วันนี้ (21 ม.ค.47) เวลา 09.10น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ข่าวยามเช้า คลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิรต์ ถึงกรณีที่การประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ IFCT สามารถควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆว่า การควบรวมอยู่ในแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเห็นชอบแล้ว ซึ่งตนก็เห็นด้วยที่รัฐบาลพยายามวางภาพรวมของสถาบันการเงินให้มีขนาดเล็กและสามารถแข่งขันได้
นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการออกเป็นพระราชกำหนด (พรก.)ในกรณีที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ที่ถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะทางของรัฐบาล จะถูกนำมารวมกับธนาคารไทยทนุกับธนาคารทหารไทย 3 ประการดังนี้คือ 1.ความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไรถึงขั้นที่ต้องตราเป็นพระราชกำหนด ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้เข้าใจ เพราะเป็นการควบรวมระหว่างสถาบันการเงินของรัฐบาลกับเอกชน 2.รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นภาพว่าการควบรวมในครั้งนี้ รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร มีการนำเงินของประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากว่า สถาบันการเงินที่จะควบรวมกันครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง 3.อยากให้รัฐบาลระวังในเรื่องของภาพรวมบทบาทของภาครัฐในระบบการเงินจะเป็นอย่างไร เพราะจะเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลก็มีแผนในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยจะเอา อ.ส.ม.ท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และหากหันกลับไปดูภาคการเงินขณะนี้จะเห็นว่า ที่ผ่านมาในบทบาทของธนาคารไทยธนาคาร ภาครัฐจะเข้าไปเกี่ยวข้องมากขึ้น จึงเป็นคำถามว่าเมื่อสรุปแล้วภาพรวมของระบบสถาบันการเงินที่รัฐบาลอยากจะเห็น รัฐจะยืนอยู่ตรงจุดไหน
เมื่อถามว่า เกรงว่าในบางครั้งบทบาทของรัฐบาลจะมากไปหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ใช่ อาจจะคืบคลานเข้าไปจนเป็นผู้ไปชี้นำในทุกอย่าง ซึ่งหลายครั้งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไปกระทบกับเรื่องประสิทธิภาพ ทั้งจะสวนทางกับแนวทางของรัฐบาลเอง ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านอื่น ต่อข้อถามถึงมุมมองเรื่องที่รัฐบาลมีแผนในการควบรวมกิจการ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนยอมรับและเห็นด้วยหากมองว่าขณะนี้ระบบเศรษฐกิจจะหมุนไปแล้วทำให้ระบบสถาบันการเงินมีขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากจะเห็นและอยากให้รัฐบาลได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนคือ ในเรื่องของบทบาทของรัฐหลังการควบรวมว่า รัฐจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหนอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23/01/47--จบ--
-สส-
นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการออกเป็นพระราชกำหนด (พรก.)ในกรณีที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ที่ถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะทางของรัฐบาล จะถูกนำมารวมกับธนาคารไทยทนุกับธนาคารทหารไทย 3 ประการดังนี้คือ 1.ความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไรถึงขั้นที่ต้องตราเป็นพระราชกำหนด ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้เข้าใจ เพราะเป็นการควบรวมระหว่างสถาบันการเงินของรัฐบาลกับเอกชน 2.รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นภาพว่าการควบรวมในครั้งนี้ รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร มีการนำเงินของประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากว่า สถาบันการเงินที่จะควบรวมกันครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง 3.อยากให้รัฐบาลระวังในเรื่องของภาพรวมบทบาทของภาครัฐในระบบการเงินจะเป็นอย่างไร เพราะจะเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลก็มีแผนในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยจะเอา อ.ส.ม.ท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และหากหันกลับไปดูภาคการเงินขณะนี้จะเห็นว่า ที่ผ่านมาในบทบาทของธนาคารไทยธนาคาร ภาครัฐจะเข้าไปเกี่ยวข้องมากขึ้น จึงเป็นคำถามว่าเมื่อสรุปแล้วภาพรวมของระบบสถาบันการเงินที่รัฐบาลอยากจะเห็น รัฐจะยืนอยู่ตรงจุดไหน
เมื่อถามว่า เกรงว่าในบางครั้งบทบาทของรัฐบาลจะมากไปหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ใช่ อาจจะคืบคลานเข้าไปจนเป็นผู้ไปชี้นำในทุกอย่าง ซึ่งหลายครั้งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไปกระทบกับเรื่องประสิทธิภาพ ทั้งจะสวนทางกับแนวทางของรัฐบาลเอง ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านอื่น ต่อข้อถามถึงมุมมองเรื่องที่รัฐบาลมีแผนในการควบรวมกิจการ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนยอมรับและเห็นด้วยหากมองว่าขณะนี้ระบบเศรษฐกิจจะหมุนไปแล้วทำให้ระบบสถาบันการเงินมีขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากจะเห็นและอยากให้รัฐบาลได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนคือ ในเรื่องของบทบาทของรัฐหลังการควบรวมว่า รัฐจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหนอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 23/01/47--จบ--
-สส-