วยการผสมและคัดเลือกพันธุ์ยางทั้งจากในประเทศ และแลกเปลี่ยนพันธุ์ยางกับต่างประเทศ โดยมีวิธีการและแผนการปรับปรุงพันธุ์ยางที่เป็นมาตรฐานสากลที่ต้องใช้ระยะเวลาปรับปรุงนานถึง 30 ปี ( แผนภูมิ 1 ) สำหรับพันธุ์ยางที่ผ่านการคัดเลือกจากแปลงเปรียบเทียบและทดสอบพันธุ์ยางในสภาพแวดล้อมต่างๆ จะนำมาคัดเลือกพันธุ์ยางที่ดีที่สุด ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ยาง ( แผนภูมิ 2 ) และจัดทำเป็นคำแนะนำพันธุ์ยางทุก 4 ปี โดยคำนึงถึงผลผลิต การเจริญเติบโน การต้านทานโรค และความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถเลือกปลูกได้อย่างถูกต้องต่อไป
คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2540
พันธ์ยางที่แนะนำให้ปลูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
พันธุ์ยางชั้น 1 แนะนำให้ปลูกโดยไม่จำกัดพื้นที่ปลูก พันธุ์ยางในชั้นนี้ได้ผ่านการทดลองและศึกษาลักษณะต่างๆ อย่างละเอียด
พันธุ์ยางชั้น 2 แนะนำให้ปลูกโดยจำกัดเนื้อที่ปลูก ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกยางที่ถือครอง แต่ละพันธุ์ ควรปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่ พันธุ์ยางชั้นนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาลักษณะบางประการเพิ่มเติม
พันธุ์ยางชั้น 3 แนะนำให้ปลูกโดยจำกัดพื้นที่ปลูก ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของพื้นที่ปลูกยางที่ถือครอง แต่ละพันธุ์ควรปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่ พันธุ์ยางชั้นนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างการทดลองและต้องศึกษาลักษณะต่างๆ เพิ่มเติม
พันธุ์ยางที่แนะนำ
พันธุ์ยางชั้น 1 สงขลา 36, BPM 24, PB 255, PB 260, PR 255, RRIC 110, RRIM 600
พันธุ์ยางชั้น 2 BPM 1, PB 235, RRIC 100, RRIC 101, สว.ย. 250, สว.ย. 251
พันธุ์ยางชั้น 3 PR 302, PR 305, RRIC 121, สว.ย. RRIT 163, สว.ย. 209, สว.ย. 214, สว.ย. 218, สว.ย. 225, สว.ย. 226
พันธุ์ยางไทยในคำแนะนำพันธุ์ยางชั้น 1 และ 2
คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2540 มีพันธุ์ยางของไทยที่อยู่ในคำแนะนำพันธุ์ยางชั้น 1 จำนวน 1 พันธุ์ คือ สงขลา 36 และในคำแนะนำพันธุ์ชั้น 2 จำนวน 2 พันธุ์ คือ สว.ย. 250 (RRIT 250) และ สว.ย. 251 (RRIT 251) ข้อมูลการขยายพันธุ์ยาง
ในการขยายพันธุ์ยาง ควรคำนึงถึงฤดูกาลที่เมล็ดยางร่วง ความสามารถในการผลิตเมล็ด กล้ายาง กิ่งตาเขียว และต้นตอตายาง ดังนี้
- เมล็ดยางร่วงในฤดูกาล ช่วงเดือน กรกฎาคม - กันยายน
- เมล็ดยางร่วงนอกฤดูกาล ช่วงเดือน กุมภาพันธุ์ - มีนาคม
- สวนยางเนื้อที่ 1 ไร่ สามารถเก็บเมล็ดได้ประมาณ 4,000 - 5,000 เมล็ด
- แปลงกล้ายาง 1 ไร่ สามารถผลิตต้นตอตายางได้ประมาณ 10,000 ต้น หรือผลิตต้นยางชำถุงได้ประมาณ 6,000 - 7,000 ต้น
- ต้นกิ่งตาเขียวอายุ 4 ปี ขึ้นไป สามารถผลิตกิ่งตาได้ประมาณ 120 กิ่งต่อปี
- กิ่งตาเขียว 1 กิ่ง สามารถติดตาต้นกล้ายางได้เฉลี่ย 2.8 ต้นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยาง
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยางประกอบด้วย
- หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร และไม่มีชั้นดินดาน
- ระดับน้ำใต้ดินต่ำกว่า 1 เมตร
- มีการระบายน้ำดี
- ความเป็นกรด - ด่าง ( pH ) อยู่ระหว่าง 4.0 - 5.5
- ความลาดเอียงไม่ควรเกิน 35 องศา ถ้าลาดเอียงเกิน 15 องศา ควรทำขั้นบันได
- ปริมาณน้ำฝนไม่ควรน้อยกว่า 1,250 มม./ปี และมีจำนวนวันฝนตก 120 - 150 วัน/ปี
- ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่ควรเกิน 600 เมตร
มาตรฐานของวัสดุปลูกยาง
วัสดุปลูกยาง (Rubber propagated material ) หมายถึง ต้นยางที่นำลงไปปลูกในสวนยาง ผู้ปลูกยางจำเป็นต้องคัดเลือกวัสดุปลูกที่มีคุณภาพดี เพื่อให้การปลูกสร้างสวนยางประสบผลสำเร็จ ซึ่งสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้กำหนดมาตรฐานของวัสดุปลูกยาง ดังนี้
ต้นตอตายาง
1. รากแก้วที่สมบูรณ์ มีรากเดียว ลักษณะไม่คดงอ เปลือกหุ้มรากไม่เสียหาย
2. ความยาวของรากวัดจากโคนคอดินไม่น้อยกว่า 20 ซม.
3. ต้นกล้าลำต้นสมบูรณ์ตรง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางัดที่ตาระหว่าง 0.9 - 2.5 ซม.
4. ความยาวของลำต้นจากโคนคอดินถึงตาไม่เกิน 10 ซม. และจากตราถึงรอยตัดบลำต้นจะต้องไม่น้อยกว่า 8 ซม.
5. แผ่นตาเขียวมีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 0.9 ซม. ความยาวไม่น้อยกว่า 5 ซม. สภาพแผ่นตาสมบูรณ์ แนบติดสนิทกับต้นตอ ไม่เป็นสีเหลือง หรือเป็นรอยแห้งเสียหาย ตำแหน่งของตาต้องไม่กลับหัว และควรเลือกใช้ตาก้านใบ
6. แผ่นตาที่นำมาติดควรได้จากแปลงกิ่งตายางจดทะเบียนของกรมวิชาการเกษตร
7. ต้นตอตาอยู่ในสภาพที่ต้นสดสมบูรณ์ ปราศจากโรค และศัตรูพืช
ต้นยางชำถุง
1. เป็นต้นยางติดตาที่สมบูรณ์ เจริญเติบโตอยู่ในถุงพลาสติกมีขนาดตั้งแต่ 1 ฉัตรแก่ขึ้นไป ฉัตรยอดแก่เต็ม เมื่อวัดจากรอยแตกตาถึงปลายยอดมีความยาวไม่น้อยกว่า 25 ซม.
2. ขนาดของถุงที่ใช้มีขนาดประมาณ 4 ? x 14 นิ้ว เป็นอย่างน้อย และเจาะรูระบายน้ำออก
3. ดินที่ใช้บรรจุถุงจะต้องมีลักษณะค่อนข้างเหนียว เมื่อย้ายถุงดินไม่แตกง่ายมีดินบรรจุอยู่สูงไม่น้อยกว่า 10 นิ้ว
4. ต้นตอตาที่นำมาชำถุง ต้องมีสมบัติตามมาตรฐานต้นตอตาที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
5. เป็นยางชำถุงปราศจากโรค ศัตรู และไม่มีวัชพืชขึ้นในถุง
การกำจัดวัชพืช
ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำสวนยาง คือการป้องกันกำจัดวัชพืชซึ่งต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงร้อยละ 23.5 ของต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำสวนยาง ทั้งนี้เนื่องจากวัชพืชขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นยาง แย่งน้ำ อาหาร แสงแดด และอาจเป็นที่อาศัยของโรค และแมลงศัตรูยางอีกด้วย
การกำจัดวัชพืชในสวนยางมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงคนถาก การไพรวน การปลูกพืชคลุม และการใช้สารเคมี
ปัจจุบันการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชเป็นที่นิยมกันมาก เพราะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายตลอดจนสามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การกำจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมีนั้น ผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความรู้ และความเข้าใจถึงวิธีการใช้ อัตราการใช้ และระยะเวลาที่เหมาะสมด้วย
การบำรุงรักษา
การตัดแต่งกิ่งยาง
การตัดแต่งกิ่งยางที่ถูกวิธี จะทำให้ต้นยางมีลำต้นกลม ตรง เปลือกบริเวณที่กรีดไม่มีปุ่มปม ง่ายต่อการกรีด ต้นยางเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ทรงพุ่ม สมดุล โปร่ง ช่วยต้านลมและป้องกันโรคจากเชื้อรา เช่น โรคเปลือกเน่า โรคราสีชมพู
การตัดแต่งกิ่งยาง ปกติจะทำใน 3 ลักษณะ คือ
1. การตัดแต่งกิ่งยางอ่อนทั่วๆ ไป ในขณะที่ต้นยางยังเล็กอยู่
2. การตัดแต่งกิ่งเพื่อป้องกันความเสียหายจากลม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับต้นยางที่มีทรงพุ่มขนาดใหญ่
3. การตัดแต่งต้นยาง เพื่อแก้ไขต้นยางที่เกิดความเสียหายจากลมบ้างแล้ว และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากลมได้อีก
การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
การปลูกสร้างสวนยางนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำรุงรักษาสวนยางให้ได้มาตรฐานเพื่อให้ต้นยางโตอย่างสม่ำเสมอ จะต้องกำจัดวัชพืชให้ต้นยางทุกครั้งที่มีการใส่ปุ๋ย การปราบหรือควบคุมวัชพืชในสวนยางที่ได้ผลและเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน คือการใช้สารเคมีฉีดพ่น
สารเคมีปราบวัชพืชในสวนยางมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน การเลือกใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับชนิดของวัชพืชและอายุของต้นยาง จะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ในที่นี้จึงขอแนะนำสารเคมีดังนี้
การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชทั่วไปในสวนยาง
1. พาราควอท อัตรา 400 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบได้ทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง
2. ไกลโฟเสท อัตรา 200 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบวัชพืชใบแคบ
3. ซัลโฟเสท อัตรา 200 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบวัชพืชใบแคบ
4. ไกลโฟเสท + ไดแคมบ้า อัตรา 400 ซีซี ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้ปราบได้ทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง
การใช้สารเคมีกำจัดหญ้าคาในสวนยาง
1. ไกลโฟเสท อัตรา 750 - 1,000 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตรต่อไร่
2. ซพลโฟเสท อัตรา 750 - 1,000 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตรต่อไร่
ในกรณีที่สภาพสวนยางมีร่มเงาและหญ้าคาขึ้นไม่หนาแน่นมากนัก แนะนำให้ใช้สารเคมี
ในอัตราต่ำ
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญของยางพารา
โรคและศัตรูยางพารามีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของยางพาราโรคยางพารา พบเกิดขึ้นได้ทุกระยะอายุ และทุกส่วนของต้นยาง เช่นโรคใบยางพารา ถ้าระบาดรุนแรงจนใบร่วงโดยไม่มีการควบคุม จะทำให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงร้อยละ 30 - 50 โรคลำต้นและกิ่งก้านถ้าเป็นรุนแรง จะทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นยางได้ สำหรับโรคราก ถ้าระบาดในพื้นที่ไหนก็ตามจะรักษาค่อนข้างลำบาก เสียค่าใช้จ่ายสูง ทำให้สูญเสียผลผลิตที่ควรจะได้ก่อนเวลาอันควร เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดจากแมลงศัตรูยางบางชนิด เช่น ปลวก ด้วง เพลี้ยหอย และด้วงมวดไม้ เป็นต้น ดังนั้น ควรป้องกันรักษา และกำจัดโรคและแมลงศัตรูยางพารา เพื่อให้ต้นยางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-