“พินิจ” เปิดมิติใหม่อุตสาหกรรมไทย เน้นสร้างศักยภาพการแข่งขัน หนุนอุตสาหกรรม SMEs ดึงเทคโนโลยีช่วยยกระดับอุตสาหกรรม มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างคุณภาพและมาตรฐานเต็มรูปแบบ สอดรับกระแสการแข่งขันการค้าโลก
นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงาน สัมมนา “ มิติใหม่ อุตสาหกรรมไทย ” วันนี้ (14 มกราคม ) ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมมิติใหม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นนโยบายด้านการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม และวิสาหกิจชุมชน ที่เน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ฐานความรู้ อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา การสร้างสรรเทคโนโลยี อุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย
“ การพัฒนาอุตสาหกรรมแนวใหม่ มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ( SMEs ) เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางด้านวัตถุดิบ โดยเฉพาะด้านการเกษตรกรรม ที่ไทยสร้างศักยภาพการส่งออกให้มีสัดส่วนร้อยละ 86 ของการส่งออกทั้งหมด ”
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และตรงตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากปัจจุบัน ต่างประเทศเริ่มให้ความสำคัญด้านคุณภาพและมาตรฐานเป็นหลัก ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยยังไม่มีการพัฒนาเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ศักยภาพการแข่งขัน ของไทยคงต้องลดลง
ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในทิศทางใหม่ ภายใต้นโยบายรัฐบาล กระทรวงอุตสาห-กรรมจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมและเข้าใจสภาพธุรกิจอุตสาหกรรมที่ถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อให้สามารถรับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการชี้นำ การเตือนภัย และความเคลื่อนไหวของภาวะอุตสาหกรรม และความพร้อมของข้อมูลในด้านต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในสภาวะที่ธุรกิจมีการแข่งขันตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว
สำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม จะเน้นเรื่องอุตสาหกรรมฐานความรู้ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรรม และนาโนเทคโนโลยี การสร้างผู้ประกอบใหม่และพัฒนาผู้ประกอบการรายเดิมให้มีคุณภาพและเข้มแข็ง อีกทั้ง ยกระดับความสามารถในการผลิตและบริหารจัดการของวิสาหกิจชุมชน และ พัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเป้าหมายและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อทดแทนการนำเข้าและเพิ่มศักยภาพในการส่งออก เป็นต้น
นายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า แนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมในปีนี้ ต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้สินค้าส่งออกของไทยได้เปรียบคู่แข่ง เนื่องจากขณะนี้การเปลี่ยนแปลงของการแข่งขันด้านเศรษฐกิจการค้าโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้สินค้าส่งออกของไทยเริ่มสูญเสียความได้เปรียบคู่แข่ง ด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1. การแข่งขันกับกลุ่มประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ
2. กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และ มีมาตรฐานในการผลิตระดับสูง และ
3. การถูกกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว หันมาใช้มาตรการกีดกันที่มิใช่ภาษีมากขึ้น เนื่องจากต้องเปิดเสรีทางการค้า ในขณะเดียวกัน ยังต้องการคงความได้เปรียบทางการค้า และลดผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดเสรีทางการค้าแก่ผู้ประกอบการธุรกิจภายในประเทศของตน
จากแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องในปี 47 กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัว ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานและชิ้นส่วน และ กลุ่มสินค้าที่ไทยได้เปรียบในด้านคุณภาพและราคา เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ อาหารกระป๋อง รวมทั้งสินค้าที่พัฒนาภายใต้โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงาน สัมมนา “ มิติใหม่ อุตสาหกรรมไทย ” วันนี้ (14 มกราคม ) ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมมิติใหม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นนโยบายด้านการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม และวิสาหกิจชุมชน ที่เน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ฐานความรู้ อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา การสร้างสรรเทคโนโลยี อุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย
“ การพัฒนาอุตสาหกรรมแนวใหม่ มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ( SMEs ) เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางด้านวัตถุดิบ โดยเฉพาะด้านการเกษตรกรรม ที่ไทยสร้างศักยภาพการส่งออกให้มีสัดส่วนร้อยละ 86 ของการส่งออกทั้งหมด ”
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และตรงตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากปัจจุบัน ต่างประเทศเริ่มให้ความสำคัญด้านคุณภาพและมาตรฐานเป็นหลัก ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยยังไม่มีการพัฒนาเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ศักยภาพการแข่งขัน ของไทยคงต้องลดลง
ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในทิศทางใหม่ ภายใต้นโยบายรัฐบาล กระทรวงอุตสาห-กรรมจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมและเข้าใจสภาพธุรกิจอุตสาหกรรมที่ถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อให้สามารถรับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการชี้นำ การเตือนภัย และความเคลื่อนไหวของภาวะอุตสาหกรรม และความพร้อมของข้อมูลในด้านต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในสภาวะที่ธุรกิจมีการแข่งขันตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว
สำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม จะเน้นเรื่องอุตสาหกรรมฐานความรู้ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรรม และนาโนเทคโนโลยี การสร้างผู้ประกอบใหม่และพัฒนาผู้ประกอบการรายเดิมให้มีคุณภาพและเข้มแข็ง อีกทั้ง ยกระดับความสามารถในการผลิตและบริหารจัดการของวิสาหกิจชุมชน และ พัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมเป้าหมายและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อทดแทนการนำเข้าและเพิ่มศักยภาพในการส่งออก เป็นต้น
นายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า แนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมในปีนี้ ต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้สินค้าส่งออกของไทยได้เปรียบคู่แข่ง เนื่องจากขณะนี้การเปลี่ยนแปลงของการแข่งขันด้านเศรษฐกิจการค้าโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้สินค้าส่งออกของไทยเริ่มสูญเสียความได้เปรียบคู่แข่ง ด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1. การแข่งขันกับกลุ่มประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ
2. กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และ มีมาตรฐานในการผลิตระดับสูง และ
3. การถูกกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว หันมาใช้มาตรการกีดกันที่มิใช่ภาษีมากขึ้น เนื่องจากต้องเปิดเสรีทางการค้า ในขณะเดียวกัน ยังต้องการคงความได้เปรียบทางการค้า และลดผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดเสรีทางการค้าแก่ผู้ประกอบการธุรกิจภายในประเทศของตน
จากแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องในปี 47 กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัว ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานและชิ้นส่วน และ กลุ่มสินค้าที่ไทยได้เปรียบในด้านคุณภาพและราคา เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ อาหารกระป๋อง รวมทั้งสินค้าที่พัฒนาภายใต้โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-